บทที่ 2061 พิจารณาแล้วไง
เยี่ยหวันหวั่นพูดจบ ก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันใส่ใจผู้ชายของฉันก็ไม่มีอะไรไม่ถูกต้องนี่ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะครั้งนั้นครั้งเดียวด้วย ฉันจะใส่ใจคุณไปชั่วชีวิตเลย!”
ชั่วชีวิตเหรอ…
นี่น่าจะเป็นสามคำที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว
“เธอไม่ถือสาเรื่องที่ฉันเป็นคนของอาชูร่างั้นเหรอ” ซือเยี่ยหานมองเธอนิ่งๆ แล้วเอ่ยถาม
เยี่ยหวันหวั่นพูดอย่างไม่ยี่หระ “เรื่องนี้มีอะไรให้ถือสากัน คุณก็แค่หัวหน้าฝ่ายเล็กๆ เท่านั้น ไม่ใช่นายแห่งอาชูร่าจอมวิปริตคนนั้นสักหน่อย!”
ซือเยี่ยหานเงียบไปทันที…
“สรุปคือ พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ จะสู้กันหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย!” เยี่ยหวันหวั่นพูดปดได้โดยที่หน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นถี่
“ใช่ ไม่เกี่ยวอะไรเลย” และความสามารถในการพูดปดของนายแห่งอาชูร่าบางคนก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเยี่ยหวันหวั่นเลย
พอเยี่ยหวันหวั่นได้ยินก็รู้สึกว่ามีหวังแล้ว ดวงตาส่องประกายทันที “ใช่ไหมล่ะๆ! ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันจีบคุณมานานแล้วนะ คุณยังเชื่อใจฉันอีกเหรอ พูดจริงๆ เลยนะ ความพยายามที่ฉันต้องใช้ในการตามจีบคุณน่ะ พอที่จะให้ฉันก่อตั้งพันธมิตรอู๋เว่ยได้อีกสิบแห่งเชียวนะ! แน่นอนว่า ต่อให้ฉันต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปกับการก่อตั้งอาชูร่าขึ้นมาอีกสิบแห่ง ฉันก็ยินดีจะทำ!”
เมื่อเห็นประกายความร้อนแรงในดวงตาของเด็กสาว ชายหนุ่มก็แทบจะละสายตาไปไม่ได้แล้ว
พอได้ยินประโยคนั้นของเด็กสาวที่พูดว่า ‘อาชูร่าสิบแห่ง’ นัยน์ตาของซือเยี่ยหานก็ฉายแววเหยียดหยามอย่างเห็นได้ยากแวบหนึ่ง
ต่อให้เป็นอาชูร่าสิบแห่งก็เทียบกับประกายสลัวเพียงน้อยนิดในดวงตาของเธอไม่ได้เลย
“ฉันจะพิจารณาดูแล้วกัน” สุดท้ายซือเยี่ยหานก็เอ่ยออกมา
เยี่ยหวันหวั่นคอตกทันที “งั้นจะพิจารณาดูนานแค่ไหน”
ถ้าเกิดพิจารณาไปแปดปีสิบปี เธอไม่ต้องรอจนเฉาตายหรอกเหรอ
เยี่ยหวันหวั่นจึงพูดขึ้นว่า “คุณชอบกินเซาปิ่งที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้ฉันเพิ่งเจอพ่อครัวที่เชี่ยวชาญการทำเซาปิ่งโดยเฉพาะ ไปเรียนรู้ทักษะชั้นยอดมาแล้ว ต่อไปก็สามารถทำให้คุณกินที่บ้านได้ทุกวันเลยนะ ”
ซือเยี่ยหานตอบรับสั้นๆ “ได้”
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าเธอได้ครอบครองโดยสมบูรณ์แล้ว เกรงว่าคงจะไม่ใส่ใจมากขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจให้คำตอบเชิงปฏิเสธกับคำพูดทำนองนั้นอย่าง ‘ไปด้วยกัน’ และ ‘ชั่วชีวิต’ ของเธอได้
เยี่ยหวันหวั่นตะลึงงันแล้ว!
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเยี่ยหวันหวั่นจะเข้าใจว่าซือเยี่ยหานพูดอะไร “อะ…อะไรนะ เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะ คุณตกลงงั้นเหรอ”
แค่เพราะ…เธอจะเรียนทำเซาปิ่งเนี่ยนะ
ถ้ารู้แต่แรก เธอยังจะตามตื้อด้วยความยากลำบากแบบนี้เหรอ เอาเซาปิ่งสักเกวียนมาส่งให้เขาทุกวันก็พอแล้ว ถ้าทำแบบนี้ คงจะจีบชาวบ้านเขาติดไปนานแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นยังแปลกใจอยู่นิดๆ “เอ่อ คุณ…คุณบอกว่าจะพิจารณาดูก่อนไม่ใช่เหรอ”
ซือเยี่ยหานตอบสั้นๆ “อืม พิจารณาแล้วไง”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออกเลย
แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพื่อเซาปิ่ง...
….
ทั้งสองคนเสาะหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามและลึกลับมากสำหรับอยู่อาศัย ตัดขาดกับทุกสิ่งจากโลกภายนอก ชีวิตสันโดษของเยี่ยหวันหวั่นและซือเยี่ยหานได้เริ่มต้นขึ้นเช่นนี้
เธอไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้ มีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย
เพียงแต่ ความสุขแบบนี้ กลับมีความกังวลแฝงเร้นอยู่มากมาย
เธอปกปิดฐานะที่แท้จริงของตัวเองมาโดยตลอด
เธอยากจะจินตนาการได้ว่า ถ้าเขาที่ใจดีขนาดนั้น ใสซื่อขนาดนั้น รู้ว่าเธอคือผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยแล้ว จะเป็นยังไง
ด้วยความกลัดกลุ้มของเยี่ยหวันหวั่น เธอถึงขั้นที่เรียกรวมตัวสมาชิกระดับสูง เรียกประชุมเป็นกรณีฉุกเฉิน
หลังจากทุกคนรายงานผลการทำงานเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่รอให้เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยสรุปงาน เยี่ยหวันหวั่นก็ได้พูดขึ้นมาว่า “หลังจากคิดทบทวนดูอย่างถี่ถ้วนมาระยะหนึ่งแล้ว…”
“ฉันตัดสินใจว่า…จะบริจาคเงินร้อยล้านให้สมาคมการกุศลแห่งรัฐอิสระ จัดตั้งศูนย์ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายขึ้นหนึ่งร้อยแห่งภายในระยะเวลาหนึ่งปี และส่งมอบอุปกรณ์บรรเทาทุกข์สามสิบคันรถให้กับสามสิบสี่อำเภอ…”
———————————————————————-
บทที่ 2062 ตื่นเต้นหวาดเสียว
สุดท้าย เยี่ยหวันหวั่นกล่าวปิดท้ายว่า “ผู้นำอย่างฉันตัดสินใจแล้ว! นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้นำอย่างฉันจะเป็นคนดี!”
หลังจากเยี่ยหวันหวั่นเอ่ยสรุปปิดท้าย ทุกคนในห้องต่างก็ตาค้างอ้าปากหวอ เงียบกริบกันไปหมด
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก “ผู้นำ…วันนี้…ผู้นำดื่มเหล้ามาเหรอครับ”
ผู้อาวุโสรองก็คิดแบบเดียวกัน “ดูเหมือนจะดื่มหนักเลยด้วย!”
ผู้อาวุโสสามตะคอกด้วยความโมโห “เป่ยโต่ว! ชีซิง! ให้พวกแกจับตาดูผู้นำไว้ไม่ให้เธอดื่มเหล้าอีกไม่ใช่เหรอไง”
เป่ยโต่วรีบแก้ตัว “ฉันดูแล้วนะ เหล้าของพี่เฟิงฉันเอาไปโยนทิ้งหมดแล้ว! นายอย่ามาโทษคนอื่นเขานะ!”
ผู้อาวุโสสามไม่ยอมแพ้ “งั้นตอนนี้ผู้นำเป็นอะไรไปล่ะ! แกทำงานไม่ได้เรื่องแล้วยังมาแก้ตัวอีก!”
เป่ยโต่วเถียงขาดใจ “นี่ ตาเฒ่าไม่รู้จักตายอย่างนายน่ะ รู้จักแต่โทษนั่นโทษนี่ แล้วทำไมนายไม่ห้ามเอง…”
เกิดการทะเลาะโวยวายลั่นห้องประชุมแล้ว เยี่ยหวันหวั่นซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ก็กุมหน้าผากอยู่เงียบๆ
สำหรับแถลงการณ์เมื่อครู่นั้น เธอก็รู้สึกว่าบ้าบอเกินไปจริงๆ เธอต้องไปดื่มเหล้าสงบอารมณ์สักหน่อยแล้ว…
….
สุดท้ายเยี่ยหวันหวั่นก็ล้มเลิกความคิดอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้นไป
ต่อให้เธอเริ่มต้นทำดีเอาตอนนี้ ก็เปลี่ยนแปลงเรื่องที่เธอเป็นนักเลงหัวไม้ไม่ได้
พอนึกถึงว่าที่รักของเธอจะมีสายตาหวาดกลัวเธอและรังเกียจเธอ แค่คิดเธอก็รับไม่ไหวแล้ว
ไม่ได้ เธอต้องปกปิดความลับนี้ไว้ให้ได้ จะทำให้เขาตกใจกลัวไม่ได้
ใช่แล้ว สำหรับที่รักของเธอ เธอคือผกาขาวดอกน้อยที่บริสุทธิ์งดงาม!
ในความทรงจำของเยี่ยหวันหวั่น เส้นทางรักนี้นับว่าน่าตื่นเต้นหวาดเสียวสุดๆ…
อย่างเช่น ในห้วงความทรงจำ บางครั้งที่ทั้งคู่ออกไปกินข้าวข้างนอก
ผลลัพธ์คือไม่นึกเลยว่าจะถูกหาเรื่อง
หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้วและเตรียมจะกลับ เดิมทีก็เดินกันอยู่ดีๆ แต่ด้านหน้ากลับมีคนกลุ่มหนึ่งเดินส่ายอาดๆ เข้ามา คนพวกนั้นดื่มเหล้าเมามาย กินพื้นที่ถนนทั้งหมด เดินโซเซไปมา ชนกันล้มลงไปเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาโทษพวกเขาแทน
“ไอ้เวร! แม้แต่ผู้เฒ่าอย่างข้าก็กล้าชนเหรอ! รนหาที่ตายสินะ!” ชายร่างใหญ่สักลายที่ล้มลงไปตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว
ลูกน้องคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างก็กรูกันเข้ามา “แม่ง พวกแกสองคนมานี่เลย รีบขอโทษลูกพี่ของพวกเราซะ!”
“ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม!”
….
เยี่ยหวันหวั่นมองแวบหนึ่ง ก็พบว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักเลงธรรมดาแต่เป็นสมาชิกของพยัคฆ์ทมิฬกลุ่มอำนาจในพื้นที่ และคนที่ล้มคนนั้นคือหัวหน้าสาขาย่อยด้วย
ระดับพลังวรยุทธ์ของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ต่ำต้อย โดยเฉพาะหัวหน้าสาขาย่อยของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ มีชื่อเสียงในวงการศิลปะวิทยายุทธ์อยู่บ้าง
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ เธอก็สามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้
แต่ว่าตอนนี้ทำไม่ได้น่ะสิ!
ตอนนี้ที่รักของเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อหน้าที่รักของเธอ ต่อให้เป็นฝาขวดน้ำอัดลม เธอก็เปิดไม่ออกด้วยซ้ำ!
พอเห็นคนพวกนี้ด่าล้งเล้งไม่มีเหตุผล ดวงตาของซือเยี่ยหานก็ทอประกายเยียบเย็นนิดๆ
“บัดซบ! ไอ้หนุ่มหน้าเหม็น แกยังกล้าถลึงตาใส่ฉันอีกเหรอ!”
เยี่ยหวันหวั่นมองคนของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬแวบหนึ่ง หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมา
จบเห่แล้ว!
คนพวกนี้ต่างก็เคยถูกเธอซ้อมมาแล้วทั้งนั้น ทุกคนรู้จักเธอหมดเลย!
เพียงแต่โชคยังดี เยี่ยหวันหวั่นไม่ต้องการให้ฐานะของตัวเองถูกเปิดโปง ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจึงแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนกุลสตรีเป็นพิเศษ แถมยังสวมแว่นตากรอบดำหนาเตอะอีกด้วย
ประกอบกับคนพวกนี้ดื่มกันมาหนัก ดังนั้นจึงคล้ายว่าจะจำเยี่ยหวันหวั่นไม่ได้ชั่วครั้งชั่วคราว
พอเห็นว่าคนพวกนี้เหมือนจะจำตัวเองไม่ได้ เยี่ยหวันหวั่นถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นเลยกระแอมไอเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็โก่งลำคอ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนหวานว่า “ขอโทษด้วยๆ ลูกพี่ใหญ่ทั้งหลาย พวกเราไม่ทันระวังจริงๆ คนยิ่งใหญ่อย่างพวกพี่อย่างถือสาผู้น้อยเลยนะ! ต่อไปไม่กล้าแล้วแน่นอน!”