ตอนที่ 2354 หอคอยศิลายักษ์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ทั่วฟ้าดินเหมือนจะมืดไปชั่วคราว รอบด้านมีเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้าไปหากระบี่จิตวิญญาณ จากนั้นก็กลายเป็นปราณฟ้าดินพร้อมหายไปในกระบี่อย่างไร้ร่องรอย

บนกระบี่เล่มยาวสีเขียวดำมีอักษรรูนสีเงินปรากฏขึ้นบางๆ หลังจากที่แสงกระบี่สีเขียวเข้มตวัดออกมา มันก็ฟันไปที่ม่านแสงสีทองอย่างมั่นคง

“ตู้ม” เสียงหนึ่งดังขึ้น

ทันใดนั้นลำแสงของกระบี่ก็สว่างขึ้น สว่างแทบจะเท่าแสงพระอาทิตย์สีเขียวแล้ว ม่านแสงทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยแสงของปราณกระบี่

มีเสียงปริแตกออกมาจากม่านแสงนั้น จู่ๆ อักษรรูนห้าสีก็สว่างวาบ และหมุนวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดมันละลายหายไปเพราะแสงพระอาทิตย์สีเขียวเหล่านั้น

พร้อมเกิดเสียงระเบิดดัง “ตู้ม” ขึ้นอีกครั้ง ม่านแสงที่ว่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ใบหน้าของหานลี่ซีดขาวเล็กน้อย มือสั่นกึกๆ กลางฝ่ามือของเขาไม่มีกระบี่อยู่แล้ว ร่างกายของเขาพร่าเลือน และไปปรากฏกายอยู่กลางเขตอาคมส่งตัวทันที

ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขากระแทกไปที่ความว่างเปล่ากลางวงแหวนในเขตอาคม เขตอาคมสีขาวสว่างวาบขึ้นมา แล้วหายไปในชั่วพริบตา

เขตอาคมส่งตัวส่งสัญญาณเบาๆ ตรงกลางมีแสงสีขาวพัดขึ้น หานลี่ที่เคยยืนอยู่ตรงกลาง แต่บัดนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

วินาทีถัดมา เมื่อแสงสีขาวอ่อนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หานลี่ก็ปรากฏตัวอยู่ในมิติสีเทา ด้านหน้ามีหอคอยศิลายักษ์สูงเกือบจะเท่าภูเขาลูกหนึ่ง

หอคอยศิลานี้ เมื่อมองจากด้านล่างขึ้นไป เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของหอคอยศิลานี้เลย หอคอยนี้มีแดงเหมือนเลือด ด้านบนมีอักษรรูนสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาอย่างลึกลับ มันดูมหัศจรรย์อย่างมาก หานลี่มองไปที่หอคอยศิลาแห่งนี้ เมื่อมองอยู่ความว่างเปล่ารอบด้าน ใบหน้าของความประหลาดใจก็ปรากฏที่ใบหน้าของหานลี่

สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร ที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพระราชวังหรือสมบัติเหล่านั้นเลย

ราวกับว่าเขาถูกส่งตัวจากเขตต้องห้ามไปอยู่สถานที่แห่งอื่น

ในขณะเดียวกัน ในที่สุดเซียวหมิงและสหายก็สามารถทะลวงออกจากเขตต้องห้ามหิมะได้แล้ว เมื่อมองไปด้านหน้าเขาก็เห็นพระราชวังสีทอง ตำหนักสีเงินอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาก็ดูไม่ได้อย่างมาก

“ไม่ใช่สิ ที่นี่ไม่ศูนย์กลางของพระราชวังเทียนติ่ง แต่หากตามคำจดบันทึกที่ได้รับสืบทอดของข้าน้อย หากไปที่เขตอาคมส่งตัวแล้ว มันจะส่งมาที่นี่ได้อย่างไร” นักพรตชิงผิงบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

“สหายชิงผิงสิ่งจดบันทึกเอาไว้จะต้องไม่มีสิ่งผิดพลาดแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเราไม่สามารถเดินทางมาถึงตรงนี้ได้หรอก เมื่อเป็นเช่นนี้ พื้นที่เขตต้องห้ามจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่พวกเราคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน ถึงมีเรื่องผิดพลาดเช่นนี้” หลังจากที่เซียวหมิงลูบคาง เขาก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น

“อะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่พวกเราคาดไม่ถึง หรือว่าเขตต้องห้ามเหล่านี้จะเกิดการพัฒนาตนเอง” ฮูหยินวั่นฮวารู้สึกโกรธเล็กน้อย

“เรื่องนี้พูดยาก เขตอาคมของอรหันต์เทียนติ่งมักอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเรา พระราชวังเทียนติ่งก็อยู่มาตั้งหลายปีแล้ว หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมันก็ไม่น่าแปลกใจ แต่เขตต้องห้ามชั้นอยู่ก็ยังเหมือนเดิม ส่วนการเข้าไปในส่วนกลางคงจะมีอะไรที่ต่างออกไป เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไป แต่สิ่งที่ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือ มีคนเข้าไปในส่วนกลางนั้นแล้ว พื้นที่จึงเกิดการขยับ น่าจะเป็นเรื่องแบบนั้นมากกว่า” เซียวหมิงพูดขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย

“ขยับพื้นที่ต้องห้าม? จะเป็นไปได้อย่างไร นอกจากพวกเราแล้ว ก็มีเพียงแค่เด็กคนนั้นเท่านั้น ไม่มีใครที่มาเร็วกว่าพวกเราแล้ว อีกทั้งต่อให้มีคนเข้ามา แต่ในเวลาที่สั้นเช่นนี้ ต่อให้มีพลังเซียนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้องห้ามที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้หรอก” ฮูหยินวั่นฮวาส่ายหน้า

“หึๆ เหมือนว่าสหายวั่นฮวาจะลืมตอนที่เข้ามาในพระราชวังเทียนติ่งแล้วล่ะมั้ง ตอนนั้นแม้ว่าระดับการฝึกของพวกเขาจะไม่สูง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีกุญแจของแท้ ตอนแรกที่พระราชวังปิด เหมือนว่าจะมีไม่กี่คนที่ไม่ได้ใช้เขตอาคมส่งตัวออกไปสินะ” แววตาของเซียวหมิงสว่างวาบ พร้อมกล่าวอย่างช้าๆ

“พี่เซียวหมายความว่า คนที่เข้ามาในพระราชวังเทียนติ่งครั้งที่แล้วยังมีชีวิตอยู่หรือ อีกทั้งพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงเขตต้องห้ามเหล่านี้” เมื่อสหายชิงผิงได้ยินดังนั้นเขาก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

“น่าจะเป็นเช่นนั้น หากไม่แล้วก็ไม่น่าจะมีทางอื่น” เซียวหมิงมองไปยังพระราชวังสีทองด้านหน้า แล้วเอ่ยตอบ

“ปกติแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อตอนที่พระราชวังเทียนติ่งปิด คนทั้งหมดจะถูกส่งตัวออกไป แต่หากมีวิชาลับที่ถูกทิ้งไว้ล่ะก็ อาจจะต้องถูกเขตต้องห้ามกำจัดในทันที นอกเสียจากคนผู้นั้นจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าอรหันต์เทียนติ่งในปีนั้นสามส่วน ถึงจะสามารถต่อต้านเขตอาคมเหล่านี้ได้ หรือว่าอาจจะมีบางคนที่สามารถเข้าไปถึงส่วนกลางของพระราชวัง และนำเอาเสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งในปีนั้นไป หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ต่อให้ต้องอยู่ในพระราชวังเทียนติ่งก็ไม่มีปัญหา และเปลี่ยนทางเข้าออกก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก แต่สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้” หลังจากที่นักพรตชิงผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างลังเล

“พระราชวังเทียนติ่งเป็นสถานที่ที่อรหันต์เทียนติ่งฝึกฝนก่อนที่จะขึ้นไปอยู่แดนเซียน พลังของเขาในปีนั้นยิ่งใหญ่แน่นอนอยู่แล้ว มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่หากคนผู้นั้นสามารถควบคุมศูนย์กลางของพระราชวังได้ หรือได้เสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งไป นั่นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้น ปีนี้พระราชวังเทียนติ่งคงไม่ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว” จู่ๆ เซียวหมิงก็พูดขึ้นพร้อมยิ้มเย็นๆ

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ คนที่ยังเหลือรอดในพระราชวังเทียนติ่งอาจจะควบคุมได้บางส่วนเท่านั้น และไม่สามารถควบคุมส่วนกลางและเอาสมบัติที่สำคัญที่สุดของพระราชวังเทียนติ่งไปได้” แววตาของฮูหยินวั่นฮวาเปล่งประกาย ตอนนั้นเองนางก็สามารถเดาความหมายของเซียวหมิงได้แล้ว

“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เซียวหมิงมีท่าทางมั่นใจอย่างมาก

“หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พวกเราก็ยังมีโอกาส แต่ตอนนี้สิ่งที่จดบันทึกเรื่องการส่งตัวออกจากพระราชวังเทียนติ่งก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว หากจะไปยังศูนย์กลาง เราต้องไปยังม่านแสงของดินแดนแห่งนี้ แล้วใช้วิธีที่ดีที่สุดทะลวงเข้าไป ที่ศูนย์กลางแห่งนั้น น่าจะมีหอคอยศิลายักษ์แห่งหนึ่งตั้งอยู่” ใบหน้าของนักพรตชิงผิงปรากฏความดีใจ ในที่สุดเขาก็เปิดเผยข้อมูลบางส่วนเพิ่มเติมแล้ว “แต่พื้นที่แห่งนี้แข็งแกร่งมาก พวกเราใช้เวลานานมากกว่าจะทะลวงมาได้ หากต้องทะลวงเข้าไปใหม่อีกรอบ มันจะยังทันหรือ? มันจะไม่ทำให้ล่าช้าใช่หรือไม่?” ฮูหยินวั่นฮวารู้สึกลังเลเล็กน้อย

“พวกเราคุ้นเคยกับเขตต้องห้ามเหล่านี้แล้ว ต้องให้ทะลวงอีกสักรอบ น่าจะประหยัดเวลามากกว่าเดิม ความจริงแล้ว หากข้ากับสหายทั้งสองไม่เสียดายปราณก็ต้องใช้ทุกวิธีการ เพื่อให้ย่นระยะเวลาทะลวงเข้าไปให้ได้เร็วที่สุด” เซียวหมิงพูดขึ้น

เมื่อนักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่ามีเหตุผลมาก จึงพยักหน้าให้

ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงพุ่งเข้าไปยังม่านแสงฝั่งตรงข้ามที่สามารถมองเห็นได้ไกลๆ เขาเมินพระราชวังสีทองและตำหนักสีเงินโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่หานลี่บินวนรอบๆ หอคอยศิลาแห่งมาเป็นเวลานาน เขาก็หาทางเข้าไม่เจอ อีกทั้งกลับมายืนที่จุดเดิม เขาขมวดคิ้วแน่น จู่ๆ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นมา แล้วกลายเป็นขวดโอสถสีขาวเล็กๆ หนึ่งขวด

ขวดโอสถนั้นดูเรียบเนียน สว่างเกือบจะใส ด้านในมีแสงสีเลือดสว่างวูบวาบไม่อยู่

“คิดไม่ถึงว่าร่างหลักของสหายปิงพั่วจะถูกขังอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะการตอบสนองที่แผ่วเบาเช่นนั้น เกรงว่าข้าอาจจะพลาดที่นี่ไปแล้ว”

หานลี่บ่นขึ้นสองสามประโยค เขากำขวดโอสถในมือแน่น แล้วหันกลับไปมองหอคอยศิลาแห่งนี้ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ปีขึ้นไปทีละชั้น

หลังจากขึ้นมาสิบกว่าชั้นแล้ว จู่ๆ แสงโลหิตที่อยู่ภายในขวดโอสถก็สว่างมากขึ้นเล็กน้อย

แม้กว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ตาเนื้ออาจจะมองไม่เห็นความแตกต่าง แต่ไม่สามารถหลบหลีกจากหูตาของหานลี่ได้หรอก

หลังจากที่หานลี่ขยับตัว เขาก็บินไปยังหอคอยศิลาฝั่งตรงข้าม จนในที่สุดก็หยุดยืนอยู่ที่ตัวอักษรโบราณสีเงิน

“อักษรสลักเงิน หากเป็นคนอื่นแล้วคงยุ่งยากแน่นอน แต่สำหรับข้าแล้ว…”

หานลี่มองดูอักษรสลักเงินเหล่านั้นอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนขึ้น พร้อมใช้นิ้วชี้แตะไปที่อักษรสลักเงินเหล่านั้นสองสามครั้ง

หลังจากที่อักษรเหล่านั้นเปล่งแสงขึ้น มันก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้เสียง จนสุดท้ายพวกมันก็รวมกันเป็นตัวอักษรรูนขนาดใหญ่ พร้อมหมุนไปมาด้วยตนเองด้วย

ศิลาที่ดูแข็งแกร่งด้านหน้าของเขา ก็สว่างขึ้นทันที พร้อมปรากฏทางเข้าสีดำ

ทันทีที่หานลี่ขยับตัว เขาก็หายเข้าไปด้านในทันที ทางเข้าก็ผสานกันเช่นเดิม

หลังจากที่ทั้งสองเท้าของเขาเหยียบไปบนพื้นราบเรียบ จิตวิญญาณของหานลี่ก็สั่นไหวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งของเขาแบขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า จากนั้นก็มีลูกบอลแสงสีขาวปรากฏขึ้น ทางเดินที่เคยมืดมิดก็สว่างขึ้นเหมือนเป็นเวลากลางวัน

เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมมองเห็นทุกอย่างในทางเดินอย่างชัดเจน

ทางเดินทั้งหมดเป็นรูปครึ่งวงกลม ผนังและพื้นดินทั้งหมดล้วนเป็นแผ่นหินธรรมดา แต่ว่าพวกมันก็มีอักษรโบราณไม่ทราบชื่อชนิดหนึ่ง บันทึกไว้อย่างบิดเบี้ยว สีแดงสด แล้วยังมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจางๆ ด้วย

หานลี่หลับตาลง พร้อมใช้นิ้วชี้กดไปที่ระหว่างคิ้ว พร้อมปลดปล่อยจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออกมา

จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมจับลางสังหรณ์อย่างหนึ่งได้

ที่นี่ถูกควบคุมการใช้จิตสัมผัสมากกว่าด้านนอก เขตต้องห้ามของที่นี่แข็งแกร่งมาก

อรหันต์เทียนติ่งผู้นั้นสมแล้วที่เป็นคนที่ขึ้นไปยังแดนเซียนสำเร็จ วิธีการสร้างเขตอาคมของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย

หลังจากหานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินก้าวไปด้านหน้า ด้วยระดับกายเนื้อที่แข็งแกร่ง เมื่อเขาวิ่งเต็มกำลัง ไม่ช้ากว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปควบคุมรุ้งแน่นอน

หากไม่ได้เจอเรื่องอันตรายอย่างเช่นตอนนี้เขาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน

แต่ว่าหลังจากที่วิ่งไปเรื่อย เขาก็วิ่งขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ ยิ่งวิ่งยิ่งสูง

แต่ใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็วิ่งมาถึงความสูงร้อยกว่าจั้งแล้ว

ทันใดนั้นด้านหน้าก็มีแสงสว่างวาบ มองเห็นทางออกที่อยู่ไม่ไกล

หานลี่หรี่ตามอง แต่ก็ยังไม่หยุดฝีเท้า เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อเข้าวิ่งออกมาจากทางเดิน สิ่งที่อยุ่ตรงหน้าเขาคือห้องโถงขนาดใหญ่ เขากวาดสายตาไปรอบๆ จึงอดตกตะลึงไม่ได้