เล่มที่ 33 เล่มที่ 33 ตอนที่ 989 ไร้เทียมทาน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

คนที่ลงมือกับเป่ยถังเย่ไม่ได้มาเพียงแค่หนึ่ง ทว่ามีถึงสองคน

ราชครูแคว้นไหวเจียง กูสือซาน และอดีตองค์รัชทายาทแคว้นจงหนิงผู้ลี้ภัยไปแคว้นไหวเจียง เยี่ยเซิน

จากนั้น ประมุขสำนักห้าพิษ หลานอวี่ ได้พากลุ่มนักฆ่าตามเข้ามา

อนุซุนพลันดีใจ นางรีบลุกขึ้นคำนับหลานอวี่ “ประมุขหลาน! ”

“พวกสวะ! ” หลานอวี่ตบหน้าอนุซุนอย่างแรง “เรื่องเล็กแค่นี้ก็จัดการไม่ได้ แคว้นไหวเจียงเลี้ยงดูสวะเช่นเจ้ายังมีประโยชน์อันใด? ”

กล้ามเนื้อมุมปากของอนุซุนกระตุกอย่างแรง ทว่าไม่กล้าต่อปากต่อคำ นางกำหมัดแน่นและพูดว่า “เป็นข้าน้อยที่จัดการได้ไม่ดี ขอท่านประมุขหลานโปรดให้อภัยและให้โอกาสข้าน้อยแก้ตัวอีกครั้ง”

“มีข้าและราชครูกูอยู่ที่นี่ ยังต้องใช้งานเจ้าอีกหรือ? ”

อนุซุนรีบก้มศีรษะลงต่ำเล็กน้อย

“ไปให้พ้น! ” หลานอวี่ตวาดเสียงแข็ง

อนุซุนรีบไปยืนอีกฝั่ง

จากนั้น หลานอวี่ก็หยิบขลุ่ยหยกขึ้นมาเป่า

เสียงขลุ่ยอันไพเราะค่อยๆ ดังขึ้น แมลงปอโลหิตจำนวนมากบินมาจากระยะไกล

พวกมันคือแมลงปอโลหิตที่หลานอวี่เลี้ยงมาเป็นพิเศษ หากมันแตะบนร่างมนุษย์ ผู้มีวรยุทธ์อ่อนแอจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากถูกพวกมันกัดเป็นแผล แม้จะเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งก็ต้องได้รับพิษอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตอนนั้น เยี่ยโยวเหยาที่มีวรยุทธ์จิ่วเซียวผ่านระดับหกก็เคยประสบกับตนเองมาแล้ว

“แย่แล้ว แมลงปอโลหิตพวกนั้นมีพิษ ทุกคนระวัง อย่าให้พวกมันกัด”

ไม่รู้ว่าผู้ใดเอ่ยเตือนเสียงดัง ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง องครักษ์หลายนายก็ล้มลงไปนอนบนพื้น

องครักษ์ที่เหลือถือกระบี่ฟันแมลงปอโลหิตทีละตัว ทว่าไม่ได้ผล ทั้งยังมีคนถูกแมลงปอโลหิตกัดอย่างต่อเนื่อง

เป่ยถังเย่มององครักษ์ล้มลงทีละคน พลางขมวดคิ้วอย่างรุนแรง ทว่าเขาถูกกูสือซานและเยี่ยเซินดักไว้ ทำให้ปลีกตัวไปไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องระวังตนเองอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ถูกแมลงปอโลหิตเหล่านั้นกัด

แม้ตอนนี้กูสือซานจะเหลือแขนเดียว ทว่าในระยะเวลาไม่กี่เดือน วรยุทธ์ของเขากับเยี่ยเซินดูเหมือนจะรุดหน้าขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะเยี่ยเซินที่ลงมืออย่างเยือกเย็น อีกทั้งกระบวนท่ายังโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ

เมื่อเห็นว่าในเวลาอันสั้น องครักษ์ของแคว้นเป่ยอี้ล้มลงไปกว่าครึ่ง เป่ยถังเย่จึงขมวดคิ้วเครียด ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล

แววตาของหลานอวี่หยุดที่ร่างของหลานเยวี่ยหลีซึ่งอยู่ไม่ไกล

นางไม่เพียงสลบ ซ้ำยังถูกแมลงปอกัดหลายครั้งจนใบหน้าเป็นสีม่วง

“ยังไม่พานางมานี่อีก” หลานอวี่กล่าวเสียงเย็นชากับอนุซุน

“ได้! ” อนุซุนตอบและเดินไปหาหลานเยวี่ยหลี

ทว่าทันทีที่นางถึงตัวหลานเยวี่ยหลีและกำลังจะพยุงนางลุกขึ้น ทันใดนั้นก็พบว่าแมลงปอโลหิตที่แพร่กระจายไปทั่วร่างก็ค่อยๆ ร่วงลงพื้นทีละตัวราวกับใบไม้ และหลังจากร่วงลงก็กลายเป็นฝุ่นผงสลายหายไป

เกิดอันใดขึ้น?

ผู้ที่จัดการกับแมลงปอโลหิตของประมุขหลานได้… หรือว่าจะเป็นซูจิ่นซี?

บนโลกนี้ ผู้ที่สามารถทำลายแมลงปอโลหิตของประมุขหลาน มีเพียงซูจิ่นซีคนเดียวเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ อนุซุนก็หันหลังมองออกไปนอกประตูทันที

กลับไม่คิดว่าไม่ใช่ซูจิ่นซี ทว่าเป็นอนุปี้และซูอวี้ นอกจากนี้ ข้างกายของพวกเขายังมีกองไฟขนาดใหญ่ที่ถูกจุดขึ้น อนุปี้โยนสิ่งของข้างกายที่เผาได้เข้าไปในกองไฟเรื่อยๆ พยายามทำให้ไฟลุกโชนยิ่งขึ้น

ซูอวี้ยืนอยู่ข้างกองไฟ เขามองหลานอวี่ด้วยแววตาเย็นชาเยือกเย็นสามส่วนและเย่อหยิ่งสามส่วน… ทั้งยังมีอีกสามส่วนที่ราวกับว่ากำลังมองเศษหญ้า

เศษหญ้า…

นึกไม่ถึงว่าจะถูกเด็กอายุราวสิบกว่าปีมองนางเหมือนเศษหญ้า นางเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองแววตาเช่นนั้น แผ่นหลังของหลานอวี่กลับเย็นวาบขึ้นมาทันที

แววตาเช่นนั้น ในชีวิตนี้นางเคยเห็นจากคนผู้เดียว ผู้นั้นมีรูปลักษณ์ผ่อนคลาย สูงโปร่งราวเทพเซียน อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง และไร้เทียมทาน

ทว่านางเห็นเงาของอีกคนทับซ้อนร่างคนผู้นั้น

เห็นผีแล้วจริงๆ

รอจนกระทั่งหลานอวี่ได้สติ ซูอวี้ก็โยนถุงยาเข้าไปในกองไฟ

“เจ้าโยนสิ่งใดเข้าไปในกองไฟ? ”

“สิ่งที่จะจัดการกับพิษพวกนี้ได้” ซูอวี้กล่าวเสียงดัง “ประมุขหลาน ข้าไม่ได้ตั้งใจเป็นศัตรูกับท่าน ท่านยังไม่รีบไปอีก! วันนี้ตราบใดที่ข้าอยู่ วิชาพิษของท่านจะไม่มีผลใดๆ หากใช้พิษไม่ได้ ท่านคิดว่า… ผู้มีวรยุทธ์ไม่กี่คนของท่านจะเป็นคู่ต่อสู้พวกเราได้หรือ? ”

เคล็ดลับจัดการกับแมลงปอโลหิตนี้ ซูจิ่นซีเป็นผู้สอนเขา นอกจากนี้จดหมายที่สองฝ่ายตอบกันไปมา นางยังได้สอนจุดสำคัญเกี่ยวกับวิชาพิษของแคว้นไหวเจียงจำนวนมากให้เขา นางเกรงว่าตอนที่นางและเยี่ยโยวเหยาไม่อยู่แคว้นจงหนิง แคว้นไหวเจียงจะฉวยโอกาสโจมตีแคว้นจงหนิง

ต่อมาภายหลัง เขาศึกษาอย่างเจาะลึกและฝึกฝนอย่างแข็งขัน แม้ด้านวิชาพิษจะไม่ได้เก่งกาจเหมือนซูจิ่นซี ทว่าเขาได้ค้นพบแนวทางใหม่ และสร้างรูปแบบหลายชุดเพื่อจัดการกับวิชาพิษแคว้นไหวเจียงโดยเฉพาะ

ประกอบกับวิชาพิษไม่แบ่งแยกตระกูล เขาเป็นอัจฉริยะด้านวิชาแพทย์ ดังนั้นแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันอันใดเขาก็จะรับมือกับมันได้อย่างเชี่ยวชาญ

คนอื่นๆ ที่ไม่มีวิชาพิษช่วยสนับสนุนหลานอวี่ เสมือนนกอินทรีได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องยากหากคิดจะเอาชนะเป่ยถังเย่และองครักษ์จวนอี้อ๋อง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอนุปี้อีก

ทว่าหลานอวี่ไม่เชื่อในวิธีนี้

“หึ เด็กเหลือขอ ขนยังไม่ทันขึ้นครบเลย! นึกไม่ถึงว่าจะพูดจาโอหังอวดดี”

ทันทีที่สิ้นเสียง เป่ยถังเย่ที่อยู่ด้านหลังก็ซัดกูสือซานไปอยู่แทบเท้าของหลานอวี่

หลังจากล้มลงกับพื้น กูสือซานก็ลุกขึ้นทันที ทว่ากลับอาเจียนเป็นเลือด เขาล้มลงกับพื้นอีกครั้งและหมดสติไป

หลานอวี่ใบหน้าซีดเผือด

ซูอวี้ที่มองแววตาของหลานอวี่ก็ยิ่งทะนงตนขึ้นเล็กน้อย

อนุปี้โจมตีหลานอวี่ทันที ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้หลานอวี่ นางก็ถูกอนุซุนพุ่งขนาบข้างมาขวางไว้ ในไม่ช้าทั้งสองจึงต่อสู้กัน

หลานอวี่กล่าวว่า “หึ เด็กเหลือขอ เจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว”

นางพูดพลางงอนิ้วชี้มือขวาเข้าหานิ้วโป้งและวางไว้บนริมฝีปากปาก ก่อนจะเป่าออกมา

เสียงนั้นแหลมสูง ในไม่ช้าก็มีเสียงแปลกประหลาดดังมาจากระยะใกล้ เหมือนเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด

ซูอวี้แยกออกทันทีว่านั่นคือศพพิษของแคว้นไหวเจียง

ในชั่วพริบตา ศพพิษก็มาถึงตรงหน้าแล้ว พวกมันแต่ละตัวแข็งแรงกำยำ ตัวใหญ่ดุร้าย บริเวณปากมีน้ำลายสีเขียวไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

แม้ดูน่าขยะแขยง ทว่าพวกมันทั้งหมดมีพิษรุนแรง เพียงติดเชื้อ คนธรรมดาจะต้องตายทันที ศพพิษเป็นพิษที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมที่สุดของแคว้นไหวเจียง ทุกแคว้นในอาณาจักรเทียนเหอต่างก็ได้รับความเดือดร้อน ไม่เว้นแม้กระทั่งเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีที่ในตอนนั้นก็เคยเสียเปรียบจากพวกนี้

สมุนไพรที่ซูอวี้เติมเข้าไปในกองไฟ ไม่เพียงจัดการกับแมลงปอโลหิตเท่านั้น นอกจากนี้ยังถอนพิษแมลงปอโลหิตได้ด้วย องครักษ์แคว้นเป่ยอี้ที่ได้รับพิษจากแมลงปอพิษต่างปลอดภัยดีทุกคน พวกเขากำลังเตรียมต่อสู้กับศพพิษ ซูอวี้หยิบขลุ่ยสั้นออกมาจากอ้อมแขน

“ไม่ต้องแล้ว ศพพิษพวกนี้ให้ข้าจัดการก็พอ”

หลานอวี่มองพลางขมวดคิ้วเบาๆ และยกยิ้มเย็นชา “น่าขัน เจ้าคิดว่าใช้แค่ขลุ่ยสั้นก็จัดการพวกมันได้หรือ? คิดเพ้อเจ้อเสียจริง”

ซูอวี้ไม่ตอบหลานอวี่ แต่กลับเป่าขลุ่ยไปเรื่อยๆ

ขณะที่เสียงขลุ่ยค่อยๆ ดังขึ้นอย่างไพเราะ สีหน้าของหลานอวี่พลันเปลี่ยนไป