ซูอวี้ไม่รู้วรยุทธ์ จึงไม่สามารถไล่ตามอนุซุนไปได้ เขาหันกลับมาตะโกนเรียกอนุปี้อย่างร้อนใจ “ท่านแม่ คุณหนูเยวี่ยหลีถูกอนุซุนพาตัวไปแล้วขอรับ”
อนุปี้ที่ถูกซูเซียนฮุ่ยสกัดไว้จึงปลีกตัวไปไม่ได้ชั่วคราว นางปลีกตัวออกมาได้อย่างลำบากและไล่ตามอนุซุนไป ทว่าอนุซุนจากไปไกลมากแล้ว
ซูเซียนฮุ่ยถูกซัดล้มลงกับพื้น ก่อนจะยืนขึ้นมาคว้าคอเสื้อของซูอวี้ “เด็กเหลือขอ กล้าขวางทางข้า เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ”
“พี่เซียนฮุ่ย” ขอบตาของซูอวี้แดงก่ำเล็กน้อย “ท่านวางมือเถิด หากท่านพ่อที่อยู่ในปรโลกเห็นท่านเป็นเช่นนี้จะปวดใจเพียงใด? ”
อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวต่างมารดา ซูอวี้ยังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง
เขากลับไม่คิดว่าซูเซียนฮุ่ยจะพูดเสียงเย็นชาว่า “หุบปาก! หากพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้ หากฉลาดก็นำทางข้าไปดีๆ บางทีข้าอาจเห็นแก่สายสัมพันธ์ครอบครัว ให้เจ้าตายในสภาพที่ดูดีสักนิด”
ดวงตาของซูเซียนฮุ่ยได้รับบาดเจ็บและมองไม่เห็น นางจึงตามอนุซุนไปได้ลำบาก นางให้ซูอวี้เป็นดวงตาให้ตนเอง
ซูอวี้ก็อยากไล่ตามไปให้ทัน เพื่อดูว่าอนุปี้กับหลานเยวี่ยหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จึงชี้ให้ซูเซียนฮุ่ยรู้ทาง จากนั้นทั้งสองก็รีบตามไปทันที
อนุซุนพาหลานเยวี่ยหลีนำไปข้างหน้าจนข้างหลังมองไม่เห็นเงาร่างของอนุปี้และคนอื่นๆ
หลานเยวี่ยหลีดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด “ปล่อยข้า เจ้าปล่อยข้า เจ้าจะพาข้าไปที่ใด? ”
“หุบปาก! ” อนุซุนฟาดเข้าที่คอของหลานเยวี่ยหลีด้วยความรำคาญจนนางสลบไป
จากนั้นนางก็พาหลานเยวี่ยหลีไปต่อ เหาะไปมาสลับระหว่างภูเขาและป่า หลังผ่านเนินเขาไป เบื้องหน้าก็พลันปรากฏเมืองหนึ่ง
แม้ในเมืองจะมีคนไม่มากนัก ทว่าพิจารณาอย่างละเอียดก็ยังถือว่าเจริญพอสมควร
“ภูเขากันดารห่างไกล ปรากฏเมืองเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
อนุซุนรู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ ทว่าตอนที่หันกลับมาก็ไม่เห็นเส้นทางภูเขาขามาแล้ว แผ่นหลังของนางเย็นวาบขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นางต้องการออกจากเมืองแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ทว่านางพาหลานเยวี่ยหลีวนอยู่ในเมืองหลายรอบก็ไม่สามารถออกไปได้ นางสอบถามผู้คนที่สัญจรไปมา ทว่าไม่มีผู้ใดตอบนางแม้แต่น้อย
ดูแล้วเรื่องนี้คงต้องวางแผนระยะยาว อนุซุนพาหลานเยวี่ยหลีนั่งลงที่ร้านอาหารด้านข้าง สั่งอาหารสองสามอย่างและข้าวสวย กินให้อิ่มท้องก่อนค่อยว่ากัน
เสี่ยวเอ้อยกชามาให้ทั้งสองคน อนุซุนหยิบถ้วยชาขึ้นกำลังจะดื่ม กลับไม่คิดว่าชาจะเป็นสีดำ
อนุซุนโยนถ้วยชาลงกับพื้นแตกเสียงดัง ‘เพล้ง’ “เสี่ยวเอ้อ! ”
ไม่คิดว่าด้านนอกจะมีกลุ่มคนพุ่งเข้ามาล้อมอนุซุนไว้ตรงกลาง
อนุซุนขมวดคิ้วอย่างรุนแรง มองดูแล้วคนเหล่านี้ไม่เหมือนทหารฝ่ายราชสำนักและไม่เหมือนสำนักในยุทธภพ การแต่งกายไม่เหมือนทหารแคว้นจงหนิง นางจึงอดรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจไม่ได้ นางจับกระบี่ข้างกายแน่น
“พวกเจ้าคือผู้ใดกัน? ”
ไม่กี่คนที่ยืนพิงประตูถอยไปอีกทางหนึ่งอัตโนมัติ บุรุษสวมชุดขาวนวลจันทร์ คิ้วเรียวยาวดั่งต้นหลิว ใบหน้าดั่งหยกประดับ ก้าวเดินจากด้านนอกประตูเข้ามาด้านใน
อนุซุนเห็นเขาก็ขมวดคิ้วอย่างรุนแรง
คนผู้นี้ดูคุ้นหน้าราวกับว่าเคยเห็นที่ใดสักแห่ง ทว่านึกไม่ออกว่าคือผู้ใด
นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านคือผู้ใด? ”
คนผู้นั้นไม่ได้ตอบในทันที ทว่าหลานเยวี่ยหลีที่นั่งอยู่เก้าอี้ด้านข้างเริ่มได้สติและเหลือบมองผู้ที่มา นางพึมพำอย่างมึนงงว่า “พี่… พี่เย่? ”
“พี่เย่? ”
ในอาณาจักรเทียนเหอมีผู้ที่มีท่าทีเช่นนี้ไม่มากนัก และผู้ที่มีคำว่า ‘เย่’ ในชื่อก็ยิ่งน้อยลงไปอีก อนุซุนจึงตระหนักได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคงจะเป็นท่านอ๋องน้อยเย่จากแคว้นเป่ยอี้
เป็นจริงดั่งคาด เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในสมอง เป่ยถังเย่ก็เดินสาวเท้าผ่านอนุซุนมาอยู่ข้างกายหลานเยวี่ยหลี
“หลีเอ๋อร์ เป็นข้าเอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
มองแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างหลานเยวี่ยหลีกับเป่ยถังเย่ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดา อนุซุนครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว แม้ภารกิจที่ประมุขหลานและกงจู่มอบให้นั้นจะสำคัญมาก ทว่าชีวิตตนเองก็สำคัญมากเช่นกัน
ขณะที่อนุซุนกำลังหาโอกาสหลบหนี กลับไม่คิดว่า เมื่อนางเคลื่อนไปถึงประตูตรงหน้าก็เกิดเสียงดังปึง กระบี่พุ่งมาขวางทางนางไว้ทันที
อนุซุนสะดุ้งตกใจอย่างแรง นางเบนสายตามองด้านข้างพบว่าเป็นองครักษ์สีหน้าโหดเหี้ยมผู้หนึ่ง
ตั้งแต่คนเหล่านี้เข้ามา นางได้แอบสังเกตทั้งสองฝ่าย คนพวกนี้ฝีมือไม่ธรรมดา หากสู้กันขึ้นมา แม้นางจะยืนหยัดได้ระยะหนึ่ง ทว่าไม่ว่าอย่างไร นางก็มีโอกาสแพ้สูงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีเป่ยถังเย่ วรยุทธ์ของเป่ยถังเย่เป็นที่เลื่องลือในอาณาจักรเทียนเหอ เขาคนเดียวสามารถจัดการนางได้ภายในสามกระบวนท่า
นางไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย
ภายในใจของอนุซุนสั่นสะท้าน นางรู้สึกเพียงว่ามีเงาดำพาดผ่านสายตา ทันใดนั้น เป่ยถังเย่ก็มาอยู่ตรงหน้าและบีบคอนางแล้ว
น้ำเสียงของเขาเย็นชากระหายเลือด “เจ้าทำอันใดกับหลีเอ๋อร์? ”
อนุซุนรีบพูดว่า “ท่านอ๋องน้อยโปรดไว้ชีวิตข้าน้อย… ข้าน้อยไม่ได้ทำอันใดนาง เพียง… เพียงทำให้นางสลบ”
แสงเย็นชาพลันส่องประกายในดวงตาของเป่ยถังเย่ เขาใช้พลังโยนนางกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
อนุซุนกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอันใดขึ้น นางก็ได้ยินเสียงเป่ยถังเย่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่านาง! ”
องครักษ์ของเป่ยถังเย่ก้าวไปข้างหน้าทันทีและล้อมอนุซุนไว้
อนุซุนไม่สนใจความเจ็บปวดจากการถูกกระแทก นางรีบลุกขึ้นตอบโต้ ทว่าองครักษ์ของเป่ยถังเย่เก่งกาจมากเกินไป อนุซุนรับมือไม่ไหว ในไม่ช้าก็พ่ายแพ้และล้มลงไปบนพื้น เลือดท่วมกาย
องครักษ์ยกกระบี่ในมือขึ้น กำลังจะตัดศีรษะของอนุซุน ใบหน้าของนางพลันซีดเผือด และร้องขอความเมตตาจากเป่ยถังเย่ “ท่านอ๋องน้อย โปรดไว้ชีวิต! ท่านอ๋องน้อย ท่านฆ่าข้าน้อยไม่ได้ ท่านฆ่าข้าน้อยไม่ได้! ”
เมื่อเห็นว่าเป่ยถังเย่ยังคงนิ่งและไม่แยแส อนุซุนจึงหันไปหาหลานเยวี่ยหลีและพูดว่า “หลานเยวี่ยหลี เจ้าช่วยขอความเมตตาท่านอ๋องน้อย พวกท่าน… พวกท่านฆ่าข้าน้อยไม่ได้ อย่างน้อยข้าน้อยก็เป็นป้าของคุณชายอวี้ พวกท่าน… พวกท่านฆ่าข้าไม่ได้”
เมื่อพูดถึงซูอวี้ นัยน์ตาของหลานเยวี่ยหลีก็เปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย นางกำลังจะพูดบางอย่างกับเป่ยถังเย่ ทว่าเป่ยถังเย่กลับกดริมฝีปากหลานเยวี่ยหลีไว้แล้วส่ายศีรษะ “หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องสนเรื่องพวกนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เย่”
แม้หลานเยวี่ยหลีต้องการจะพูด ทว่าไร้เรี่ยวแรง เมื่อสิ้นเสียงของเป่ยถังเย่ นางก็สลบไปเพราะความเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นคมมีดค่อยๆ เคลื่อนลงมาเหนือศีรษะ แสงในดวงตาของอนุซุนก็ยิ่งหวาดกลัวและสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ นางหลับตาลงอย่างเชื่องช้า
นางคิดว่าครั้งนี้ตนเองต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าไม่มีทางคาดคิดได้เลย… ความเจ็บปวดของความตายที่คาดหวังยังมาไม่ถึง ด้านนอกประตูพลันมีน้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้น “ช้าก่อน! ”
จากนั้น สายลมหนาวเหน็บก็กระแทกประตูเข้ามาด้วยความเร็ว นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะกระแทกเป่ยถังเย่
องครักษ์ที่คุมนางไว้และองครักษ์ที่ต้องการจะปลิดชีพนางก็ถูกกระแทกจนล้มเช่นกัน
ผู้ใด? เก่งกาจถึงเพียงนี้?
อนุซุนรีบลืมตาขึ้นมอง