ตอนที่ 2193 กล้ากินฉันได้อย่างไร?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2193 กล้ากินฉันได้อย่างไร?

ไก่น้อยปรากฏตัวได้เพียงไม่ถึง 1 นาที แต่จางเซวียนก็เริ่มคิดถึงชีวิตอันสงบสุขของเขาตอนที่มันไม่อยู่เสียแล้ว…

แค่คิดถึงปัญหาต่างๆที่ไก่น้อยสร้างขึ้นก็เกินพอจะทำให้เขาหมดแรง

ส่วนไก่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน ก็มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับทำปากยื่นอย่างขัดใจ ราวกับจะประท้วงคำสั่งนั้น แต่จางเซวียนก็ยังจ้องเขม็ง

มันจึงขย้อนอสูรเกราะเรืองแสงออกมาอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับคำราม

ถึงตอนนี้ อสูรเกราะเรืองแสงกลายร่างกลับสู่สภาพเดิมแล้ว แค่คิดว่ามันถูกไก่ตัวหนึ่งที่มีวรยุทธเพียงแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำงาบหัว โทสะของมันก็พุ่งพรวดจนแทบจะทะลุเพดาน

“แกช่างอาจหาญนัก กล้ากินฉันได้อย่างไร? ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”

อสูรเกราะเรืองแสงคำรามเดือดใส่ไก่น้อย

จางเซวียนกำลังจะห้ามอสูรเกราะเรืองแสง แต่เจ้าไก่น้อยที่แสนจะปากกล้าก็ส่ายก้นอย่างรื่นเริงบันเทิงใจและยั่วโมโหต่อไป “ก็เร็วเข้าสิ รีบมาฉีกผมเป็นชิ้นๆ ฉีกเป็นพันๆชิ้นเลยก็ได้! ไม่อย่างนั้น อสูรตัวบิ๊กเบิ้มแรงเยอะอย่างคุณจะมีหน้าอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างไรหลังจากถูกไก่ตัวจ้อยอย่างผมงาบหัว?”

“แก…” อสูรเกราะเรืองแสงแทบคลุ้มคลั่ง

บ้าที่สุด! ไก่ตัวจิ๋วแบบแกมีดีอะไรให้อวด?

พลั่ก!

กรงเล็บทรงพลังตะปบลงมาและเล่นงานไก่น้อยจนล้มกลิ้ง แต่เมื่ออสูรเกราะเรืองแสงเงื้อกรงเล็บขึ้นเพื่อดูผลงาน ก็เห็นว่าไม่เพียงแต่ไก่น้อยจะยังไม่ตาย มันยังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย “แรงกว่านี้หน่อยเถอะ! ยังไม่ได้กินข้าวหรือไง?”

อสูรเกราะเรืองแสงเกือบสติแตก

มันตะปบกรงเล็บอีกหลายครั้ง เกิดความสั่นสะเทือนหนักหน่วงเสียจนผนังที่อยู่โดยรอบแทบจะทรุดตัว แต่จนแล้วจนรอด ไก่น้อยสีเหลืองก็ยังคงไม่เป็นอะไร แถมยังมองเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ต่อให้อสูรเกราะเรืองแสงจะด้อยปัญญาสักแค่ไหน ก็เห็นชัดแล้วว่าไก่ตัวนี้ไม่ใช่อสูรระดับเทพเจ้าขั้นต่ำธรรมดา มันรีบคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ก่อนจะมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ “นายท่าน!”

“พอที เลิกวุ่นวายได้แล้ว! ไก่น้อย ถ้าแกอยากตายล่ะก็ เดี๋ยวฉันจะพาแกไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ดูว่าพอจะทำวิธีไหนได้บ้าง” จางเซวียนพูด

หลังจากถูกย่างจนเกือบตายมา 2 ครั้ง ไก่น้อยก็รู้แล้วว่าวิธีการยกระดับวรยุทธของมันคือต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตาย มันจึงหวาดกลัวความตายน้อยลงเรื่อยๆ

ส่วนไก่น้อย เมื่อเห็นอสูรเกราะเรืองแสงหยุดโจมตี ก็ปัดฝุ่นออกจากตัวก่อนจะกระพือปีกเล็กจ้อยเพื่อบินกลับไปเกาะที่ไหล่ของจางเซวียน

หลังจากได้ผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ แม้วรยุทธของมันจะไม่ได้พัฒนามากนัก แต่ประสิทธิภาพการป้องกันตัวก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ต่อให้อสูรเกราะเรืองแสงซึ่งมีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็ไม่อาจสังหารมันได้ง่ายๆ

ไก่น้อยมองหน้าอสูรเกราะเรืองแสงอย่างเยาะเย้ยก่อนจะพูดต่อ “เอาน่ะ อย่าโมโหโกรธาไปเลย ผมน่ะเป็นอสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะฆ่าผมไม่ได้ ฝึกฝนให้หนักเข้าไว้ แล้วผมจะพิจารณารับคุณเป็นน้องชาย!”

“คุณอยากให้ผมเป็นน้องชาย?” อสูรเกราะเรืองแสงคำราม “ผมฆ่าคุณไม่ได้ก็จริง แต่คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้เหมือนกันแหละ ผมไม่มีทางยอมเป็นน้องชายของคุณเด็ดขาด เลิกฝันกลางวันเสียดีกว่า!”

“ฝันกลางวัน?” ไก่น้อยหัวเราะลั่น

จากนั้นมันก็ทำตาโต นัยน์ตาที่เหมือนลูกปัดของมันจับจ้องอสูรเกราะเรืองแสงก่อนจะแผ่รังสีทรงพลังออกมา

ฟึ่บ!

อสูรเกราะเรืองแสงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและรีบโค้งคำนับอย่างงาม “พี่ใหญ่!”

“ต้องแบบนี้สิ!” ไก่น้อยพยักหน้าอย่างพอใจ

ส่วนอสูรเกราะเรืองแสงก็ได้แต่ปาดเหงื่อ

มันเคยคิดว่าเจ้าไก่นี่คงเป็นแค่อสูรสวรรค์ธรรมดา แต่ทันทีที่อีกฝ่ายปลดปล่อยพละกำลังของสายเลือดออกมา มันก็รู้สึกราวกับจะถูกทั้งโลกถล่มทับ สายเลือดของมันที่มันเคยภาคภูมิใจนักหนาไม่มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย!

เจ้าไก่น้อยตัวนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นอสูรสวรรค์ชนิดไหน?

เพียงแค่วันเดียว อสูรเกราะเรืองแสงพบเรื่องชวนตกตะลึงหลายครั้งจนมันรู้สึกเหมือนจะเสียสติ

พูดกันตามตรง มันรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าที่อสูรระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างมันต้องยอมรับนักรบที่มีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าเป็นเจ้านาย แต่ด้วยทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดูเหมือนมันต่างหากที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์!

“ภูเขาสวรรค์สร้างอยู่ไกลจากเมืองตะวันรอนมาก และมีฉนวนซึ่งเป็นผลงานของจอมราชันย์ปิดกั้นอยู่โดยรอบ ไม่มีทางจะไปถึงที่นั่นด้วยวิธีการแบบธรรมดาได้ เส้นทางเดียวก็คือผ่านค่ายกลทะลุมิติที่อยู่ในเมือง”

จางเซวียนไม่ใส่ใจสงครามระหว่างอสูรเกราะเรืองแสงกับไก่น้อย เขาตั้งใจฟังคำอธิบายของซุนฉาง

แม้เขาจะได้ฟังเรื่องภูเขาสวรรค์สร้างมาบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและจะได้รังสีสวรรค์มาอย่างไร

“แต่ละเมืองจะได้โควต้าจำนวนหนึ่งทุกปี และผู้ที่ได้โควต้าจะถูกส่งทะลุมิติตรงเข้าสู่ใจกลางภูเขาสวรรค์สร้าง เมื่ออยู่ที่นั่น พวกเขาจะต้องหาตำแหน่งของรังสีสวรรค์ที่อยู่ในภูเขาให้ได้ จากนั้นก็ซึมซับมันและผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธ แต่เรื่องจริงไม่ง่ายแบบนั้น มีผู้คนมากมายที่เคยเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ…” ซุนฉางรีบเล่ารายละเอียดเท่าที่เขารู้

“ไปดูที่นั่นกันเถอะ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยากเกินไปสำหรับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม

เขาไม่ห่วงจ้าวหย่า ท่านพ่อท่านแม่ และคนอื่นๆที่เหลือ แต่นั่นแหละ…บางทีอาจยกเว้นซุนฉาง

เพราะแม้ทุกคนจะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ประสบการณ์ที่คนเหล่านั้นได้รับจากทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบนจัดว่าเหนือกว่าผู้เข้าท้าทายโดยทั่วไปจากสรวงสวรรค์แห่งนี้ คนอื่นอาจมีโอกาสล้มเหลว แต่หากเป็นบรรดาศิษย์สายตรงกับท่านพ่อท่านแม่ของเขา จางเซวียนก็นึกภาพความล้มเหลวไม่ออก

พูดกันง่ายๆ ศิษย์สายตรงทั้งกลุ่มคงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์ของเขาหากคนเหล่านั้นทำไม่ได้!

“ตามพวกนั้นไปติดๆนะ พยายามใช้โอกาสนี้เข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกทิ้งให้ล้าหลัง” จางเซวียนสั่งการ

“ผมเข้าใจ” ซุนฉางพยักหน้า

ถึงตอนนี้ ทุกคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วและพร้อมออกเดินทาง พวกเขามุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองทันที

จุดที่ผู้ได้โควต้าจะถูกส่งทะลุมิติไปยังภูเขาสวรรค์สร้างคือจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งกลุ่มก็มาถึงที่หมาย ในตอนนั้น ทั้งจัตุรัสคลาคล่ำไปด้วยผู้คน

เมืองตะวันรอนไม่ใช่เมืองที่จัดว่าใหญ่โตสำหรับสรวงสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับโควต้าถึง 1,200 ที่ แถมผู้เข้าท้าทายส่วนใหญ่ยังมีสมาชิกในครอบครัวและมิตรสหายมาส่ง ด้วยเหตุนี้ จัตุรัสกว้างใหญ่นั้นจึงมีผู้คนรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด

…..

“นายน้อยจางเซวียน เชิญทางนี้!”

ยังไม่ทันที่ทั้งกลุ่มจะได้เข้าสู่จัตุรัส ชายชราคนเดิม, หยิงเฟย, ก็รีบเดินเข้ามาหาและเชื้อเชิญทุกคนด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกความเคารพ

ภายใต้การนำของหยิงเฟย พวกเขาถูกนำตัวไปยังห้องหนึ่ง

อู๋ฟังชิงนั่งอยู่ข้างในแล้วตอนที่พวกเขาไปถึง

เมื่อเห็นกลุ่มของจางเซวียน เขารีบลุกขึ้นและยิ้มให้ “นายน้อยจางเซวียน เชิญนั่ง”

จางเซวียนพยักหน้าขณะมองไปรอบๆห้อง

มีคนราว 20 คนอยู่ในนั้น ซึ่งจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ข้างอู๋ฟังชิง

เท่าที่ดูจากรังสีที่พวกเขาแผ่ออกมา ก็บอกได้ไม่ยากว่าคนกลุ่มนี้คือผู้ที่ทรงพลังและมีอิทธิพลที่สุดในเมืองตะวันรอน

จางเซวียนเดินตรงไปยังที่นั่งทางขวาของอู๋ฟังชิงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ลังเล

ทันทีที่ก้นแตะเก้าอี้ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางแถวก็มองมาด้วยสายตาตั้งคำถาม “เจ้าเมืองอู๋ คุณจะไม่แนะนำสหายท่านนี้ของคุณให้พวกเรารู้จักหน่อยหรือ?”

คนอื่นๆต่างรีบหันมามอง

พวกเขาก็อยากรู้จักตัวตนของจางเซวียนเช่นกัน

มารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญมากในหมู่ชนชั้นสูง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง อาวุโส และอำนาจ โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวต่อผู้ที่มีอาวุโสสูงกว่า

ที่นั่งที่จางเซวียนนั่งอยู่เป็นที่ที่จัดไว้สำหรับผู้ที่มีสถานภาพสูงส่งกว่าพวกเขา ซึ่งหากอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงสักคนของเมืองตะวันรอน พวกเขาคงปล่อยผ่าน

แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ดูอายุน้อยเกินกว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนั้น แถมวรยุทธก็ไม่ได้โดดเด่นด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ

“เอ่อ เขาคือน้องจางเซวียน เขาพากลุ่มลูกศิษย์มาที่นี่เพื่อท้าทายภูเขาสวรรค์สร้าง” อู๋ฟังชิงพูดขณะมองไปที่จ้าวหย่ากับพรรคพวก

“ลูกศิษย์?”

คำนี้ทำให้ฝูงชนยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก ชายหนุ่มที่อายุน้อยขนาดนี้…แท้ที่จริงเป็นอาจารย์หรือ?

พวกเขาหันไปมองจ้าวหย่ากับพรรคพวก จากนั้นก็พากันขมวดคิ้ว

เท่าที่เห็น การที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าทั้งที่มีอายุราว 18-19 ปีแล้วก็บ่งบอกชัดว่าสติปัญญาของคนเหล่านี้ยังอ่อนด้อย!

“เจ้าเมืองอู๋ ผมเข้าใจว่าคุณคงมีเหตุผลของคุณที่เลือกจัดที่นั่งแบบนี้ แต่ผู้คนมากมายกำลังจับตามองคุณอยู่ ผมรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความชอบธรรมเพื่อเป็นการให้เกียรติพวกเราทุกคนที่นี่ ถ้าน้องจางเซวียนกับลูกศิษย์ของเขามีความสามารถหรือมีทักษะโดดเด่นจริงๆล่ะก็ ผมก็จะยอมรับ…แต่บอกตามตรงนะว่าผมไม่เห็นว่าพวกเขาจะคู่ควรกับการได้รับเกียรติสูงส่งขนาดนี้ ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งออกความเห็น

“พวกเราจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อให้ได้มาอยู่ตรงนี้ แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นน้องจางเซวียนในการประมูล ผมว่ามันไม่เหมาะสมนะที่คุณจัดที่นั่งให้เขาเกินหน้าเกินตาพวกเรา แถมเขายังพาคนมาด้วยตั้งมากมาย!” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเสริม

“จัดที่นั่ง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาก็แค่นั่งลงตามคำเชิญของเจ้าเมืองเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าการจัดลำดับที่นั่งจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้

จางเซวียนมีสีหน้างุนงง เขาหันไปมองอู๋ฟังชิงและได้ยินข้อความทางโทรจิตจากอีกฝ่าย “นายน้อยจางเซวียน ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า เรื่องเป็นอย่างนี้…หากใครสักคนได้เริ่มต้นในจุดที่ใกล้กับยอดเขามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับรังสีสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น โดยในทางกลับกัน โอกาสของผู้นั้นจะลดลงมากหากตั้งต้นจากตีนเขา”

“อย่างที่คุณรู้ ภูเขาสวรรค์สร้างจะเปิดทุกๆ 6 เดือน และนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในสรวงสวรรค์แห่งนี้ก็พยายามจะเข้าสู่ที่นั่นให้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ค่ายกลทะลุมิติจะส่งทุกคนไปรวมกันที่ตีนเขา เพราะนั่นอาจก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง…”