อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2192 ปลีกวิเวก
ตอนที่จางเซวียนไต่เต้าขึ้นมา จิตวิญญาณของเขาได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้า เปลวเพลิงสวรรค์ และทรัพยากรทางธรรมชาติทุกชนิด ทำให้มีความแข็งแกร่งเหนือชั้น ด้วยเหตุนี้ การฝ่าด่านวรยุทธของเขาจึงยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับนักรบคนอื่นๆ
แม้เลือดของอสูรหม่าหยางกับหญ้าโบราณอสูรเขียวจะมีศักยภาพสูง แต่ก็เพียงพอให้เขายกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ สุดท้ายจางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธของพลังปราณได้ด้วย
จางเซวียนใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณครู่หนึ่งก่อนจะนำขวดยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าออกมา เขากลืนมันลงไปโดยไม่ลังเล และถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณผ่านเส้นทางการไหลเวียนแบบพิเศษของเทคนิควรยุทธเวทนาสวรรค์
ด้วยวิธีนั้น ไม่ช้าจางเซวียนก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ
ตอนนี้เขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าจำนวนมากอยู่กับตัว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะสิ้นเปลือง เขากลืนมันลงไปเรื่อยๆ ทำให้มีแรงผลักดันมากพอที่จะกระตุ้นการฝ่าด่านวรยุทธ
ฟึ่บ!
เวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียง 2-3 วินาที แต่รังสีของจางเซวียนเปลี่ยนไปจนน่าทึ่ง วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นจากระดับเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูง
ถึงจุดนี้ พลังจิตวิญญาณในยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้น จางเซวียนคงผลักดันตัวเองให้เป็นเทพเจ้าขั้นสูง-สูงสุดได้
แต่เขาก็พอใจกับความก้าวหน้าที่ได้รับ
ด้วยกายเนื้อและจิตวิญญาณที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูง ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ บางทีอาจรับมือได้แม้แต่กับจางเจี้ย!
เขาเพิ่งมาถึงเมืองตะวันรอนได้ไม่ถึง 1 วัน แต่ก็ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของเมืองแล้ว
เรายกระดับวรยุทธได้แต่ยังไม่มีศิลปะเพลงดาบที่เหมาะสมขอดูหน่อยเถอะว่าจะคิดค้นขึ้นสักชนิดหนึ่งได้ไหม…จางเซวียนคิดขณะดำเนินการขัดเกลาวรยุทธ
ในเวลานี้ ‘หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม’ ยังทรงพลังอยู่ แต่ออกจะล้าหลังไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับระดับวรยุทธของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นศิลปะเพลงดาบที่ออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของคู่ต่อสู้ ทำให้ประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายถูกจำกัด ซึ่งหากเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทรงพลังที่เขาไม่อาจสกัดกั้นอีกฝ่ายได้ ก็คงจนปัญญาและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จางเซวียนรีบสำรวจศิลปะเพลงดาบทุกชนิดที่มีอยู่ในหัวและเริ่มปะติดปะต่อมันเข้าด้วยกัน แต่ผ่านไปได้สักพัก ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้า
การคิดค้นศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เมื่อตอนที่เขาคิดค้นหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม ตอนนั้นเขากำลังเผชิญกับแรงกดดันหนักหน่วงของรอยประทับของจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ในหอเทพเจ้า ซึ่งในช่วงเวลาคับขันนั้นเองที่เขาคิดค้นมันได้สำเร็จ
ในเวลานี้ จางเซวียนรู้สึกได้ว่าศิลปะเพลงดาบจ่ออยู่ที่ปลายนิ้วของเขา รอคอยการเติมเต็มให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถึงเขาจะแตะต้องมันไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากศิลปะเพลงดาบนั้น
จนกว่าเขาจะค้นพบว่าสิ่งที่หายไปคืออะไร ศิลปะเพลงดาบนี้ก็จะยังคงไม่สมบูรณ์
“เราคงต้องต่อสู้อีกสักครั้งเพื่อสร้างแรงกดดัน…”
รู้ดีว่าปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ด้วยการครุ่นคิด จางเซวียนส่ายหัวและออกจากห้อง
นับตั้งแต่เขาเริ่มปลีกวิเวกจนถึงสิ้นสุด เพราะเขาใช้ประสิทธิภาพของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เมื่อรวมแล้ว เวลาของโลกภายนอกจึงผ่านไปแค่ 20 วินาทีเท่านั้น แต่วรยุทธของจางเซวียนเปลี่ยนแปลงไปมาก
ตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยก็หลายเท่า
…..
“ภูเขาสวรรค์สร้างใกล้จะเปิดแล้ว ในช่วงเวลาแบบนี้ ทำไมนายน้อยยังมัวปลีกวิเวกอยู่อีก?”
ซุนฉางเดินงุ่นง่านไปมาอยู่นอกห้องขณะบ่นกับจางเจี้ยซึ่งอารักขาจางเซวียนอยู่ด้านนอก
เพื่อให้ไปทันการเปิดของภูเขาสวรรค์สร้าง พวกเขาต้องออกเดินทางสู่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้ แต่นายน้อยยังมัวปลีกวิเวกทั้งๆที่เวลาก็จวนเจียนเต็มที!
ถึงตอนนี้ โควต้าที่พวกเขาได้มาด้วยความยากลำบากแสนสาหัส เอาเถอะ…บางทีคำว่า ‘ยากลำบากแสนสาหัส’ อาจดูเกินไป แต่จะต้องเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่แน่หากทุกคนพลาดโอกาส!
“เลิกวุ่นวายแถวนี้เสียที ถ้าคุณมีอะไรจะพูดกับเขาล่ะก็ รอให้เขาออกจากการปลีกวิเวกเสียก่อน” จางเจี้ยตอบอย่างหงุดหงิด
“นายน้อยบอกไว้หรือเปล่าว่าจะออกมาเมื่อไหร่? จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจะไปสายนะหากไม่ออกเดินทางตอนนี้ นายน้อยคิดจะตามพวกเขาไปที่ภูเขาสวรรค์สร้างหรือเปล่า?”
ซุนฉางยังคงระงับอาการประสาทกินไม่ได้
การเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างและตามหารังสีสวรรค์ย่อมมาพร้อมกับอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วนายน้อยคิดจะปล่อยพวกเขาไปจริงๆหรือ? ไม่มีคำแนะนำใดๆให้บ้างหรือไง?
“นายน้อยไม่ได้บอกไว้ว่าจะปลีกวิเวกนานแค่ไหน แต่ต่อให้เขาจะรวดเร็วอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ที่ผ่านมา…การปลีกวิเวกของผมน่ะมักใช้เวลานานหลายเดือน ผมจะกินผลไม้และดื่มน้ำบ้างก็ต่อเมื่อหิวจริงๆเท่านั้น การปลีกวิเวกจะมีความหมายอะไรถ้าไม่ใช้เวลานานๆ?”
วัตถุประสงค์ของการปลีกวิเวกก็เพื่อโยนทุกเรื่องที่ทำให้วอกแวกทิ้งไป และสนใจเฉพาะการฝึกฝนวรยุทธเท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว นักรบผู้ปลีกวิเวกจะไม่ใส่ใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ด้วยการจดจ่อเฉพาะกับการยกระดับวรยุทธ เขาจะพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าธรรมดา
“ก็…” ซุนฉางกำหมัดแน่นอย่างขัดใจก่อนในที่สุดจะพ่นลมหายใจยาว “ช่างมันเถอะ เราไปกันเองก็ได้ ผมคิดว่ากว่านายน้อยจะออกจากการปลีกวิเวก พวกเราคงได้เป็นเทพเจ้ากันหมดแล้วล่ะ…”
แอ๊ดดดดด!
ขณะที่ซุนฉางกำลังจะหันหลังกลับและจากไป ประตูก็เปิดออก จางเซวียนเดินออกมา “ไปด้วยกันนี่แหละ ผมจะพลาดการเดินทางเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้างของพวกคุณได้อย่างไร?”
“นายน้อย แล้วคุณไม่ปลีกวิเวกหรือ?” ซุนฉางงุนงง
“ผมก็ปลีกแล้วไง” จางเซวียนตอบ
“คุณเสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธแล้ว?” จางเจี้ยก็งง
เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำตั้งแต่จางเซวียนเดินเข้าห้อง ปลีกวิเวกชนิดไหนกันถึงรวดเร็วได้ขนาดนั้น? มันกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ด้วยความงงกับเรื่องราวตรงหน้า จางเจี้ยพิจารณาจางเซวียนอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่เห็นทำให้ใบหน้าของเขากระตุกไม่หยุด แทบลมจับเดี๋ยวนั้น
“นะ-นายน้อย คุณสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้วหรือ?”
เพราะจางเซวียนไม่ได้จงใจปกปิดวรยุทธของเขา จางเจี้ยจึงดูออกทันทีว่าอีกฝ่ายยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นสูงได้ภายในเวลาเพียง 2-3 วินาทีที่เขาอยู่ในห้อง
“ใช่ โจมตีผมเลย ผมฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว อยากทดสอบพละกำลังสักหน่อย” จางเซวียนตอบอย่างตื่นเต้น
อสูรเกราะเรืองแสงเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เขาคิดว่ามันคงสร้างแรงกดดันได้มากพอที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้อีกครั้ง
“เอ่อ…ก็ได้!”
แม้จะยังสับสนกับการพัฒนาอย่างพรวดพราดของจางเซวียน แต่จางเจี้ยก็ง้างหมัดและโถมแรงเข้าใส่ชายหนุ่ม
ครืนนนนน!
พื้นสั่นสะเทือน คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปโดยรอบ
จางเจี้ยใช้พละกำลังเต็มพิกัดของเทพเจ้าสวรรค์สร้างสำหรับการโจมตีครั้งนี้ พละกำลังที่เขาสำแดงออกมาถือว่าไม่ธรรมดา รุนแรงจนดูราวกับบ้านพักทั้งหลังพร้อมจะพังทลาย
จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขาก้าวออกมาแล้วแตะหมัดของจางเจี้ยเบาๆ
ฟึ่บ!
หมัดของจางเจี้ยค้างอยู่กลางอากาศ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ราวกับถูกตรึงไว้ตรงนั้น
รู้ดีว่าต่อให้ออกแรงมากกว่านี้ก็คงทำอันตรายจางเซวียนไม่ได้ จางเจี้ยถอนหมัดและตั้งข้อสังเกตอย่างไม่อยากเชื่อ “นายน้อย นอกจากยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของคุณยังเข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูงด้วย…”
“ผมมีเวลาเหลือเฟือน่ะ ก็เลยฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ” จางเซวียนตอบ
“เหลือเฟือ?”
จางเจี้ยสั่นไปทั้งตัว
คุณตั้งใจจะยั่วโมโหผมหรือไง?
การปลีกวิเวกที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาทีนี่นะ แล้วคุณบอกผมว่าคุณมีเวลาเหลือเฟือ? ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าหลายเดือนที่ผมใช้ไปกับการปลีกวิเวกไม่มีประโยชน์เลยน่ะสิ ใช่ไหม?
บ้าบออะไรอย่างนี้…
จางเจี้ยรู้สึกราวกับว่าสามัญสำนึกทั้งหมดของมันกำลังถูกท้าทาย
ตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่ในหุบเขา อสูรเกราะเรืองแสงเคยปะทะกับจางเซวียนหลายครั้ง โดยแม้กายเนื้อของอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่วรยุทธของพลังปราณและจิตวิญญาณยังถือว่าอ่อนด้อย
แต่ภายในไม่ถึง 1 นาที ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะยกระดับวรยุทธได้อย่างพรวดพราด ที่สำคัญกว่านั้น เขายังประสานทั้ง 3 ส่วนเข้าหากันได้อย่างกลมกลืน เกิดเป็นสมดุลแบบที่ตัวมันไม่เคยทำได้แม้จะตั้งใจฝึกฝนวรยุทธมากว่าร้อยปี
อสูรเกราะเรืองแสงหันไปมองซุนฉางโดยอัตโนมัติ คาดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการตกตะลึง แต่สิ่งที่มันเห็นกลับเป็นสีหน้าแบบ ‘ก็ตามนั้น’
ราวกับพ่อบ้านไม่ได้แปลกใจสักนิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่หมายความว่าพ่อบ้านรู้อยู่แล้วว่าจางเซวียนจะต้องฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นใช่ไหม?
นี่มันกำลังยุ่งเกี่ยวกับคนชนิดไหนกัน?
ขณะที่อสูรเกราะเรืองแสงปวดหัวจนไปต่อไม่ถูก ก็เห็นพู่สีเหลืองอันหนึ่งแวบๆทางหางตา แล้วจู่ๆ ไก่สีเหลืองตัวเล็กจ้อยที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงก็ปรากฏตัวบนไหล่ของจางเซวียน
“แกตื่นแล้วหรือ?” จางเซวียนถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความโล่งใจ
“ใช่ นี่คุณได้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามาจำนวนหนึ่งใช่ไหม? ดีเลย ผมกำลังหิว…” ไก่น้อยพึมพำ ดวงตาหรี่ปรือเหมือนคนที่กำลังงัวเงียหลังจากเพิ่งตื่น
เห็นภาพนั้น อสูรเกราะเรืองแสงโมโหเดือดจนตวาดก้อง “บังอาจ! ในฐานะอสูร คุณเรียกร้องข้าวของต่างๆจากนายน้อยได้อย่างไร? แบบนี้ไม่เหมาะสมนะ!”
มันไม่รู้ว่าทำไมจางเซวียนถึงเลี้ยงไก่ตัวนี้ แต่อสูรควรรู้ที่ต่ำที่สูง จะมาเรียกร้องขออาหารจากเจ้านายได้อย่างไร? ถ้าอสูรทั่วทั้งโลกพากันทำตัวแบบนี้ ศักดิ์ศรีของเจ้านายจะมีอะไรเหลือ?
“คุณน่ะเป็นใคร?” ไก่สีเหลืองตัวเล็กจ้อยหันมาจ้องอสูรเกราะเรืองแสงที่อยู่ในสภาพมนุษย์จากหัวจรดเท้า จากนั้นก็เหยียดริมฝีปากขณะพึมพำ “อสูรเกราะเรืองแสงนี่เอง รสชาติคงไม่เลว…”
ฟึ่บ!
ยังไม่ทันที่อสูรเกราะเรืองแสงจะได้ตอบโต้ ไก่น้อยก็อ้าปากกว้างและงาบมันเข้าไปทั้งตัว
“แกทำอะไรน่ะ? รีบคายออกมา! มันคืออสูรที่ฉันเพิ่งพามาเมื่อไม่นานนี้เอง!” จางเซวียนอุทานด้วยความตกใจ เขารีบจับหัวไก่น้อยเขย่า
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้านี่จะสร้างความปั่นป่วนทันทีที่ได้สติ