ตอนที่ 2191 มีอะไรกัน?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2191 มีอะไรกัน?

ในเมื่อตอนนี้ผมก็เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเหมือนกัน หากสู้กันตัวต่อตัวล่ะก็ ผมคงเตะก้นหมอนั่นกระเด็น แต่ผมยังสงสัยว่าเขาอาจมีของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำติดตัว ถ้าเขาใช้อาวุธ การที่ผมจะเอาชนะเขาก็คงไม่ง่าย แต่ก็แน่นอนว่าเขาทำอะไรผมไม่ได้มากนักหรอก พูดได้เลยว่าโอกาสเอาชนะคงอยู่ที่ 50:50” จางเจียเจี้ยตอบ

ในสรวงสวรรค์ ของล้ำค่าจะแบ่งออกเป็นระดับเทพเจ้า ระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ระดับราชันย์เทพเจ้า และระดับจอมราชันย์ โดยแต่ละขั้นใหญ่จะแบ่งออกเป็นขั้นย่อย คือขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุด

ความเก่งกาจของเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำนั้นไม่อาจสบประมาทได้ แม้ด้วยประสิทธิภาพการป้องกันตัวอันเหนือชั้นของอสูรเกราะเรืองแสง ก็คงยากที่มันจะรับมือกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำที่มีของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำอยู่ในครอบครอง

จางเซวียนพยักหน้า

ความแข็งแกร่งสูงสุดของนักรบคนหนึ่งอยู่ที่ความสามารถในการใช้ร่างกายและอาวุธของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ แม้อสูรสวรรค์จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ แต่ทักษะของพวกมันยังคงอ่อนด้อยกว่า

“ส่วนนิสัยใจคอของหมอนั่น เขาเป็นคนเลือดเย็นและยึดถือตัวเองเป็นใหญ่ ระยะเวลายาวนานหลายปีที่ครองอำนาจทำให้เขาปรารถนาจะควบคุมทุกอย่างรอบตัว หากเขารู้ว่าคุณทำให้ผมยอมจำนนได้สำเร็จ จะต้องมาเล่นงานคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่” จางเจี้ยพูดอย่างเป็นกังวล

เจ้าเมืองเป็นคนโหดเหี้ยมแบบที่เรียกว่า “ยอมให้ผม ไม่อย่างนั้นก็ตายซะ” ซึ่งการที่จางเซวียนทำให้อสูรเกราะเรืองแสงยอมจำนนตัดหน้าเขาไปยอมทำให้อีกฝ่ายเกิดความอาฆาต

“เขาจะเล่นงานผม?”

“ใช่ ความเมตตากรุณาน่ะคือสิ่งที่เขาไม่เคยมี เมื่อ 2 ปีก่อน คนแปลกหน้าคนหนึ่งบังเอิญแตะต้องลูกสาวของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเขาก็ตัดมือของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลก่อนจับโยนเข้าคุก ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ข่าวของหมอนั่นอีกเลย ลือกันว่าคงถูกฆ่าตายแล้ว…” จางเจี้ยส่ายหัว

การอยู่กับคนใจแคบนั้นทำได้ยาก เพราะพวกเขามักจะแสดงออกเกินกว่าเหตุเสมอแม้แต่กับเรื่องเล็กน้อยที่สุด

“ผมจะระวังตัวก็แล้วกัน” จางเซวียนตอบ

ถึงอย่างไร เขาก็ตั้งใจจะออกจากเมืองตะวันรอนทันทีที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า เพราะเขาอยากตั้งต้นตามหาหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเสียที ดูเหมือนคงไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับท่านเจ้าเมืองมากนัก

หลังจากคุยกันอีกครู่หนึ่ง จางเซวียนมองลงไปข้างล่างและยิ้มออก “เรามาถึงแล้วล่ะ บ้านพักของผมอยู่ข้างล่างนั่น”

จางเจี้ยมองตาม เห็นบ้านพักขนาดใหญ่

“งั้นหรือ? แล้วทำไมถึงมี 2 คนคุกเข่าอยู่หน้าบ้านล่ะ?” จางเจี้ยถามด้วยความสงสัย

จางเซวียนงง เขามองตาม เห็นสาวน้อยคนหนึ่งกับชายชราคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้าบ้านพักของเขา มีชายร่างตุ้ยนุ้ยกำลังจับจ้องทั้งคู่อย่างเย็นชาพร้อมกับเอาสองมือไพล่หลัง ราวกับกำลังตำหนิติเตียน ซึ่งนอกจากสองคนที่คุกเข่า ก็ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกำลังพยักหน้าอย่างนอบน้อมพร้อมส่งรอยยิ้มที่แสดงความถ่อมเนื้อถ่อมตัว

“เพียงเพราะนายท่านของเรามีเมตตา ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยกโทษให้ง่ายๆนะสำหรับการที่พวกคุณไปหาเรื่องเขา อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่คุณต้องทำก็คือคุกเข่าอยู่ตรงนี้จนกว่าจะรุ่งเช้าเพื่อแสดงความจริงใจ!” ชายร่างตุ้ยนุ้ยส่งเสียงวางอำนาจ

“ซุนฉางทำบ้าอะไรน่ะ?”

เห็นพ่อบ้านของเขาวางท่า ‘ใหญ่โตโอหัง’ อีกครั้ง จางเซวียนรีบกระตุ้นอสูรสวรรค์ให้ร่อนลงจอด จากนั้นก็หันกลับมาเพื่อจะอธิบายบางอย่างกับจางเจี้ย แต่เห็นอีกฝ่ายตัวสั่นไม่หยุดราวกับเพิ่งพบเห็นสิ่งที่แสนจะน่าหวาดกลัว

“มีอะไร?” จางเซวียนงุนงงที่เห็นอสูรสวรรค์ซึ่งไม่เคยหวาดกลัวใครแสดงทีท่าแบบนั้น

จางเจี้ยตอบเสียงสั่น “คนที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูน่ะคือลูกสาวของท่านเจ้าเมืองกับนักรบคนหนึ่งจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ส่วนชายวัยกลางคนที่กล่าวคำขอโทษขอโพยอยู่ตรงนั้นน่ะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านเจ้าเมืองอู๋ฟังชิง!”

เมื่อกี้นี้เองที่มันเพิ่งพูดไปว่าเจ้าเมืองเป็นคนใจแคบและอาจสร้างปัญหาให้จางเซวียนได้ แต่ในชั่วพริบตา ลูกสาวของหมอนั่นกับบริวารก็มาถึงที่นี่เพื่อคุกเข่ากับพื้นและกล่าวคำขอโทษ…

สวรรค์โปรด! ใครบอกเราได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?

จางเจี้ยงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก

จางเซวียนเบนสายตาจากอสูรเกราะเรืองแสงที่หวิดๆจะคลุ้มคลั่ง เขาเขม้นมอง และเห็นทันทีว่าสาวน้อยที่กำลังคุกเข่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ที่เขาได้พบที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่, อู๋เฉียวเฉี่ยว!

แต่แม่สาวคนนี้ดูเหมือนเพิ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ใบหน้าของเธอไม่ต่างจากเดิม แต่บางที…อาจเป็นเพราะบุคลิกที่เปลี่ยนไป เธอจึงสง่างามและมีเสน่ห์ตามแบบของอิสตรี ทำให้แตกต่างจากเดิมมาก

ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงจำไม่ได้เมื่อเห็นครั้งแรก

“เธอกินยาที่เราหลอมหรือเปล่า?” เขาได้ข้อสรุปทันที

จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังปราณเทียบฟ้าของเขาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของอู๋เฉียวเฉี่ยว

ทันทีที่อสูรสวรรค์ใกล้แตะพื้น จางเซวียนกระโจนลงจากร่างของมันและเข้าสู่ลานบ้าน

เห็นนายน้อยกลับมา ซุนฉางรีบเดินเข้ามาต้อนรับ

“มีอะไรกัน?” จางเซวียนตั้งคำถาม

“นายน้อย ผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นน่ะอ้างตัวเป็นเจ้าเมืองตะวันรอน เขาบอกว่าเขามาเพื่อขอให้คุณยกโทษให้!” ซุนฉางตอบและรีบเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อน

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด จางเซวียนก็หันไปประเมินอู๋ฟังชิงอย่างถี่ถ้วน

อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 กลางๆ สิ่งที่โดดเด่นออกมาคือแววตาล้ำลึกของเขาที่ดูราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่น่าใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆ

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีบุคลิกเงียบขรึมทว่าสง่างาม เป็นอย่างที่อสูรเกราะเรืองแสงบอกไว้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นนักรบผู้ทรงพลังคนหนึ่ง

“ท่านเจ้าเมืองอู๋ คุณก็เกรงอกเกรงใจเกินไป มันเป็นแค่การเข้าใจผิดกันเท่านั้น” จางเซวียนพูดยิ้มๆ

ตอนที่จางเซวียนประเมินอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้า อู๋ฟังชิงก็ทำแบบเดียวกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำจริงๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นให้เห็น จนอาจมองข้ามไปอย่างง่ายดายหากเขาอยู่ท่ามกลางเหล่านักรบ

ถ้าตัวเขาไม่รู้มาก่อนว่าชายหนุ่มมีสายเลือดของจอมราชันย์ ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าเขาจะเหลือบแลอีกฝ่ายเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่

“ถึงจะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็ถือว่าผมล่ะหลวมมากที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น นี่คือสัญลักษณ์แทนความจริงใจของคฤหาสน์เจ้าเมือง ผมหวังว่านายน้อยจางเซวียนจะรับของกำนัลชิ้นนี้ไว้เพื่อไถ่ความผิดของผม” อู๋ฟังชิงพูดขณะยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

จางเซวียนแปลกใจกับท่าทีของเจ้าเมือง แต่ก็พยักหน้าให้กับสายตาที่บ่งบอกความฉงนของซุนฉาง

คงเป็นการเสียมารยาทหากจะปฏิเสธความปรารถนาดีของใครคนหนึ่ง แถมอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าเมืองด้วย คงไม่ดีแน่หากเจ้าเมืองคิดว่าเขากำลังดูถูกด้วยการปฏิเสธของกำนัล

เมื่อได้รับสัญญาณจากจางเซวียน ซุนฉางรีบก้าวออกมาและรับแหวนเก็บสมบัติไว้

“เชิญทางนี้!”

หลังจากช่วยพยุงอู๋เฉียวเฉี่ยวกับหยิงเฟยให้ลุกขึ้น ทั้งกลุ่มก็เข้าสู่ห้องโถงใหญ่เพื่อหาที่นั่ง เมื่อทุกคนได้ที่นั่งแล้ว จางเซวียนจับจ้องอู๋ฟังชิงโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็ตั้งคำถาม “ต้องขอโทษด้วยที่พูดตรงๆ แต่ผมเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงเมืองตะวันรอน จึงออกจะไม่ค่อยสบายใจกับความสุภาพของคุณ, เจ้าเมืองอู๋”

จะต้องมีบางอย่างผิดปกติเมื่อใครสักคนแสดงทีท่าแบบนี้

เขาหลบเลี่ยงการทำตัวเป็นจุดเด่นมาตลอดตั้งแต่มาถึงเมืองตะวันรอน แต่ทำไมจู่ๆท่านเจ้าเมืองถึงมาขอพบ แถมมอบของกำนัลชิ้นใหญ่ให้ด้วย?

“ผมรู้เรื่องของนายน้อยจางเซวียนจากลูกสาวของผม คุณช่วยชีวิตเธอ จึงเป็นธรรมดาที่ผมจะต้องแสดงความสำนึกในบุญคุณ” อู๋ฟังชิงรีบตอบ

ข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเขาซึ่งเป็นถึงเจ้าเมืองยังไม่รู้อะไรสักนิดเกี่ยวกับการมาถึงของนักรบคนหนึ่งที่มีสายเลือดจอมราชันย์ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายน่าจะเดินทางตามลำพัง

ในเมื่อชายหนุ่มปกปิดตัวตนของเขา ก็คงไม่ฉลาดนักหากเขาจะรุกคืบและพยายามเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่าย เขาอาจต้องตกที่นั่งลำบากหากทำแบบนั้น ด้วยเหตุนี้ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นย่อมดีกว่า

จางเซวียนกำลังจะถามอู๋ฟังชิงอีก 2-3 ข้อ แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูไม่จริงใจเท่าไหร่ สุดท้ายเขาจึงไม่พูดอะไร

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง อู๋ฟังชิงก็กล่าวลา

จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็ร้องเรียกซุนฉางให้นำแหวนเก็บสมบัติที่อู๋ฟังชิงมอบให้ออกมาเพื่อตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายใน เพียงมองแวบเดียว จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจกับความอู้ฟู่ของคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

อู๋ฟังชิงมอบเงินให้เขา 10,000 เหรียญสวรรค์ รวมทั้งดาบระดับเทพเจ้าขั้นสูงและสมุนไพรล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน!

หากเรื่องนี้เพียงแค่เกี่ยวข้องกับอู๋เฉียวเฉี่ยว ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าเมืองจะต้องมอบของกำนัลให้เขามากขนาดนั้น

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจสร้างสัมพันธไมตรี จางเซวียนก็คร้านจะสงสัยในเจตนาของเขา

เขาสั่งการให้ซุนฉางนำข้าวของที่ฉีหลิงเอ๋อมอบให้ออกมา และด้วยการใช้กรรมวิธีพิเศษบางอย่าง จางเซวียนก็หลอมรวมเลือดอสูรหม่าหยางกับหญ้าโบราณอสูรเขียวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

จากนั้น เขากลับเข้าห้อง ติดตั้งปราการปิดกั้นโดยรอบก่อนจะถอดจิตวิญญาณออกมาเพื่อซึมซับพลังงานที่อยู่ภายในสมุนไพรทั้ง 2 ชนิด

ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ก็น่าจะยกระดับวรยุทธได้ทันที ซึ่งหากมีพละกำลังแข็งแกร่งสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีสิ่งใดเป็นปัญหาอีก

จิตวิญญาณของจางเซวียนกลืนกินพลังจิตวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจากสมุนไพรทั้ง 2 ชนิด ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อผนวกเข้ากับความแตกต่างของกระแสกาลเวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เมื่อดูเผินๆ ความก้าวหน้าของเขาก็จัดว่ารวดเร็วจนน่าสะพรึง

ครู่ต่อมา เสียงกร๊อบเหมือนไข่แตกก็ดังก้อง จากนั้น หญ้าโบราณอสูรเขียวกับเลือดอสูรหม่าหยางก็มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านพร้อมๆกัน แหล่งกำเนิดพลังจิตวิญญาณของเขาจึงเป็นอันถึงจุดจบ

“น่าเสียดายจัง!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะดึงจิตวิญญาณกลับเข้าร่าง

แม้เขาจะรู้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็แอบมีความหวังลึกๆว่าอาจยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้จนถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่โชคร้ายที่ความหวังของเขาไม่เป็นผล