ตอนที่ 717 แม้แต่ความกล้าที่จะพบหน้าเรา ก็ไม่มีแล้วหรือ?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สายตาของเขาหันไปสบตาเข้ากับสายตาของซือหลินพอดี ใบหน้าของนางมีแต่ความแข็งทื่อเย็นชา แววตารังเกียจเดียจฉันท์อย่างปิดไม่มิด 

 

 

“ข้ากับเทพเซียนองค์นี้เพียงแค่ร่วมมือกันเท่านั้น แล้วไยจะต้องไปทำความเคารพนางด้วย?” ครู่หนึ่ง จีเย่ว์ค่อยเอ่ยออกไปอย่างเรียบเฉย 

 

 

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเปิดเผยเรื่องที่เป็นตัวปลอมของฮ่องเต้หญิงในวันอภิเษกของนาง ข้าแค่ทำไปตามนั้นก็พอแล้ว ไยต้องมากความ?” 

 

 

ฉางซุนซิ่วถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเป็นอี้อ๋อง จีเย่ว์ก็เอาแต่กระทำตามอำเภอใจโดยไม่สนสิ่งใดอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลายเป็นศพคืนชีพก็จะยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น 

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ซือหลินก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาดูเขาแวบหนึ่ง 

 

 

คนธรรมดาในใต้หล้า ล้วนแล้วแต่ให้ความเคารพนอบน้อมต่อแดนสวรรค์อย่างสูงสุดอยู่เสมอ แต่ว่าคนผู้นี้ กลับผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่น 

 

 

หากมิใช่ว่าจำเป็นต้องใช้งานเขา ซือหลินตอนนี้คงจะทำลายเขาจนวิญญาณแตกสลายไปแล้ว 

 

 

นางคร้านที่จะเอาความเรื่องคำนับไม่คำนับกับจีเย่ว์อีกต่อไป จึงเอ่ยอย่างวางท่าสูงส่งออกมาว่า “ข้าต้องการให้เจ้ารับรองด้วยคำมั่นว่า เมื่อถึงวันที่แปดจะต้องออกมาพิสูจน์ว่าฮ่องเต้หญิงนั่นเป็นตัวปลอม” 

 

 

นางพูดพลาง สายตาก็เหลือบมองไปที่ปิ่นไม้บนศีรษะของจีเย่ว์ 

 

 

ปิ่นไม้นั่น มีพลังชีวิตสถิตย์อยู่อย่างชัดเจน 

 

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางได้จำกัดขอบเขตการค้นหาองค์หญิงเผ่ามารจนเหลืออยู่แต่ในแคว้นต้าโจว 

 

 

เรื่องที่น่าบังเอิญก็คือ ฮ่องเต้หญิงของต้าโจวองค์นี้ ก็คือผู้ที่ไปอาละวาดในแดนสวรรค์ผู้นั้นนั่นเอง 

 

 

หากนางคาดเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ฮ่องเต้หญิงจะอภิเษกให้เป็นตี้โฮ่ว ก็คงจะเป็นบุรุษผู้นั้นสินะ 

 

 

หากสองคนนั้นอยู่ในแคว้นนี้ เรื่องขององค์หญิงของเผ่ามารที่นางต้องการตามหาย่อมต้องมีอุปสรรค หากมีการต่อสู้กัน ซือหลินรู้ตัวดีว่าตนเองมิใช่คู่มือของคนทั้งสอง 

 

 

เพราะขนาดแม้แต่จักรพรรดิ์สวรรค์ตอนนี้ก็ยังต้องนอนหมดสติอยู่บนแท่นบรรทมอยู่เลย 

 

 

เรื่องบางเรื่อง มิอาจใช้พละกำลังเข้าสู้ หากแต่ใช้ปัญญาและกลอุบาย 

 

 

นางใช้เวลาเพียงสั้นๆก็รู้เรื่องที่มาที่ไปของตู๋กูซิงหลันจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว จึงได้วางแผนสร้างละครฉากนี้ขึ้นมาในวันงานอภิเษก ให้สองคนนั้นต้องตกเวที 

 

 

พอพวกเขาควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว นางก็สามารถที่จะฉวยโอกาสเสาะหาตัวองค์หญิงเผ่ามารออกมา 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น รอให้นายท่านควบคุมแดนสวรรค์ได้ทั้งหมดแล้ว พวกแรกที่จะต้องโดนลงดาบย่อมจะต้องเป็นสองคนนี้อย่างแน่นอน 

 

 

คนที่แม้แต่ตี้เสียยังไม่อาจจัดการได้ นายท่านย่อมจะต้องลงมือกำราบพวกเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทั้งแดนสวรรค์และทั่วทั้งหกภพภูมิยอมรับนับถือ 

 

 

สิ่งที่นางจะลงมือกระทำในตอนนี้ ก็แค่ก่อความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆให้กับสองคนนั้นเท่านั้น 

 

 

รอให้นายท่านขึ้นครองอำนาจ สองคนนั้นก็จะต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน 

 

 

ดังนั้น ในตอนนี้ จะต้องทำให้มั่นใจว่าเรื่องในวันที่แปดจะไม่มีทางล้มเหลว 

 

 

ซือหลินพูดเช่นนี้แล้ว จีเย่ว์ก็อดไม่ได้ที่จะลูบไล้ปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะอีกครั้ง “เรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน นางยึดเอาร่างกายของผู้ที่ข้ารักที่สุดไป ส่วนผู้ที่กำลังจะกลายเป็นตี้โฮ่วผู้นั้น ก็ทำให้ข้าต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยพวกมันไปอยู่แล้ว” 

 

 

ขณะที่เขาพูดออกไป ไอสังหารในร่างก็กำจายออกมา 

 

 

เมื่อได้รับคำยืนยันอย่างหนักแน่น ซือหลินก็นับว่าสามารถวางใจได้แล้ว 

 

 

พวกมดปลวกในใต้หล้า ได้รับการเหลือบแลจากนาง กลายเป็นตัวหมากของนาง ก็นับว่าเป็นวาสนาของพวกมันแล้ว พวกมันสมควรตื่นเต้นยินดีทำงานอย่างขยันขันแข็งจึงจะถูก ไม่มีทางจะมีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน 

 

 

“ใต้เท้าโปรดวางใจได้ ข้าเองก็จะไม่มีวันปล่อยให้พวกมันได้เสวยสุขอย่างแน่นอน” ฉางซุนซิ่วเอ่ยอย่างให้ความเคารพต่อซือหลินอย่างยิ่ง 

 

 

ก่อนหน้านี้ เขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของฟ่านอิงมาก่อน 

 

 

ดังนั้นจึงพอจะมีความเข้าใจในเรื่องของแดนสวรรค์อยู่บ้าง 

 

 

ตอนนี้เมื่อเขากลายเป็นมาร แต่กลับได้เป็นตัวเลือกใช้งานของใต้เท้าคนสำคัญ เช่นนี้ก็หมายความว่า ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่จะได้ถอนหนามที่ตำตาตนเองออกไป อนาคตในภายภาคหน้าก็อาจจะมีสิทธิ์พลิกฟื้นขึ้นไปยืนในแดนสวรรค์ได้เหมือนกัน 

 

 

นับว่าฟ้าดินยังดีต่อเขาไม่น้อย ในที่สุดก็มอบทางรอดสายหนึ่งให้กับเขา 

 

 

ซือหลินไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ยื่นมือออกไปใกล้กับหน้าผากของพวกเขา สร้างตราประทับให้กับตัวหมากของตนเอง 

 

 

ผ่านไปอีกสักพัก นางก็หายลับไป 

 

 

ฉางซุนซิ่วก็ไม่มีอะไรจะพูดจากับจีเย่ว์อีกต่อไปเช่นกัน คนผู้นี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไป พอรั้งอยู่ในบ้านไม้ครู่หนึ่ง เขาก็จากไปเช่นกัน 

 

 

งานที่เขาสมควรจะทำในตอนนี้ คือการไปตระเตรียมหลักฐานที่จะใช้มัดตัวตู๋กูซิงหลันให้เรียบร้อยต่างหาก 

 

 

………………… 

 

 

 

 

 

สายลมโบกโบยพัดพาเอากลุ่มเมฆกระจายไป ดึกดื่นค่อนคืนจึงยิ่งเหน็บหนาวกว่าเดิม 

 

 

จีเย่ว์เข้าไปในบ้าน ดับแสงเทียนที่มีอยู่เพียงดวงเดียวทิ้งไป  

 

 

เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง พาร่างเหาะออกไปในความมืดมิด 

 

 

โดยที่มิทันได้รู้สึกตัวเลยว่า ที่ด้านหลังของเขา มีดวงตาหงส์คู่หนึ่งจับจ้องอยู่จากความมืดมิด 

 

 

……………… 

 

 

พระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันดื่มน้ำแกงสร่างเมาลงไปแล้ว ก็สร่างขึ้นมาไม่น้อย 

 

 

นางไม่รู้ว่าจีเฉวียนไปยังที่ใดแล้ว ในตำหนักบรรทมมีแต่ความว่างเปล่า ราวกับว่าเหลือแต่นางอยู่ตามลำพัง 

 

 

บานหน้าต่างถูกปิดเอาไว้แน่น ในตำหนักค่อนข้างอึดอัดไปบ้าง ตู๋กูซิงหลันไม่ทันจะได้สวมใส่รองเท้า ก็เดินไปยังบานหน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างที่แกะสลักเป็นรูปดอกหลีออกเป็นช่องแคบๆช่องหนึ่ง 

 

 

สายลมที่เย็นฉ่ำจากภายนอกพัดเข้ามา ปะทะกับใบหน้า ทำให้ความอึดอัดและร้อนรุ่มในร่างคลายลงไปได้บ้าง 

 

 

สายลมโบกจนต้นฮว๋ายในส่วนโยกคลอนส่งเสียงดังซู่ซู่ 

 

 

ต้นฮว๋ายส่งเสียง ภูติผีมาเยือน 

 

 

นางพึ่งจะเปิดหน้าต่าง ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง 

 

 

“พี่ชายคนงาม!” ตู๋กูซิงหลันเรียกออกไปคำหนึ่ง เงาร่างนั้นดูแล้ว คล้ายคลึงกับลักษณะของจีเฉวียนอย่างยิ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่าพอนางเรียกออกไป อีกฝ่ายกลับมิได้หยุดลง ในค่ำคืนที่มืดมิดจึงเหลืออยู่แต่เพียงสายลมอันเหน็บหนาวเท่านั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันโคลงศีรษะไปมา นางรู้สึกเหมือนกับว่าในอากาศมีกลิ่นอับๆของซากศพลอยมาจางๆ 

 

 

ไกลออกไป ที่ด้านหลังของต้นฮว๋าย จีเย่ว์ยืนอยู่ที่นั่น 

 

 

เขาหรี่ดวงตาลง แม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นตู๋กูซิงหลันได้อย่างชัดเจน 

 

 

นางงดงามกว่าเมื่อสองปีก่อนเสียอีก เพียงแต่ดูไร้เดียงสามากกว่าเดิม 

 

 

เพียงแต่ว่าจากไปสองปี วังหลวงแห่งนี้กลับกลายเป็นสถานที่แปลกตาสำหรับเขาไปเสียแล้ว 

 

 

ยามที่จีเย่ว์ได้เห็นตู๋กูซิงหลัน ถึงได้ค่อยรู้สึกขึ้นมาว่า สิ่งต่างๆดูคุ้นเคยอยู่บ้าง 

 

 

หากว่าหลันเออร์ยังไม่ตาย ก็คงเติบโตงดงามเช่นนี้เหมือนกัน สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะอึมครึมลงไปอีกหลายส่วน 

 

 

สายลมพัดแรง จนเหมือนจะทำให้ปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะของเขาขยับเล็กน้อย คล้ายจะกำลังสื่อสารอะไรกับเขาบางอย่าง 

 

 

“ข้ารู้แล้ว ไม่วู่วามหรอก” เขาเอ่ยตอบไปคำหนึ่ง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่สุด 

 

 

เขาเพียงแต่คิดถึงหลันเอ๋อร์มากเกินไป จึงอยากจะมาดูสักหน่อย หากว่านางยัง ‘มีชีวิตอยู่’ ตอนนี้จะเป็นเช่นไร 

 

 

พอได้รับคำตอบจากเขา ปิ่นไม้บนศีรษะก็เหมือนจะสงบลง 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันมอบกิ่งต้นไห่ถางให้กับเขา นางก็ได้บอกเขาอย่างชัดเจนไปแล้วว่า นางไม่ใช่หลันเอ๋อร์ของเขา 

 

 

ตลอดสองปีมานี้ เขาก็พกพากิ่งไห่ถางกิ่งนั้นเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ในที่สุด….กิ่งไห่ถางนั้นก็ตอบสนองต่อเขาได้แล้ว 

 

 

ในที่สุดเขาจึงได้รู้ว่า ตู๋กูซิงหลันมิได้โกหกเขา 

 

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วนางมีฐานะที่แท้จริงเป็นใครกันแน่ จึงได้ทำให้แม้แต่เทพเซียนยังหมายหัว 

 

 

จีเย่ว์ยืนอยู่หลังต้นฮว๋าย มองดูนางอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะออกไปปรากฏตัว 

 

 

เขายืนอยู่เช่นนี้ จนเกือบครึ่งชั่วยาม เขามาอย่างเงียบๆ และจากไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านไม้ของเขา ก็ต้องพบว่าในบ้านไม้ที่สมควรจะมืดมิด กลับมีเทียนถูกจุดเอาไว้ เป็นแสงเทียนที่อ่อนจางมากๆ 

 

 

แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้จีเย่ว์ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว เขาจดจำได้เป็นอย่างดีว่า ก่อนที่ตนเองจะออกไปได้ดับเทียนไปแล้ว  

 

 

แสงเทียนไหววูบ ทำให้เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งทอทาบลงไปบนหน้าต่าง 

 

 

เป็นเงาร่างที่งดงามไร้ที่เปรียบของบุรุษผู้หนึ่ง 

 

 

จีเย่ว์ชะงักฝีเท้า คิดจะถอยหลัง แต่กลับถูกคนข้างในเรียกเอาไว้ 

 

 

“ไม่พบกันเนิ่นนาน แม้แต่ความกล้าที่จะพบหน้าเราก็ไม่มีแล้วหรือ?” 

 

 

……………………