ทันทีที่เสียงนั้นเปล่งออกมา จีเย่ว์ก็ต้องตกตะลึงไป 

 

 

เขากับจีเฉวียนเป็นศัตรูคู่แค้นกัน มีหรือจะฟังเสียงนั้นไม่ออก? 

 

 

ทันใดนั้น ข้อเท้าของเขาก็เหมือนถูกถ่วงเอาไว้ ขยับไปไหนไม่ได้จนได้แต่ต้องยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น 

 

 

ครู่หนึ่ง ประตูไม้นั่นก็เปิดออกเอง 

 

 

ภายในบ้าน มีเงาหลังสีดำอมทองร่างหนึ่งบดบังแสงเทียนเอาไว้ เป็นเงาหลังที่อหังการอย่างยิ่ง 

 

 

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ปลายนิ้วเคาะอยู่บนโต๊ะเบาๆ 

 

 

บนโต๊ะมีหมอกควันอยู่ชั้นหนึ่ง พอเขาขยับหมอกควันนั้นก็ฟุ้งขึ้นมา กำจายออกไปรอบๆ 

 

 

จีเย่ว์มองดูเขา ในสมองก็อดไม่ได้ที่จะเห็นภาพของบุรุษที่เคยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอันสูงส่งผู้นั้น 

 

 

ทั้งๆที่เป็นเพียงเงาหลัง ก็ยังไม่อาจบดบบังความอหังการที่ผู้ใดก็ไม่อาจก้าวล้ำไปได้ 

 

 

แม้แต่คนเช่นเขา ก็ยังรู้สึกว่าสองขาหนักอึ้งขึ้นมา ราวกับว่ากำลังถูกคนกดให้ก้มศีรษะลงไป 

 

 

ครู่หนึ่ง จีเย่ว์ถึงได้ขยับริมฝีปาก เรียกชื่อหนึ่งขึ้นมาบนริมฝีปากด้วยความยากลำบาก “จีเฉวียน….” 

 

 

ว่าแล้ว จีเฉวียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยปรากฏกายขึ้นมา ท่ามกลางแสงเทียนที่ทึมทึบ เผยให้เห็นรูปโฉมด้านข้างที่งดงามไร้ที่เปรียบของเขา 

 

 

ท่ามกลางหมอกควันที่ทึมทึบนั่น คือดวงหน้าที่เลิศล้ำจนไร้ตำหนิใดๆ 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้นปรายตามองมาที่เขาแวบหนึ่ง “อ้อ ยังคงจำเราได้สินะ?” 

 

 

น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกจนแทบจะทำให้แข็งค้าง ทำเอาคนต้องร่างสั่นสะท้านขึ้นมา 

 

 

หัวใจของจีเย่ว์ต้องหนักอึ้งกว่าเดิม 

 

 

บุรุษผู้นี้ ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เขาก็ยังคงจดจำได้อยู่ 

 

 

หากจะถามว่าเขาเกลียดชังจีเฉวียนหรือไม่ เขาย่อมต้องบอกว่าเกลียด เกลียดชังอย่างที่สุด 

 

 

แต่ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คล้ายจะมีบางสิ่งแตกต่างออกไปจากจีเฉวียนอยู่ 

 

 

มิรู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศจากตัวของเขา หรือว่าเป็นเพราะหมอกควันสีดำที่มาจากตัวเขากันแน่ 

 

 

ความคิดต่างร้อยรัดเข้าด้วยกัน กลายเป็นคำตอบคำตอบหนึ่ง บุรุษผู้นี้แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนพิศดารไปแล้ว 

 

 

ขณะที่หัวใจของเขากำลังสั่นสะท้าน ก็เห็นว่าจีเฉวียนกำลังหันร่างกลับมาอย่างช้าๆ 

 

 

ภายใต้แสงเทียน ทำให้เห็นว่าดวงตาหงส์คู่นั้น จับจ้องมาที่เขา 

 

 

แววตาที่เย็นชา และเหน็บหนาว ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่หลายส่วน 

 

 

แววตานั้นทำให้จีเย่ว์รู้สึกอึดอัดไปหมด ราวกับว่าตนเองยืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วยร่างกายที่เปล่าเปลือย ไม่สวมใส่สิ่งใดทั้งสิ้น 

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” พักใหญ่จีเย่ว์ค่อยหาเสียงของตนเองเจอ 

 

 

ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานนานถึงสองปีแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาเริ่มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ถึงแม้ว่าเขาเองจะเคยคิดว่าคงถึงเวลาที่เขาจะมีความสามารถในการที่จะงัดข้อกับบุรุษผู้นี้บ้างแล้ว 

 

 

แต่ทันทีที่จีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา ก็ทำให้เขาต้องย้อนกลับไปยังจุดเดิม 

 

 

ที่แท้แล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียน เขาก็ยังคงต่ำต้อย เหมือนดังแต่ก่อนไม่มีผิด 

 

 

จีเฉวียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ปลายนิ้วที่เคาะอยู่บนโต๊ะมิได้หยุด แต่ยามที่มองดูจีเย่ว์ รอยยิ้มเย็นชาบนมุมปากก็ต้องหยุดลง 

 

 

“คำถามนี้สมควรเป็นเราที่ถามเจ้าต่างหาก เจ้าคิดจะทำอะไร?” 

 

 

จีเย่ว์ถึงได้ค่อยได้สติขึ้นมา ที่นี่มีเขตอาคมอยู่ มิว่าผู้ใดผ่านเข้ามา เขาย่อมรู้สึกได้ ยกเว้นแต่กับบุรุษผู้นี้เท่านั้น….. 

 

 

เขาเข้ามาในนี้อย่างไร้สุ่มเสียง จนกระทั่งมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา 

 

 

ต่อให้ที่นี่ไม่มีเขตอาคม แต่สถานที่แห่งนี้ก็ทั้งลึกลับและซับซ้อน เช่นนี้แล้วจีเฉวียนสามารถเสาะหาเขาพบได้อย่างไร? 

 

 

จีเย่ว์ขมวดหัวคิ้วมุ่น เขากำลังคิดทบทวนกลับไปว่า ตนเองผิดพลาดในที่ใดจึงได้ทำให้จีเฉวียนสามารถเสาะหาที่พักที่มิดชิดของเขาจนเจอ 

 

 

ผู้ที่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ก็มีแค่เพียงฉางซุนซิ่วและซือหลินเท่านั้น 

 

 

สองคนนั้นไม่มีทางจะเปิดเผยความเคลื่อนไหวของเขาอย่างเด็ดขาด 

 

 

“เรากำลังถามเจ้า” 

 

 

สีหน้าของจีเฉวียนเย็นชา เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียวก็ดึงสติของจีเย่ว์กลับมา 

 

 

จีเย่ว์ลำคอแห้งผาด เผลอไผลยื่นมือไปสัมผัสปิ่นไม้บนศีรษะอีกครั้ง 

 

 

กริยาเล็กๆน้อยๆนี้ย่อมถูกจีเฉวียนสังเกตออก 

 

 

พริบตาที่มองดูปิ่นปักผมขของเขา ดวงตาหงส์ที่เย็นชาดุจแท่งน้ำแข็ง ก็พลันปรากฏจุดสว่างวาบขึ้นมาจางๆ 

 

 

…………… 

 

 

 

 

 

วันที่แปด คือวันที่ฝูงชนตั้งตารอคอย 

 

 

ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เชียนเชียนก็นำพาสตรีกลุ่มใหญ่เข้าไปในตำหนักตี้หัวกง 

 

 

นับตั้งแต่สรงน้ำจนถึงสวมใส่อาภรณ์ใช้เวลาไปถึงสองชั่วยามเต็มๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น ปล่อยให้พวกนางจัดการตามใจชอบ 

 

 

รอจนทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย นางถึงได้ลืมตาขึ้นมา 

 

 

คนที่สะท้อนอยู่ในบานกระจกทองแดง คือสาวน้อยที่สวมใส่ชุดสีแดงทั่วทั้งตัว 

 

 

โฉมสะคราญที่งดงามล้ำจนเลื่องลือไปทั่วทั้งเมือง เมื่อแต่งเติมด้วยชุดแต่งงานเต็มยศ ก็ยิ่งเพิ่มความงดงามอันน่าตื่นตะลึง จนแม้กระทั่งตู๋กูซิงหลันได้เห็นตนเองแล้ว ก็ยังไม่อาจละสายตาไปได้เลย 

 

 

เหล่านางกำนัลต่างตื่นตะลึงจนถอนหายใจ ฝ่าบาททรงเป็นยอดโฉมสะคราญในใต้หล้าที่ไร้ผู้ใดเปรียบจริงๆ 

 

 

แม้แต่พวกนางที่เป็นสตรีด้วยกัน แค่มองเพียงแวบเดียวก็ยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นโครมคราม 

 

 

องค์เอวที่บอบบาง ส่วนโค้งเว้าน่าเย้ายวน ผิวพรรณละเอียดเนียนดุจหิมะ และชุดแต่งงานสีแดงเพลิงดุจเปลวไฟ 

 

 

ต่อให้รวบรวมทุกสิ่งที่งดงามที่สุดในโลกหล้า ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้กับความงามของฝ่าบาทแม้หนึ่งในสิบส่วน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ลืมตากลมโต ยื่นมือออกไปสัมผัสคนที่อยู่ในบานกระจกทองแดง เอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “พี่สาวคนนี้งดงามมากจริงๆ ดูคล้ายกับข้ามากเลย!” 

 

 

เชียนเชียนที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท คนในกระจกก็คือพระองค์เองนะเพคะ!” 

 

 

ในที่สุดคุณหนูก็จะได้มีความสุขเสียที นางเองก็ย่อมยินดีจากใจจริง 

 

 

น่าเสียดาย ที่จิตใจในตอนนี้….. 

 

 

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะนับตั้งแต่คุณหนูกลับมา ทุกๆวันนางต่างมีความสุข ภายภาคหน้ายังมีคนในครอบครัว ยังมีตี้โฮว่คอยปกป้องนาง ต่อให้จิตใจของนางไม่อาจกลับไปเป็นอย่างเก่า ก็ไม่เป็นไรหรอกละมั้ง? 

 

 

เชียนเชียนคิดไว้เช่นนี้ 

 

 

“หา เป็นข้าหรือ!” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอย่างยิ่ง นับตั้งแต่จิตวิญญาณของนางได้รับบาดเจ็บ ก็ปล่อยให้รูปลักษณ์เป็นไปตามธรรมชาติไม่ได้แต่งเติมอันใด นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาใช้เครื่องสำอางค์ต่างๆ ทำเอาถึงกับแทบจะจดจำตนเองไม่ได้เลย 

 

 

“วันนี้เป็นวันมหามงคลที่ฝ่าบาทจะทรงรับตี้โฮว่มาอภิเษก ย่อมต้องแต่งพระองค์อย่างเต็มที่!” 

 

 

เชียนเชียนคอยย้ำเตือนอยู่ที่ด้านข้าง จากนั้นก็ช่วยนางสวมใส่หมวกมงกุฏหงส์ลงบนศีรษะของนาง  

 

 

ชุดแต่งงานของตู๋กูซิงหลัน คือชุดที่ตู๋กูชิงชิงเคยสวมใส่ตอนแต่งงาน จีเฉวียนนำกลับมาให้นางสวม 

 

 

“ตี้โฮว่?” ตู๋กูซิงหลันขยับศีรษะ มองดูตนเองในบานกระจกทองแดงแล้วก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าหมายถึงพี่ชายคนงามนะหรือ?” 

 

 

“ถูกต้องแล้วเพคะ” เชียนเชียนยิ้มพลางผงกศีรษะ 

 

 

“ต่อไปก็จะกลายเป็นสวามีของพระองค์แล้วเพคะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “สวามีคืออะไร กินได้ไหม?” 

 

 

เชียนเชียน “สวามีก็คือบุรุษที่จะนอนอยู่ด้วยกัน นอนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ….ต่อไปก็จะมีลูกด้วยกัน” 

 

 

นางชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความลำบากใจ เรื่องที่ว่ากินได้หรือไม่นั้น คงต้องดูว่าจะเข้าใจในแบบใดแล้ว 

 

 

เพื่อให้คุณหนูสามารถผ่านพิธีแต่งงานได้อย่างราบรื่น นางที่เป็นนางกำนัลประจำตัวต้องทั้งช่วยสอนและแต่งเติมคำอธิบายเรื่องคืนวันแต่งงานมาหลายวันแล้ว 

 

 

จากเดิมที่เป็นเพียงสาวน้อยใสซื่อ แต่หลายวันนี้พอต้องหลอกล่อแต่งเติมมากเข้า ก็ทำเอาตนเองใกล้จะกลายเป็นยายแก่เจ้าเล่ห์เข้าไปทุกทีแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างมิใคร่จะเห็นด้วยสักเท่าไร 

 

 

เพราะว่าตอนนี้นางก็เข้านอนกับพี่ชายคนงามอยู่ทุกคืนอยู่แล้ว! 

 

 

ส่วนเรื่องมีลูก นางยังเป็นเด็กอยู่เลยมิใช่หรือ? 

 

 

แต่พอคิดๆดู หากสามารถนอนเคียงกับพี่ชายคนงามไปตลอดชีวิต ตู๋กูซิงหลันก็เบิกบานใจอย่างที่สุด 

 

 

ขณะที่เชียนเชียนที่อยู่ด้านข้างยังมัวแต่ลังเลอยู่ว่าจะต้องตอบคำถามของนางหรือไม่ ที่นอกประตูใหญ่ก็มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา 

 

 

พอหันไปมองก็เห็นร่างในชุดสีแดงเพลิง ที่ถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ ปรากฏขึ้นต่อสายตาของผู้คนทั้งหมด 

 

 

เขาก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ ชั่วขณะนั้น ลมหายใจของผู้คนทั้งหมดก็พลันสะดุดและค้างไป 

 

 

……………………………..