ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 1 ฝ่ามือฟาดลงบนก้อนหิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลมประจิมรุนแรง ห่านบินข้ามฟ้ากว้าง ส่งเสียงร้องใต้จันทรายามเช้าหนาวเหน็บ

ใต้จันทรายามเช้าหนาวเหน็บ ม้าย่ำกระหึ่ม แตรเขาสัตว์ส่งเสียงทุ้ม

พวกเขาโอ้อวดอย่างถือตัวว่าด่านแข็งแกร่งดังกำแพงเหล็ก กระตุ้นให้เราก้าวขึ้นสู่ยอดเขา

ก้าวขึ้นสู่ยอดเขา ภูเขาเขียวครามดูราวกับคลื่นทะเล อาทิตย์อัสดงสีแดงราวโลหิต

ด่านโหลวซาน, เหมาเจ๋อตุง, 1935

ราชันแห่งหลิงไห่ก้มกราบเฉินฉางเซิงใต้ต้นสาลี่แล้วก็ลุกขึ้น

ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

เขาลุกขึ้นไวกว่าที่เขาทำตามปกติ ซึ่งอาจหมายความว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพหรือเขาไม่สนใจ

หลายคนโดยเฉพาะคนสำคัญในพระราชวังหลี รู้ว่าราชันแห่งหลิงไห่ไม่เคยชอบสังฆราชและมีความเป็นศัตรูเล็กน้อยด้วยซ้ำ

นักพรตไป๋สือกับอันหลินเห็นเห็นภาพนี้จากหางตาและไม่คิดว่ามันแปลก

ราชันแห่งหลิงไห่ยืนขึ้น แต่นักพรตไป๋สือกับอันหลินยังก้มกราบอยู่ ส่งผลให้มีความสูงต่างกัน

มันคล้ายกับความต่างระหว่างต้นสาลี่กับเฉินฉางเซิง

สายลมเย็นพัดโชยทำให้ดอกไม้สีขาวนับไม่ถ้วนร่วงลงมาบนศีรษะและไหล่ของเฉินฉางเซิง

มือขวาของราชันแห่งหลิงไห่ก็ลดลง ฟาดใส่ศีรษะของนักพรตไป๋สือ

ลมเย็นพัดโหยหวน ต้นไม้ส่ายไหว และดอกสาลี่ก็ปลิวว่อน

ลมนี้ส่งผลต่อส่วนที่ห่างไปของเวิ่นสุ่ย ทำให้น้ำปั่นป่วน พืชน้ำที่ก้นแม่น้ำเริ่มส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับงูนับไม่ถ้วน

ราชันแห่งหลิงไห่โจมตีกะทันหันเกินไป ไม่มีใครด้านหน้าหอมีเวลาพอที่จะตอบสนอง

อันหลินเห็นฝ่ามือที่ฟาดลงมาราวกับสายฟ้าจากหางตา นางตกใจและต้องการจะหยุดเขา แต่มันก็สายไปแล้ว

แต่นักพรตไป๋สือดูเหมือนจะเตรียมตัวเอาไว้แล้ว

เขายังอยู่ในท่าหมอบกราบแต่มือขวาของเขาลอยขึ้นจากพื้นแล้ว พลิกขึ้นราวกับจอกแหนถูกพัดขึ้นบนผิวน้ำ

ฝ่ามือสองข้างปะทะกันเหนือศีรษะนักพรตไป๋สือดังเพียะ

หินปูพื้นตรงหน้าหอสั่นและจมลงไปหลายนิ้ว!

ประตูศักดิ์สิทธิ์ถูกลมพัดอย่างรุนแรง ทำให้เกิดรอยร้าวและดูเหมือนจะหมดสติ

ร่างของราชันแห่งหลิงไห่ส่ายไหวและเขาก็ถอยไปสองก้าว ไอปราณบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนซึมออกมาจากชุดคลุมศักดิ์สิทธิ์และพุ่งผ่านอากาศ

นักพรตไป๋สือยืนขึ้นใบหน้าแดงก่ำ ดูราวกับว่ามีหยดเลือดเล็กๆ นับไม่ถ้วนซึมออกมาจากผิวของเขา

อันหลินตกใจอย่างมาก เพราะผลลัพธ์ของการปะทะฝ่ามือนั้นเหนือการคาดคิดอย่างสิ้นเชิง

ราชันแห่งหลิงไห่กับนักพรตไป๋สือมีระดับการบำเพ็ญตนใกล้เคียงกัน ทั้งคู่ต่างก็อยู่ขั้นสูงสุดขั้นรวบรวมดวงดาว

ต่อให้นักพรตไป๋สือระวังตัวอยู่ตลอดเวลา การโจมตีของราชันแห่งหลิงไห่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สอดคล้องกับกฎของโลกอย่างสมบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของราชันแห่งหลิงไห่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา แต่กลับไม่อาจทำให้นักพรตไป๋สือบาดเจ็บสาหัส แค่ได้เปรียบเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้

อันหลินสัมผัสได้ถึงปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างนักพรตไป๋สือ ใบหน้านางซีดขาวและคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง

นักพรตไป๋สือไม่ได้เลือดไหล แต่เขารู้ว่าตัวเองบาดเจ็บภายในจากการลอบโจมตีอันรุนแรงและชั่วร้ายของราชันแห่งหลิงไห่ เขาต้องจากไปในทันที

เขาเข้าใจคนที่อยู่ที่นี่ดีและรู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะจากไป

ราชันแห่งหลิงไห่ต้องการเวลาที่จะปรับปราณแท้และอันหลินก็เพิ่งลุกขึ้นยังไม่อยู่ในสภาพพร้อมสู้ ชายหนุ่มที่ปกคลุมไปด้วยเจตจำนงกระบี่รุนแรงเดินออกมาจากหอ น่าจะเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากสำนักกระบี่หลีซาน แต่สำนักกระบี่หลีซานไม่เชี่ยวชาญเรื่องการไล่ล่า ดังนั้นชายหนุ่มผู้นี้คงไม่อาจที่จะหยุดเขาได้

ส่วนอีกคน…เขามองไปที่เฉินฉางเซิงใต้ต้นสาลี่และคิด เจ้าก็ยังไม่ฟื้นตัวดี ดังนั้นต่อให้เจ้ามีกระบี่หมื่นเล่ม เจ้าจะหยุดข้าได้อย่างไร

เขาพ่นลมออกมา จากนั้นก็เริ่มใช้วิชาตัวเบา เปลี่ยนเป็นควันกลุ่มหนึ่งใต้ดวงอาทิตย์ฤดูหนาว เขาพุ่งออกไปจากอาราม

ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ที่รวดเร็วที่สุดในนิกายหลวง มีวิชาตัวเบาที่เป็นความลับที่สุด เขาคาดได้ถูกต้อง ไม่มีใครในตอนนี้สามารถหยุดเขาได้

แต่เขาไม่รู้อยู่อย่างหนึ่ง มีอีกสองคนที่อยู่กับเฉินฉางเซิงจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานมาถึงเมืองเวิ่นสุ่ย

กลุ่มควันลอยไปยังสวนป่า แต่ก็พบว่าไม่อาจจะหนีไปได้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เด็กสาวก็จะปรากฏตัวตรงหน้าเขาเสมอ

นักพรตไป๋สือถูกบีบให้ปรากฏตัว เมื่อเขามองไปที่เด็กสาวตรงหน้า ดวงตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความตกใจ

เด็กสาวนี้มีใบหน้าเยาว์วัยและดวงตาทึมทึบ มันดูไม่เหมือนว่านางจะคิดได้ด้วยซ้ำ

แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไปไหน ทำไมนางถึงได้เร็วนัก!

ที่ทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งกว่าก็คือตอนที่เขาบินผ่านป่าก่อนหน้านี้ เขารู้สึกเหมือนลมเย็นพัดผ่านคอของเขา

มันเหมือนบางคนอยู่ด้านหลังเขาตลอดเวลา…

เขารู้ว่าเขาใช้กำลังเต็มที่แล้ว

ปราณศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกจากชุดนักพรตของเขา ลำแสงบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา

มันเป็นหินสีขาวก้อนกลม คนที่เคยไปยังทะเลสาบสวรรค์บนหานซานก็จะจำได้ว่ามันคือหินสวรรค์

หินสวรรค์นี้สลักไว้ด้วยลวดลายทองดำซับซ้อนก่อเป็นค่ายกล มันดูงดงามมาก บางทีคุ้มที่จะเรียกได้ว่าเป็นการผสานระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ

มันเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของนิกายหลวง ศิลาดาวตก

……

……

ข้อสันนิษฐานของอันหลินได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยภาพนี้ทำให้นางรู้สึกโมโห

นักพรตไป๋สือสามารถรักษากำลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้หลังจากถูกราชันแห่งหลิงไห่ลอบโจมตีเต็มกำลังก็เพราะว่าเขาถือศิลาดาวตกไว้ในมือ

หินดาวตกเป็นสมบัติของนิกายหลวงที่นักพรตไป๋สือดูแล อันหลิน ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นต่างก็มีสมบัติในการดูแลของตัวเอง

สมบัติพวกนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของค่ายกลพระราชวังหลี พวกมันมีความสำคัญอย่างสูงต่อนิกายหลวง

ไม่มีคำสั่งสังฆราช ไม่มีใครรวมถึงผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงที่ดูแลสมบัติจะนำมันออกมาจากพระราชวังหลีได้

นักพรตไป๋สือได้ลอบนำศิลาดาวตกมา ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาเช่นใด เขาได้ฝ่าฝืนกฎของนิกาย!

อันหลินโบกมือขวา ส่งเข็มขัดบินออกไปและนำดอกสาลี่นับไม่ถ้วนไปล้อมนักพรตไป๋สือ

“คิดว่าเจ้าสามารถกักข้าเอาไว้ได้ด้วยสิ่งนี้หรือ” นักพรตไป๋สือตะโกนและเขาจ้องมองไปที่เด็กน้อยตรงหน้า

อันที่จริง คำถามนี้ยังถามไปยังคนที่ตามหลังเขาเหมือนภูตพราย ถามอันหลิน และยังถามเฉินฉางเซิงอีกด้วย

ตอนที่เขาถาม เขาก็ฟาดศิลาดาวตกลงกับพื้น

อันหลินรู้ว่ามันไม่ดีแน่ แม้ว่าเข็มขัดของนางยังก่อค่ายกลไม่เสร็จเรียบร้อยดี นาก็พุ่งเข้าไปในป่า

ศิลาดาวตกตกลงบนพื้น มันไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงแม้แต่เสียงเดียว และไม่มีดอกไม้ใบไม้สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย

พลังที่เก่าแก่โบราณพลันปรากฏขึ้น

ลมพลันเริ่มพัดผ่านศิลาดาวตก เช่นเดียวกับดอกไม้ใบไม้บนพื้นดิน

ศิลาดาวตกดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นพายุหมุนกลืนกินทุกสิ่งที่มันสัมผัส แม้แต่กฎของโลกในบริเวณโดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยว

หลุมลึกดำปรากฏขึ้นบนพื้น มันดูเหมือนจะมีรัศมีแค่หนึ่งจั้ง แต่ก็เหมือนกับไร้ขอบเขตและไร้สิ้นสุด

ศิลาดาวตกลอยอยู่ตรงกลาง แผ่แสงอ่อนจางดูราวกับดวงดาวจริงๆ

ลม ดอกไม้และใบไม้จมลงข้างในอย่างต่อนเอง หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“หยุดเขา!” อันหลินตะโกนอย่างรีบเร่ง

ศิลาดาวตกนั้นสมกับเป็นของศักดิ์สิทธิ์และสมบัติของนิกายหลวงอย่างแท้จริง มันสามารถฉีกเปิดมิติ เปิดทางไปสู่ที่ซึ่งต่างไป!

นักพรตไป๋สือมองดูนางอย่างเฉยชา

ศิลาดาวตกถูกเปิดใช้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าเด็กสาวตรงหน้าเขาหรือภูตพรายด้านหลังก็ไม่อาจหยุดเขาได้

เขาเดินไปสู่เส้นทางมืดมิด

หากเป็นไปตามคาด เขาจะปรากฏตัวขึ้นบนทุ่งราบห่างไปหลายร้อยลี้

แต่…สิ่งคาดไม่ถึงปรากฏขึ้น

เห็นชัดๆ ว่าเท้าของเขาก้าวเข้าสู่ทางดำมืดแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนก้าวลงไปบนโคลนได้

ทำไมเขายังรู้สึกถึงดอกไม้ใบไม้ใต้เท้า