นักพรตไป๋สือมองไปรอบๆ อย่างตกใจ ตระหนักว่าเขายังอยู่ด้านนอกอารามเต๋า ยังอยู่ในป่า
เด็กสาวตัวน้อยยังอยู่ตรงหน้าเขา ปราณเย็นเยียบยังอยู่หลังคอเขา
เกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าศิลาดาวตกฉีกผ่ามิติ แล้วทำไมเขาถึงไม่ถูกส่งไปที่อื่น
นักพรตไป๋สือมองลงไปที่เท้าและใบหน้าก็ซีดลงในทันที
ศิลาดาวตกยังลอยอยู่ในมิติสีดำ
แต่มิติสีดำนั้นหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
พลังศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นจากบางแห่งและโถมเข้าใส่มิติสีดำราวกับคลื่นที่ไม่รู้จบ
การบิดกฎของโลกจากศิลาดาวตกเสียประสิทธิภาพไปจนสิ้น ดอกไม้ใบไม้ไม่ถูกดึงเข้าไปอีก กระบวนการทั้งหมดหยุดลง
เช่นเดียวกับที่เขาไม่อาจที่จะก้าวเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก ได้แต่ยืนอยู่ตรงที่เขาอยู่
แล้วคลื่นพลังไร้สิ้นสุดพวกนี้มาจากไหนกัน ทำไมมันถึงได้ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่นัก ทำไมแม้แต่ศิลาดวงดาวก็ไม่อาจต้านได้ ทำไมแม้แต่ศิลาดาวตกก็ไม่อาจต้านทานได้
นักพรตไป๋สือหันกลับไปอย่างฉับพลัน สายตาของเขาเคลื่อนไปตามคลื่นบนพื้นซึ่งในที่สุดก็หยุดหลังประตูศักดิ์สิทธิ์ ใต้ต้นสาลี่
เฉินฉางเซิงยืนใต้ต้นสาลี่ มองกลับไปอย่างสุขุม ดูเหมือนไม่กังวลว่าเขาจะหนีไปได้
เขาถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ
ไม้เท้านี้คือสัญลักษณ์ของการบูชานิกายหลวง
ปลายไม้เท้าวางอยู่บนโคลน แต่ก็ดูมั่นคง
ปราณศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ราวกับคลื่น
ดอกไม้ใบไม้บนพื้นลอยขึ้นช้าๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินสามฉื่อ แต่ไม่สูงไปกว่านั้น
พืชน้ำที่ก้นแม่น้ำค่อยๆ ลอยขึ้นสามฉื่อจากพื้นผิวน้ำ ไม่ได้ซ่อนตัวจากแสงตะวันอีกต่อไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างงดงามกลมเกลียวอย่างที่สุด
หลักการของความงามคือความสงบ และทะเลดวงดาวก็สงบเยือกเย็น และการสงบเยือกเย็นก็ศักดิ์สิทธิ์
ทั่วอารามเต๋ารวมถึงป่าและแม่น้ำโดยรอบได้กลายเป็นทะเลดวงดาว
พลังศักดิ์สิทธิ์ใดที่กระทบกับทะเลดวงดาวก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน หลงระเริงหรือมึนเมาจนกระทั่งหายไปหรือกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ศิลาดาวตกเป็นสมบัติของนิกายหลวง ก่อขึ้นจากปัญญาของยอดคนแห่งพระราชวังหลีนับรุ่นไม่ถ้วน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์มันจะสู้ได้อย่างไร
นักพรตไป๋สือสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศิลาดาวตกถูกแยกออกจากดวงจิตของเขาและพลันเข้าใจในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้เขาหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ถูกยอดฝีมือนิกายหลวงล้อมเอาไว้ ต่อให้มีศิลาดาวตกในมือ เขาก็ยังได้แต่คิดหนีเท่านั้น หากศิลาดาวตกถูกชิงไป เขายังเหลือโอกาสอันใดอีก
เขาไม่อาจที่จะเหนี่ยวรั้งไว้อีก ได้แต่ฝืนตัดความเชื่อมต่อกับศิลาดาวตก ได้รับบาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับของเต๋าศักดิ์สิทธิ์ กลืนเลือดลงไปคำใหญ่ ปราณแท้พลุ่งพล่านเมื่อเขาฝืนใช้วิชาตัวเบาจนถึงขีดสุด พุ่งผ่านเด็กสาวตัวน้อยกลายสภาพเป็นลมรุนแรงพุ่งออกไปจากป่า
อันหลินสะบัดนิ้ว เข็มขัดก็เคลื่อนไปในสายลม นำกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนตามไปเป็นภาพอันงดงาม
นักพรตไป๋สือไม่ได้ตื่นตา แต่การมองเห็นของเขาถูกบดบัง
ที่สำคัญยิ่งกว่าเข็มขัดและกลีบดอกไม้ทั้งหมดได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของป่า
เมื่อกลีบดอกไม้กระจายตัว นักพรตไป๋สือก็มองไม่เห็นบันไดหินที่เป็นทางออกจากป่า แต่เป็นใบหน้าไร้อารมณ์ของราชันแห่งหลิงไห่
หลังจากลอบโจมตีในครั้งแรก ราชันแห่งหลิงไห่ก็ล่าถอยจากนั้นเขาก็ไม่ได้โจมตีอีก รอคอยตลอดมาจนถึงตอนนี้
เขาย่อมไม่ให้นักพรตไป๋สือมีโอกาสอีกครั้ง
ไม้บรรทัดเหล็กในมือเขาสะสมกำลังเอาไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟาดใส่นักพรตไป๋สือผ่านกลีบดอกไม้
ไม้บรรทัดสีดำสนิทดูเป็นประกายด้วยแสงดาวนับไม่ถ้วนในทันที
เสียงระเบิดทึบๆ ดังขึ้น
ไม้บรรทัดเหล็กทำลายการป้องกันของนักพรตไป๋สือและปักใส่ไหล่ของเขาอย่างรุนแรง
กระดูกไหล่หักในทันทีในขณะที่แดนลี้ลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป กระอักเลือดพุ่งขึ้นฟ้า
ในตอนที่เขาเตรียมจะระเบิดปราณแท้และหนีจากราชันแห่งหลิงไห่ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่เอว
เขาคุ้นเคยกับความเย็นนี้ดี ทำให้เขาตกใจยิ่งขึ้นไปอีก
ความเย็นนี้ติดตามเขามาด้านหลังตลอดเวลาราวกับภูตพรายที่หายใจรดต้นคอเขา
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ความเย็นนี้กลับอยู่ที่เอวของเขา
มีเสียงเบาอย่างมาก
เป็นคำเปรียบเปรยคุ้นหูนั่นอีกครั้ง
เหมือนกับถุงหนังที่ใส่สุราจนเต็มถูกแทงใส่
ปลายกระบี่ทะลุออกมาจากอกของนักพรตไป๋สือ
ปลายกระบี่ไม่ได้แหลมคมนัก เช่นเดียวกับคมขรุขระที่เกิดจากกระบี่ถูกอาวุธแหลมคมมากมายฟันใส่ มีลวดลายซับซ้อนอยู่บนตัวกระบี่
หลังจากถูกอาบย้อมด้วยเลือด ลวดลายนั้นก็ดูน่ากลัวและแปลกประหลาด
ว่าตามเหตุผล ต่อให้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างนักพรตไป๋สือจะถูกกระบี่แทงทะลุอก ก็ยังคงมีความสามารถในการต่อสู้อยู่
แต่ด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจบอกได้ เขากลับอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ราวกับปราณมารนับไม่ถ้วนที่ออกมาจากกระบี่นั่นได้ดึงชีวิตของเขาไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตไป๋สือก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเอง เมื่อเขามองไปที่กระบี่ ความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นตกใจ เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวังดังออกมาจากปากของเขา
เขาเคยเห็นภาพกระบี่นี้ในคัมภีร์เต๋าและจดจำมันได้
กระบี่ธงชัยของผู้บัญชาการมารที่หายไปหลายศตวรรษแล้ว!
……
……
พลังศักดิ์สิทธิ์ดั่งทะเล!
บรรทัดเหล็กดั่งภูเขา!
กระบี่มารดั่งธง!
ไม่ว่านักพรตไป๋สือจะแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงถึงสามครั้งติดต่อกัน เขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป พ่นโลหิตออกมา คุกเข่าลงกับพื้น ละทิ้งความพยายามขัดขืน
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบากและพบว่าเด็กสาวตัวน้อยยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในหน้านางมีสีหน้าทึมทึบ
เด็กสาวนี้ไม่เคยโจมตีสักครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด นางก็จะปรากฏตัวขึ้นเสมอ
การไม่โจมตีเช่นนี้น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าการโจมตีเสียอีก
เด็กสาวตัวน้อยนี่เป็นใคร ทำไมนางจึงมีความเร็วและวิชาท่าร่างน่าตระหนกเช่นนี้ นักพรตไป๋สือจ้องไปในดวงตานางและพลันนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ความกังขาผุดขึ้นในดวงตา เขาหันไปที่ประตูศักดิ์สิทธิ์และตะโกนเสียงแหบ “เจ้ากล้าเก็บนางไว้ข้างกาย!”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำ หลังจากเก็บไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็กล่าวขอบคุณกวนเฟยไป๋
นับจากตอนที่ราชันแห่งหลิงไห่เริ่มการลอบโจมตี กวนเฟยไป๋ก็เคลื่อนตัวมาอยู่หน้าเฉินฉางเซิงตามจิตใต้สำนึกและกุมกระบี่เอาไว้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ถึงอย่างไรเฉินฉางเซิงก็ยังไม่ฟื้นฟูดีและเขาเสียเลือดมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องได้รับการคุ้มกัน
ตอนนี้เองที่เขาพอจะเข้าใจขึ้นบ้าง และมือที่กุมด้ามกระบี่ก็เริ่มสั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป
แม้แต่คนอย่างเขาที่มีเจตจำนงกระบี่มั่นคงดั่งขุนเขา ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งมีส่วนในเหตุการณ์ใหญ่ของนิกายหลวง
อันหลินได้ยินคำพูดของนักพรตไป๋สือและพอจะเข้าใจอยู่บ้าง นางมองไปที่ใบหน้าทึมทึบของเด็กสาว ลังเลที่จะกล่าว
ราชันแห่งหลิงไห่ย่อมเดาได้ แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของนักพรตไป๋สือ เขาถามอย่างเฉยชา “เมื่อเจ้าเอาได้ว่าเรารู้แล้วและยังกล้าเข้าเมืองมาพร้อมพวกเรา เป็นปรมาจารย์เต๋าหรือตระกูลถังที่รับประกันความปลอดภัยให้เจ้า หรือเพราะว่าเจ้าคิดว่ามีศิลาดาวตกในมือแล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจ”
เสื้อผ้าด้านหน้าของนักพรตไป๋สืออาบไปด้วยเลือดทำให้เขาดูน่าอนาถแต่ท่าทางของเขายังคงไม่โอนอ่อน เขาตอบอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าไม่คาดคิดจริงๆ ว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์จะสามารถสะกดศิลาดาวตกได้ ดูเหมือนว่านี่คือการควบคุมวิหารทั้งหกของสังฆราช แต่แล้วจะทำไม เจ้าจะฆ่าข้าตรงนี้หรือไง”