บทที่ 932 สงครามระหว่างชาติ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 932 สงครามระหว่างชาติ

นอกจากทางเจ้าหน้าที่จะไม่เอาผิดกับหลินเป่ยเฉินเรื่องการฆาตกรรมขุนนางระดับสูงแล้ว พวกเขายังตัดสินให้ไต้อวี่เต๋อกลายเป็น ‘ผู้มีความผิด’ ที่สาสมกับความตายอีกด้วย

และครั้งนี้ นอกจากทางราชสำนักและกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาจะออกประกาศสนับสนุนการกระทำของหลินเป่ยเฉินแล้ว

แม้แต่อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็ยังออกประกาศชื่นชมเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน

นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร?

นี่แสดงให้เห็นว่าไต้อวี่เต๋อถูกประกาศให้เป็นผู้กระทำความผิดอย่างเป็นทางการ

นี่ไม่ใช่การใส่ความ นี่ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี

“หรือว่าก่อนหน้านี้ พวกเราจะเข้าใจหลินเป่ยเฉินผิดไปจริง ๆ?”

“ข้าบอกแล้วไงล่ะ วีรบุรุษแห่งแผ่นดินไม่มีทางทำเรื่องชั่วร้ายหรอก”

“พวกเจ้ายังไม่ชินอีกหรือ? ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าคุณชายหลินไม่ใช่บุคคลชั่วร้าย ถึงเขาจะมีภาพลักษณ์ไม่ดีงามสักเท่าไหร่ แต่การทรยศประเทศชาติ เขาย่อมไม่ทำเด็ดขาด”

ชาวเมืองต่างก็เริ่มกลับมาอยู่ฝ่ายเดียวกับหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

โดยเฉพาะหลังจากที่มีการเปิดเผยว่า ‘การสังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์’ ทั้ง 66 คนในจัตุรัสหน้ากรมมือปราบ แท้ที่จริงแล้วผู้เสียชีวิตทั้ง 66 คนนั้นเป็นสายลับจากจักรวรรดิจี้กวงที่ถูกส่งตัวมาปั่นป่วนสถานการณ์ เมื่อความจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา ความโกรธแค้นในจิตใจของชาวเมืองที่มีต่อหลินเป่ยเฉินก็สูญสลายหายไปสิ้น

“พวกเราติดค้างคำขอโทษคุณชายหลินเป่ยเฉิน”

กลุ่มศิษย์สำนักศึกษาพยายามรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างสุดความสามารถ

มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมมากมาย

ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคณะอาจารย์และศิษย์สำนักศึกษาทั่วนครหลวง

แน่นอนว่าแกนนำผู้ชุมนุมย่อมต้องเป็นเยวียนเหวินจวิ้น หลี่ซิวเยวียน กานเซียวซวงและคนอื่น ๆ

พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินหลายครั้งหลายครา และครั้งนี้ ทุกคนก็รู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินกำลังเตรียมตัวขึ้นสู่การประลองเดิมพันชีวิต ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งคิดหาวิธีที่จะทำให้หลินเป่ยเฉินได้รับกำลังใจก่อนการต่อสู้มากที่สุด

บัดนี้ ผู้คนทั้งนครหลวงต่างสนับสนุนหลินเป่ยเฉิน

การประลองเดิมพันชีวิตที่กำลังจะมาถึงไม่ต่างไปจากพายุใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นมาช้านาน และทั้งสองฝ่ายต่างก็รอวันที่จะได้ระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุด วันที่เป็นกำหนดการประลองก็มาถึง

รุ่งเช้า เส้นขอบฟ้ามีเมฆดำเล็กน้อย

แต่ทันทีที่ดวงตะวันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เมฆดำเหล่านั้นก็จางหายไป

พื้นโลกปกคลุมด้วยแสงแดดอบอุ่น

แสงแดดอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่งในนครหลวง

ผู้คนเดินอาบแดดอยู่ตามท้องถนน ความอบอุ่นที่พวกเขากำลังได้สัมผัส คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าฤดูหนาวกำลังจะผ่านพ้นไป และฤดูใบไม้ผลิก็กำลังจะใกล้เข้ามา ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความหวังอย่างแปลกประหลาด

สำหรับสังเวียนประลองเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่ได้ขยายที่นั่งบนอัฒจันทร์จาก 500,000 ที่นั่งเป็น 600,000 ที่นั่ง นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งหน้าจอถ่ายทอดสดขนาดใหญ่ยักษ์ตามจัตุรัสชื่อดังในเขตเศรษฐกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวเมืองที่ไม่ได้เข้ารับชมการประลองในสังเวียน ได้มีโอกาสติดตามการต่อสู้ผ่านการถ่ายทอดสด

และจุดถ่ายทอดสดแต่ละตำแหน่งในตัวเมือง สามารถรองรับผู้คนได้ถึงสามล้านคน

นี่ยังไม่รวมการถ่ายทอดสดตามโรงเตี๊ยมชื่อดังอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้แต่นอกนครหลวง การประลองครั้งนี้ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง

ผู้คนอีกแปดมณฑลใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ต่างก็เฝ้าติดตามการประลองครั้งนี้อย่างใกล้ชิด

แม้แต่เขตชายแดนเหนือ กองทัพของทั้งสองจักรวรรดิที่ปกติรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา วันนี้ พวกเขาก็ถึงกับหยุดทำสงครามกันชั่วคราวเพื่อมารับชมถ่ายทอดสดการประลองครั้งสำคัญ

และสำหรับชาวจักรวรรดิจี้กวง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการหรือชาวบ้านธรรมดา ทุกคนต่างก็เกาะติดการประลองครั้งนี้ด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างจากชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ และมีการจัดตั้งการถ่ายทอดสดอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน

เมื่อเทียบกับชาวเป่ยไห่แล้ว ชาวจี้กวงมีความมั่นใจในการประลองครั้งนี้มากกว่ากันหลายเท่า

ไม่ใช่เพราะว่ามือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋มีอาวุธประจำชาติอยู่ในการครอบครอง แต่เป็นเพราะระดับพลังของนางยังสูงล้ำกว่าหลินเป่ยเฉินอยู่อีกหลายเท่า

ชาวจี้กวงหวังว่าการประลองในครั้งนี้จะทำลายความหวังของชาวเป่ยไห่ให้พินาศย่อยยับ

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่ารวดเร็ว

ดวงตะวันค่อย ๆ ลอยโด่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละนิด ทีละนิด

มีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นทั้งในสังเวียนและนอกสังเวียน

เมื่อเทียบกับการประลองระหว่างเกาเฉิงฮั่นกับอวี้ซือไป๋เมื่อครั้งก่อน ไม่ทราบเลยว่าครั้งนี้มีผู้คนมากกว่ากันกี่เท่าต่อกี่เท่า

“หลินเป่ยเฉิน!”

“หลินเป่ยเฉิน!”

“หลินเป่ยเฉิน!”

ชาวเมืองทั้งในและนอกสังเวียนต่างก็พร้อมใจกันตะโกนสามคำนี้ออกมา

วันนี้พวกเขาทุกคนต่างก็สนับสนุนเด็กหนุ่มผู้นี้

พวกเขากำลังรอคอยปาฏิหาริย์

เสียงร้องตะโกนไม่ต่างไปจากคลื่นสึนามิ พวกมันแผ่ขยายครอบคลุมสังเวียนเฟิงอวิ๋น ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงมีจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ตลอดทั่วทั้งนครหลวง ทุกคนพร้อมใจกันตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉิน

ผู้คนจำนวนมากถึงกับมีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า

นานเท่าไหร่แล้วที่ชาวเป่ยไห่ไม่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างสามัคคีถึงขนาดนี้?

แม้แต่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ก็ไม่เคยพบเห็นบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน

“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังระดับเซียนสองคนอีกแล้ว แต่มันคือการต่อสู้ระหว่างสองจักรวรรดิต่างหาก”

เสี่ยวเหยียนหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนปัจจุบันนั่งอยู่ในห้องรับรองและพูดออกมาด้วยความตื้นตันใจ

คำพูดของเขาได้ยินไปถึงหูของเหล่าขุนนางใหญ่หลายคนภายในห้องรับรองแห่งนั้น

แม้แต่องค์ชายอวี่แห่งจักรวรรดิจี้กวงก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน

และมันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว

ปีนี้เสี่ยวเหยียนมีอายุ 280 ปีได้ ไม่มีใครทราบเลยว่าเขาผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตนี้มามากมายขนาดไหน ไม่มีใครทราบเลยว่าชายชราต้องตัดสินใจครั้งสำคัญมากี่ครั้งกี่หน ถึงกระนั้น เสี่ยวเหยียนก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉยและทำตัวเป็นปกติตลอดมา

แต่วันนี้ ชายชราอดตึงเครียดอยู่ในใจไม่ได้

“ใต้เท้าเสี่ยวช่างกล้าหาญเหลือเกิน”

ใครคนหนึ่งชื่นชมเขาออกมา

เสี่ยวเหยียนส่ายหน้าเล็กน้อย

ความจริง เรื่องที่เขาจะสละตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้แก่เสี่ยวเย่นั้นถือเป็นเรื่องที่ธรรมดานัก เมื่อเทียบกับเรื่องที่องค์จักรพรรดิแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นอ๋องผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างเป็นทางการ

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ไม่มีเค้าลางว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อน

เหตุไฉนองค์จักรพรรดิจึงตัดสินพระทัยเช่นนี้?

องค์จักรพรรดิทรงมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินจะชนะจริง ๆ หรือ?

นี่เปรียบดั่งสงครามระหว่างชาติ เป็นการต่อสู้ระหว่างสองจักรวรรดิ หากหลินเป่ยเฉินพ่ายแพ้ จักรวรรดิเป่ยไห่ก็คงต้องถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง

และจากข้อมูลการเตรียมความพร้อมก่อนการประลอง ไม่ว่ามองจากมุมใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานพลัง อาวุธที่อยู่ในการครอบครอง ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงคู่กาย อวี้ซือไป๋ล้วนมีโอกาสชนะมากกว่าทั้งสิ้น

เสี่ยวเหยียนจ้องมองไปยังใจกลางสังเวียนประลองเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง

ในเวลานี้ ผู้ใช้ค่ายอาคมของทั้งสองจักรวรรดิกำลังตรวจสอบความพร้อมรอบ ๆ เวทีประลอง เพื่อให้แน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างไม่คิดเล่นสกปรก รวมถึงยังตรวจสอบให้แน่ใจว่าสังเวียนประลองแห่งนี้สามารถรองรับการต่อสู้ของผู้มีพลังระดับเซียนโดยที่กลุ่มคนดูจะไม่ได้รับลูกหลงระหว่างการประลอง

ยังเหลือเวลาก่อนการประลองอีกหนึ่งก้านธูป

เสียงโห่ร้องเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินดังกังวานทั้งในและนอกสังเวียน บ่งบอกได้ดีถึงความตื่นเต้นของทุกคน

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่ปรากฏตัว

มีรายงานว่าเด็กหนุ่มถูกเรียกตัวเข้าไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่

ขุนนางใหญ่หลายคนคาดเดากันว่าองค์จักรพรรดิคงเรียกเขาเข้าไปเพื่อมอบอาวุธประจำชาติสำหรับนำมาต่อสู้กับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ เพื่อให้หลินเป่ยเฉินได้มีโอกาสชนะในการประลองครั้งนี้มากขึ้น

อาวุธประจำชาติของจักรวรรดิเป่ยไห่มีอยู่ด้วยกันสามชิ้น คือกระบี่สายลมน้ำแข็ง กระบี่วิญญาณมรกต และกระบี่เนตรลุ่มหลง ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะได้รับกระบี่เล่มใด?

เสี่ยวเหยียนได้แต่คิดด้วยความเป็นกังวล

ทันใดนั้น ในห้องรับรองพลันเกิดเสียงอุทานดังขึ้น

เสี่ยวเหยียนหันหน้ามองไปยังประตูทางเข้าโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

คนกลุ่มนั้นมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?