ตอนที่ 933 ความดีใจท่วมท้น
ผู้ที่เดินเข้ามาคือคณะทูตสามคนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง
คนแรกคือเทพสงครามเซียนมนุษย์ จีหวูชวง ยอดฝีมือระดับเซียนจากจักรวรรดิเจิ้งหลง เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี ร่างกายกำยำล่ำสัน ท่าทางองอาจผ่าเผย ดวงตาพยัคฆ์ของเขานั้นไม่ได้แสดงออกถึงความดุร้าย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี
ส่วนอีกสองคนก็มีสถานะไม่ต่ำต้อยไปกว่ากัน
หนึ่งนั้นคือง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซินแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน สองคือเซียนทะเลทรายชาซานถงแห่งจักรวรรดิหลิวชา
ทั้งสามต่างก็มีพลังอยู่ในระดับเซียน
ในกลุ่มคนทั้งสามนี้ จักรวรรดิหลิวชามีสถานะแทบไม่ต่างไปจากจักรวรรดิเป่ยไห่และจักรวรรดิจี้กวง เนื่องจากเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ใจกลางแผ่นดินตงเต้า จึงได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางโดยไม่มีข้อแม้
แต่อีกสองจักรวรรดิที่เหลืออย่างจักรวรรดิเจิ้งหลงและจักรวรรดิต้าเกี๋ยนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่เขตแดน จำนวนประชากร อำนาจทางการทหาร ล้วนแต่มีความแข็งแกร่งมากกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่และด้วยความที่มีอำนาจล้นเหลือเช่นนี้เอง จึงยังไม่เคยมีผู้ใดกล้ามีเรื่องกับสองจักรวรรดินี้มาก่อน
นอกจากผู้มีพลังระดับเซียนทั้งสามคนนี้จะมีตำแหน่งเป็นคณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางแล้ว พวกเขายังเป็นผู้ตรวจสอบกลุ่มแรกสำหรับการจัดลำดับจักรวรรดิครั้งใหม่อีกด้วย เพราะฉะนั้น สถานะของชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้จึงสูงส่งเหนือกว่าผู้มีพลังระดับเซียนทั่วไปอีกหนึ่งขั้น
แม้แต่องค์จักรพรรดิของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ยังต้องเกรงใจพวกเขา
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หลังจากที่คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางเดินทางมาถึงนครหลวง พวกเขาก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนเลย
โดยเฉพาะคณะทูตกลุ่มนี้ ทั้งสามคนได้รับความสนใจจากกลุ่มขุนนางใหญ่และตระกูลมหาเศรษฐีของจักรวรรดิเป่ยไห่จำนวนมาก มีการติดต่อทั้งในที่ลับและที่แจ้งด้วยเจตจำนงอันหลากหลาย
“ไม่ทราบว่าท่านทูตทั้งสามก็สนใจการประลองในวันนี้ด้วย?”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงลุกขึ้นต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อยู่เฉย ๆ พวกข้าค่อนข้างเบื่อ ก็เลยออกมาหาอะไรดูสักหน่อย”
จีหวูชวงพยักหน้าตอบรับการทักทายของจั่วเซียงพอเป็นพิธี แต่แล้วกลับเดินผ่านหน้าโต๊ะของชายชราไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวของโต๊ะใหญ่ใจกลางห้องรับรองหน้าตาเฉย
มันเป็นโต๊ะที่มีไว้เพื่อบุคคลพิเศษเท่านั้น
เซียนทะเลทรายหลิวซยงและง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซินไม่สนใจการทักทายของผู้ใดทั้งสิ้น ทั้งสองคนต่างก็เดินตรงไปนั่งขนาบข้างจีหวูชวงอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่
ทั้งสามคนนั่งอย่างโดดเด่นเป็นสง่ากลางห้องรับรอง
นี่คือการประกาศโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องรับรองแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดจะมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะนั่งร่วมวงกับพวกเขาได้
และพวกเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะข้องเกี่ยวกับผู้ใดเช่นกัน บรรยากาศของโต๊ะคณะทูตจึงคล้ายกับมีกำแพงบาง ๆ กางขึ้นมากั้นรอบบริเวณ
ขุนนางใหญ่หลายท่านเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ก็ถึงกับลุกขึ้นจากโต๊ะเดินออกไปจากห้องรับรองเลยทีเดียว
ห้องรับรองที่เมื่อสักครู่นี้ยังมีบรรยากาศสดชื่นแจ่มใสพลันเงียบสงบลงในพริบตา
บรรยากาศเริ่มกดดันเล็กน้อย
จั่วเซียงยิ้มมุมปาก ไม่ได้ให้ความสนใจกับการที่อีกฝ่ายทำเป็นเมินเฉยใส่ตนเอง เขาโบกมือวูบ แล้วของทานเล่นนานาชนิด อาทิ ผลไม้อบแห้ง เนื้อแห้ง เม็ดแตงโม ขนมหวาน น้ำชา และของว่างชนิดต่าง ๆ ก็มาปรากฏขึ้นบนโต๊ะของเขา
จั่วเซียง เสี่ยวเหยียนและคนอื่น ๆ ยังคงนั่งร่วมโต๊ะกันต่อไป
บรรยากาศในห้องรับรองยังคงเงียบสงบ
“หืม? นั่นท่านประมุขเจิ้งกับท่านประมุขหลิวไม่ใช่หรือ? มา ๆๆ มานั่งคุยกันก่อน”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ตอนแรกยังมีสีหน้าเบื่อหน่าย แต่คล้ายเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงต้องรีบทักทายบุคคลสองท่านซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารนอกห้องรับรองเสียงดังชัดเจน
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่โต๊ะอาหารตัวนั้นทันที
ผู้ที่ถูกเรียกเป็นชายชราวัย 60 ปี เดิมทีนั่งพูดคุยกันเงียบ ๆ แต่เมื่อได้รับการทักทาย สีหน้าก็ปรากฏความปลาบปลื้มถึงขีดสุด ชายชราทั้งสองคนรีบลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาชายฉกรรจ์ทั้งสามด้วยความกระตือรือร้น
ผู้คนที่อยู่ในห้องรับรองย่อมรู้ว่าชายชราทั้งสองคนนี้เป็นใคร
ชายชราคนแรกมีนามว่าเจิ้งเฉียน เป็นหัวหน้าตระกูลเจิ้ง ซึ่งถือเป็นตระกูลใหญ่อันดับแปดในกลุ่มสิบตระกูลใหญ่ประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ ส่วนอีกท่านนั้นก็คือหลิวซยง หัวหน้าตระกูลหลิว ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับเก้าของจักรวรรดิ
ไม่ทราบเลยว่าผู้อาวุโสทั้งสองท่านไปสนิทสนมกับคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทุกคนแสดงอาการตกใจเล็กน้อย
“ขอเชิญผู้อาวุโสนั่งรับชมการประลองพร้อมกับพวกเราเถิด”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จีหวูชวงชอบความรู้สึกในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง
คำพูดที่ธรรมดา กิริยาท่าทางที่เรียบเฉย แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้รับฟังเบิกตาโตด้วยความดีใจสุดชีวิต และยินดีรับใช้เขาโดยไม่ปริปากบ่นแล้ว
เด็กรับใช้ในห้องรับรองรีบนำเก้าอี้มาตั้งให้ชายชราทั้งสองท่านอย่างไม่รอรี
เจิ้งเฉียนและหลิวซยงสองผู้อาวุโสนั่งลงตามคำเชิญด้วยความระมัดระวังยิ่งยวด ราวกับว่าเก้าอี้ที่พวกเขานั่งนั้นทำมาจากน้ำแข็งเปราะบางก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้น หัวใจของสองชายชราก็ยังพองโตอย่างมีความสุข
การที่คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางกระทำต่อพวกเขาแตกต่างจากผู้อื่นในห้องรับรองแห่งนี้ คือสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมสถานะของสองตระกูลใหญ่ในภายหลังได้มากทีเดียว
หลังผ่านวันเวลาแห่งการถูกกดขี่โดยตระกูลใหญ่อื่น ๆ มาอย่างยาวนาน ในที่สุด วันนี้ตระกูลเจิ้งกับตระกูลหลิวก็จะได้ลืมตาอ้าปากแล้วกระมัง?
ยิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาอิจฉาริษยาของกลุ่มผู้คนในห้องรับรองมากเท่าไหร่ ชายชราทั้งสองท่านก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจมากเท่านั้น แต่พวกเขาก็พยายามรักษาสีหน้าให้สงบเรียบเฉย ไม่แสดงอาการปลาบปลื้มออกมามากเกินไป
“การประลองกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ไม่ทราบว่าคุณชายจีมีดวงตาแหลมคมถึงเพียงนี้ ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะหรือขอรับ?”
เจิ้งเฉียนเริ่มชวนสนทนาด้วยความระมัดระวัง
จีหวูชวงยิ้มมุมปาก ตอบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “อวี้ซือไป๋ย่อมเป็นผู้ชนะ หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสเป็นผู้ชนะ และเขาจะต้องตายในวันนี้”
บังเกิดเสียงอุทานออกมาทั่วห้องรับรอง
แน่นอนว่าย่อมเป็นเสียงอุทานจากกลุ่มคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิเป่ยไห่
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นพูดประโยคนี้ออกมา คงได้มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นแล้ว แต่นี่คนพูดมีนามว่าจีหวูชวง ใครบ้างจะกล้าไปมีเรื่องกับเขา?
เจิ้งเฉียนรับฟังดังนั้นก็แอบยิ้มด้วยความลิงโลดใจ
หากจะมีใครสักคนในจักรวรรดิเป่ยไห่ต้องการให้หลินเป่ยเฉินตกตายคาเวทีประลองในวันนี้ บุคคลนั้นก็ต้องเป็นเจิ้งเฉียนอย่างแน่นอน
นั่นเป็นเพราะว่าบุตรชายของเขาอย่างเจิ้งหลงเซียงซึ่งเดินทางไปพร้อมกับคณะผู้ตรวจการเพื่อทำภารกิจในมณฑลเฟิงอวี่ ถูกเด็กหนุ่มจอมโฉดชั่วผู้นี้ใส่ร้ายป้ายสีให้เป็นคนทรยศขายชาติ และนั่นก็ส่งผลให้ภาพลักษณ์สกุลเจิ้งในนครหลวงตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เจิ้งเฉียนอยากแก้แค้นให้แก่บุตรชายของเขามานานแล้ว
แต่หลังจากชั่งใจดูอยู่หลายรอบ ชายชราก็พบว่าตนเองแม้มีสถานะเป็นถึงหนึ่งในหัวหน้าตระกูลใหญ่ของจักรวรรดิ มีผู้คนอยู่ในการบังคับบัญชามากมาย แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะพิเศษมากกว่าตนเอง
ดังนั้น เจิ้งเฉียนจึงได้แต่สงบจิตสงบใจ ข่มกลั้นความโกรธแค้น จำใจปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอยนวลต่อไปด้วยความเจ็บปวด
ครั้งนี้ เขาได้แต่หวังว่าหลินเป่ยเฉินจะตายจริง ๆ
แม้เจิ้งเฉียนจะไม่ได้ฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยมือของตนเอง แต่การเห็นอีกฝ่ายต้องตายโดยไร้แผ่นดินกลบฝัง ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงสู่นรก ก็ถือเป็นการแก้แค้นให้แก่บุตรชายของเขาอย่างดีที่สุดแล้ว
“ข้าไม่เห็นด้วย”
ทันใดนั้น มีใครคนหนึ่งคำรามขึ้นมาเสียงดัง “หลินเป่ยเฉินสร้างชื่อเสียงโด่งดังในเมืองชายฝั่งเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน สำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เกรงว่าเมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้นจริง ๆ คงเป็นฝ่ายอวี้ซือไป๋ต่างหากที่ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย”
ใครกัน?
ใครกันที่มีจิตใจกล้าหาญถึงเพียงนี้?
ทุกคนหันหน้ามองหาที่มาของเสียงนั้น
และพวกเขาก็ได้พบว่าผู้ที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมาด้วยความมั่นใจเป็นนักหนา ก็คือชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนนั่นเอง
เสี่ยวเย่
ตระกูลเสี่ยวประกาศให้ชายหนุ่มคนนี้ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
หรือว่าเสี่ยวเย่กำลังเมามาย?
หรือว่าเขากำลังหลงลำพองในความยิ่งใหญ่ของตนเอง?
เสี่ยวเย่คิดว่าตนเองกำลังจะได้เป็นประมุขตระกูลเสี่ยวคนต่อไป จึงกล้าพูดจาหักหน้าสมาชิกคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางแล้วกระมัง?
เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วห้องรับรอง
จีหวูชวงหันหน้าไปชำเลืองมองชายหนุ่มและถามว่า “คนผู้นี้เป็นใคร?”
เจิ้งเฉียนจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร เขารีบเติมเชื้อฟืนใส่กองไฟในทันที “นี่คือว่าที่หัวหน้าตระกูลเสี่ยว ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับสามของจักรวรรดิเป่ยไห่ขอรับ หึหึ แต่เขาก็มีอีกสถานะหนึ่งเป็นพี่ชายร่วมสาบานของหลินเป่ยเฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสองแน่นแฟ้นมาก และว่ากันว่าที่บุรุษหนุ่มคนนี้ได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปนั้น ก็เพราะอาศัยความสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินเช่นนี้เอง ฮ่า ๆๆ…”