บทที่ 934 กระบี่ยาวสองเล่ม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 934 กระบี่ยาวสองเล่ม

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นพี่ชายร่วมสาบานของหลินเป่ยเฉินนี่เอง?”

เทพสังหารเซียนมนุษย์จีหวูชวงจ้องมองไปที่เสี่ยวเย่ด้วยดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

เสี่ยวเย่รับรู้ได้ถึงพลังกดดันจากสายตาคู่นั้น

ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ

บุรุษหนุ่มรู้สึกไม่ต่างจากมีภูเขาลูกใหญ่โถมทับลงมาบนศีรษะ ส่งผลให้ร่างกายของเขากำลังจะแตกสลายลงทีละเล็กทีละน้อย

เสี่ยวเย่กัดฟันกรอดและจ้องมองตอบกลับไป

“ฮ่าฮ่า ประเสริฐ นับว่ามีความทะเยอทะยานที่ดี”

จีหวูชวงแสยะยิ้มก่อนหัวเราะเล็กน้อย “นี่คือความมุ่งมั่นที่คนหนุ่มคนสาวพึงมี หากบุคคลเช่นนี้ได้มีวาสนาอยู่รอดต่อไป ก็มีโอกาสที่จะได้ขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนเช่นกัน”

นี่คือถ้อยคำชมเชย

ทุกคนในห้องรับรองล้วนตกตะลึง

แม้แต่เจิ้งเฉียนก็ยังงุนงงสงสัย

เหตุไฉนจีหวูชวงถึงได้กล่าวชมเชยเสี่ยวเย่?

แทบทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เทพสังหารเซียนมนุษย์จีหวูชวงอยู่ดี ๆ ถึงได้ถอนสายตาไปจากเสี่ยวเย่และไม่ได้ปลดปล่อยพลังกดดันคุกคามอีกแล้ว

เสี่ยวเย่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ผู้ที่มีพลังขั้นเซียนนั้นน่ากลัวจริง ๆ

ทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองพลอยโล่งอกตามไปด้วย

โดยเฉพาะสมาชิกตระกูลเสี่ยว เมื่อสักครู่นี้ หัวใจของพวกเขาเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัวว่าผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะระเบิดโทสะออกมา และหากเป็นเช่นนั้น ก็คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งหรือกล้าที่จะหยุดยั้งเขาได้อีก

จั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนหันมองหน้ากันด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว

เมื่อสักครู่ เทพสังหารเซียนมนุษย์จีหวูชวงคล้ายกับกล่าววาจาชื่นชมเสี่ยวเย่ แต่ในความเป็นจริงนั้น สองผู้อาวุโสอย่างจั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนย่อมรับรู้ได้ถึงนัยยะซ่อนเร้นที่อีกฝ่ายเจตนาสื่อสาร

เกรงว่าหลังจากนี้เสี่ยวเย่คงตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว

บัดนี้ บนอัฒจันทร์ทั้งสี่ด้านซึ่งเคยกึกก้องด้วยเสียงตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉิน พลันกลับกลายเป็นเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจสุดขีด

ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

นกอินทรีขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีปีกสีเขียวมรกตร่อนลงมายืนอยู่ใจกลางเวทีประลอง เมื่อเท้าของมันสัมผัสพื้นเวที มวลอากาศก็ปั่นป่วนเป็นระลอกคลื่นราวกับเกลียวคลื่นทะเลที่ซัดใส่ชายฝั่งและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

หญิงสาวร่างผอมสูงนางหนึ่งยืนอยู่บนแผ่นหลังของนกอินทรียักษ์ตัวนี้

นางมีใบหน้าเรียวยาว ดวงตาเป็นประกายสดใส ผิวคล้ำ สวมใส่ชุดเกราะสีขาวราวหิมะ สะท้อนประกายกับแสงแดดระยิบระยับ

หมวกเหล็กสีหิมะที่ได้รับการแกะสลักลวดลายอย่างสวยงามถูกประคองอยู่ในอ้อมแขนซ้ายของนาง รูปร่างของสตรีนางนี้เพรียวบาง แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความมั่นใจในตนเอง

เมื่อหญิงสาวปรากฏตัว แม้แต่พวกของจีหวูชวงทั้งสามก็ยังต้องมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จักรวรรดิเล็ก ๆ เช่นจี้กวง มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

“กร๊าซซซ!”

ทันใดนั้น เจ้านกอินทรียักษ์แผดเสียงคำราม

คลื่นเสียงที่ส่งออกจากปากมันทำให้มวลอากาศปั่นป่วนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เสียงกรีดร้องของมันสามารถกลบเสียงของผู้คน 600,000 ชีวิตบนอัฒจันทร์ได้หมดสิ้น

เมื่อเสียงคำรามของนกอินทรีจางหายไป ความเงียบก็ปกคลุมบรรยากาศราวกับสุสานคนตาย

ทุกคนยกมือปิดหู ใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกตะลึง

อวี้ซือไป๋พลันกระโดดลงมาจากแผ่นหลังของอินทรีอสูรปีกมรกต

เจ้านกอินทรียักษ์ขยับปีกเล็กน้อย ก่อนที่มันจะพับปีกและย่อขนาดตัวของตนเองลงมา จนสามารถยืนอยู่เคียงข้างเจ้านายของมันได้ด้วยอัตราส่วนสูงเท่ากับช่วงไหล่ของนาง

หลังมันย่อตัวลงมา ภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามก็หายไป แต่มวลพลังคุกคามที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเจ้านกอินทรีกลับเพิ่มขึ้นทวีคูณ ปีกสีเขียวมรกตของมันสะท้อนกับแสงตะวันวิบวาว จะงอยปากของมันก็คมกริบราวกับทำมาจากทองคำ กรงเล็บนั้นอีกเล่า ช่างดูมีความแหลมคมที่แม้แต่เทพเจ้าก็อยากหลีกเลี่ยง

ในการประลองเดิมพันชีวิต มีกฎระบุเอาไว้ว่าต้องนำสัตว์อสูรมาเข้าร่วมการต่อสู้

ถึงอวี้ซือไป๋จะมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินคงไม่สามารถทำอะไรตนเองได้แน่ แต่นางก็ยังนำสัตว์เลี้ยงคู่ใจมาเพื่อให้ครบถ้วนตามกฎระเบียบ

ยังเหลือเวลาอีกชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วยกว่าที่การประลองจะเริ่มขึ้น

อวี้ซือไป๋ยืนหลับตาอยู่กลางเวทีประลองด้วยความโดดเด่นเป็นสง่า

สำหรับนางแล้ว ชาวเป่ยไห่กว่า 600,000 คนบนอัฒจันทร์รอบสังเวียน คล้ายกับไม่มีตัวตนแม้แต่น้อย

นครหลวง วังหลวง

ตำหนักจั่วเจิ้ง

กระบี่ยาวสองเล่มที่มีสีสันแตกต่างกันกำลังลอยอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน

กระบี่เล่มแรกด้ามจับเป็นสีน้ำเงิน ใบกระบี่เรียวบาง มีความยาวประมาณหกเซี๊ยะเศษ เวลาตวัดกวัดแกว่งในอากาศ จะสามารถมองเห็นได้ถึงเกล็ดน้ำแข็งที่หมุนวนคล้ายกับถูกกังหันลมพัดเป่า

นี่คือกระบี่สายลมน้ำแข็ง!

หนึ่งในสามอาวุธประจำชาติของจักรวรรดิเป่ยไห่

ส่วนกระบี่อีกเล่มใบกระบี่เป็นสีเขียวเข้ม มีความยาวกระบี่สี่เซี๊ยะ ความกว้างแปดหุน ถือเป็นต้นแบบของกระบี่ใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่โดยทั่วไปแล้ว มือกระบี่มักไม่นิยมกระบี่ใหญ่ชนิดนี้ ผู้ที่ใช้งานพวกมันจะมีแต่นายทหารระดับสูงในกองทัพ ซึ่งนิยมชมชอบการฆ่าฟันแบบดุเดือดเลือดสาดเท่านั้น

กระบี่เล่มนี้ตั้งแต่ปลายกระบี่จนถึงโคนกระบี่มีสีเขียวสดส่องแสงสว่างแวววาว ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเบ่งบานอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ช่วยให้ผู้ถือรู้สึกมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือกระบี่วิญญาณมรกต!

นับเป็นอีกหนึ่งอาวุธประจำชาติของจักรวรรดิเป่ยไห่เช่นกัน

ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่เสื้อคลุมลายมังกรสีทองคำยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในจำนวนอาวุธประจำชาติทั้งสามชิ้นนั้น ยังมีกระบี่เนตรลุ่มหลงอยู่อีกหนึ่งเล่ม เสียดายที่บัดนี้มันถูกใช้งานอยู่ในกองทัพชายแดนเหนือ ไม่สามารถนำกลับมาได้ชั่วคราว เจ้าเลือกเอาหนึ่งในสองเล่มนี้ก็แล้วกัน…”

“พระองค์ท่านจะให้กระหม่อมเลยใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

หลินเป่ยเฉินรีบหันกลับมาถามด้วยความกระตือรือร้น

ชายวัยกลางคนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “หากวันนี้เจ้าสามารถคว้าชัยบนสังเวียนเฟิงอวี่ให้แก่จักรวรรดิของเราได้ เหตุไฉนมันถึงจะไม่เป็นของเจ้า?”

ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่

หืม?

ให้จริง ๆ ด้วยแฮะ

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตอย่างคิดไม่ถึง

นับว่าองค์จักรพรรดิช่างมีจิตใจกว้างขวางนัก

วันนี้เด็กหนุ่มถูกเรียกตัวเข้ามาในวังหลวง หลังพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย องค์จักรพรรดิผู้คุมชะตาจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ยามพระองค์ท่านพูดคุยไม่ต่างจากเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวคุยกับบุตรหลาน ไม่มีการวางอำนาจบาตรใหญ่ของการเป็นองค์จักรพรรดิอย่างใดทั้งสิ้น

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอบคุณพระองค์ท่าน”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ยื่นมือไปหยิบกระบี่วิญญาณมรกต

เขาต้องการใช้กระบี่ใหญ่

เมื่อลองถือมันอยู่ในมือ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามันช่วยเสริมสร้างให้ตนเองมีสง่าราศีมากกว่าเดิม

โดยเฉพาะสีสันของมัน…

นี่คือกระบี่ ไม่ใช่หมวกสวมศีรษะ

นอกจากใช้ประดับความสวยงามบนร่างกายแล้ว ยังสามารถใช้ฆ่าคนได้อีกด้วย

ทันใดนั้น บังเกิดพลังสายหนึ่งแผ่ออกมาจากด้ามจับกระบี่ ส่งผลให้หลินเป่ยเฉินแทบจะไม่สามารถยึดกุมด้ามจับกระบี่ได้อีกต่อไป

เขารู้ดีว่าในกระบี่มีจิตวิญญาณของตัวมันเองที่ต่อต้านการสัมผัสจากคนแปลกหน้า

แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุไม้ลงไปที่ตัวกระบี่ พลังต่อต้านที่ระเบิดออกมาก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ตัวกระบี่สงบลงอีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าบัดนี้วิญญาณกระบี่จะเชื่อฟังเขาราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง

“ฮ่า ๆๆ…”

หลินเป่ยเฉินถือกระบี่อยู่ในมือ ดีดตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้าย ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเป็นลำแสงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือเหาะออกไปจากตำหนักส่วนพระองค์ขององค์จักรพรรดิ โดยทิ้งรูโหว่รูปร่างมนุษย์บนหลังคารูหนึ่งไว้เป็นของขวัญให้ดูต่างหน้า…

“วันนี้ กระหม่อมหลินเป่ยเฉิน จะขอบดขยี้อวี้ซือไป๋บนสังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง เพื่อพระองค์ท่านพ่ะย่ะค่ะ!”

เสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินดังกังวานทั่วบริเวณ ส่งผลให้เศษฝุ่นร่วงกราวลงมาจากเพดาน

องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ริมฝีปากกระตุกระริก

เจ้าเด็กคนนี้ช่างมั่นใจในตนเองเสียเหลือเกิน ซ้ำยังมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย และจิตใจที่กล้าหาญเช่นนี้ก็ถูกใจองค์จักรพรรดิยิ่งนัก แต่เหตุไฉนถึงเดินออกไปทางประตูปกติไม่ได้ ทำไมต้องบินทะลวงออกไปทางหลังคา ทำให้ตำหนักแห่งนี้ต้องเกิดความเสียหายด้วย?

ค่าซ่อมแซมก็ไม่ใช่ถูก ๆ!

ขันทีชราจางเชียนเชียนที่ยืนอยู่มุมห้องพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินชักจะกำเริบเสิบสานมากเกินไป

ต่อให้ประพฤติตนไร้มารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิยังถือว่าหลินเป่ยเฉินไม่รู้ตัว ทว่า การสร้างความเสียหายให้แก่หลังคาของตำหนักส่วนพระองค์เช่นนี้… ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาชัด ๆ!!