เมืองแสงอุดรถูกทำลาย บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

เทพมารหลินแสดงแสนยานุภาพ กำราบกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์

การประลองสมบัติอริยะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ช่วงเวลาข้ามคืนข่าวเหล่านี้ดั่งสยายปีก ใช้ความเร็วน่าอัศจรรย์แพร่กระจายทั่วแคว้นกู่ชาง ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล

แคว้นกู่ชางวายุก่อเมฆาซัด ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแตกตื่น รู้สึกตื่นตระหนก

เล่าลือว่ายามเจ้าสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทราบข่าวพวกนี้ เขาที่กำลังถ่ายทอดวิชามรรคก็เขวี้ยงถ้วยชาในมือแตกตรงนั้น กล่าวสี่คำด้วยสีหน้าคล้ำเขียว…

เด็กนี่ต้องตาย!

ไม่นานมีอีกข่าวแพร่ออกมา ทั้งบนล่างของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างเดือดดาล มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันหลายคนออกจากการปิดด่าน ออกจากสำนักอย่างเงียบเชียบ

ยิ่งมีคนเห็นฉู่เป่ยไห่ซึ่งอยู่ในงานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต ปรากฏตัวหน้าซากปรักหักพังเมืองแสงอุดรในค่ำวันนั้น

คนผู้นี้คือผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั่วร่างถูกวงแสงปกคลุม ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนเป็นที่จับตามอง

แต่บัดนี้เพื่อจัดการเทพมารหลิน เขาถึงขั้นมาเยือนเมืองแสงอุดรด้วยตัวเอง แน่นอนว่าต้องทำให้ผู้คนตื่นตระหนก

ไม่นานก็มีคนแพร่ข่าวอีก เทพมารหลินมุ่งหน้าสู่เมืองวายุทราย หมายใช้ศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่วนหนึ่งที่เขาจับได้ แลกเปลี่ยนโอกาสหนีจากแคว้นกู่ชาง

ทันใดนั้นในเขตแคว้นกู่ชางคลื่นลมโกลาหล ทั่วทิศต่างเคลื่อนไหว

เสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วนดังขึ้นตามที่ต่างๆ ล้วนกำลังสนทนาเรื่อง ‘เทพมารหลิน’

“เมื่อทุกคนต่างไม่เห็นหัวเทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิมนี่ เขาก็แสดงอำนาจให้ทุกคนเห็น ช่างร้ายกาจนัก”

“ไม่ต้องสงสัยเลย เทพมารหลินคือบุคคลแห่งยุคที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา ตัวคนเดียวถูกตามล่าตั้งหลายวันยังทำการตอบโต้ สังหารจนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พ่ายไม่เป็นกระบวน ความองอาจนี้สามารถรับสมญา ‘เทพมาร’ ได้แล้ว!”

ไม่ช้าทุกการกระทำในแดนฐิติประจิมของหลินสวินล้วนถูกสายสืบเผ่าวาทวาโยปล่อยข่าวทันที นำมาซึ่งความสั่นสะเทือนมากมายอีกครั้ง ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม รู้สึกยากจะเชื่อ

“ไร้ที่พึ่งพิง โดดเดี่ยวตัวคนเดียว สามารถก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิมได้ เด็กนี่… น่ากลัวจริงๆ!”

“เขาครองเจดีย์สมบัติที่เป็นสมบัติอริยะ เคยรับมือตำหนักอมตะสมบัติพิทักษ์สำนักแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ และเคยต้านการสังหารของทวนทองผลาญตะวัน สมบัติอริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วย”

“แต่สมบัติอริยะเช่นนี้ก็ทำให้แต่ละสำนักโบราณตาร้อนผ่าว คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว แม้ไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ลงมือ อนาคตก็ต้องถูกขุมอำนาจอื่นเพ่งเล็ง”

“ก็ไม่รู้ว่าภายใต้โทสะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เจ้าเด็กนี่ยังจะรอดไปได้หรือไม่…”

มีบางคนเสียดาย รู้สึกว่าเทพมารหลินไม่บกพร่องอะไรเลย ขาดเพียงฐานะและที่พึ่งซึ่งสามารถสยบคนอื่นๆ เท่านั้น

หากเขาเป็นผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณสักแห่ง สถานการณ์ของเขาคงต่างไปสิ้นเชิง

“แต่ไหนแต่ไรเคยมีบุคคลเจิดจรัสที่ท่องใต้หล้าด้วยตัวคนเดียวอย่างเทพมารหลินมาแล้ว อาศัยเพียงศักยภาพของตนก็ก่อคลื่นลมได้ แต่เมื่อใดที่ผูกพยาบาทกับสำนักโบราณ แทบไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี”

“เดิมยังเฝ้ารอการผงาดง้ำของบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง แต่ดูท่าตอนนี้เทพมารหลินนี่คงไม่อาจสลัดชะตาที่จะถูกสังหารพ้น”

อะไรเรียกว่าชื่อเสียงสะเทือนฟากหนึ่ง

ก็นี่อย่างไรเล่า หลายวันนี้แม้หลินสวินถูกตามล่า แต่เขากลับใช้ผลงานการต่อสู้นองเลือดพิสูจน์ตนเอง นำมาซึ่งความโกลาหลทั่วแคว้นกู่ชาง กระทั่งทำให้ชื่อเขาแพร่สะพัดจนผู้คนรู้จักในเวลาอันสั้น

แต่มีคุณย่อมมีโทษ เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของหลินสวิน กลับยังมีผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่เห็นงามกับเขา

ว่ากันตามตรงมีเพียงเหตุผลเดียว หลินสวินแม้แข็งแกร่งแต่สุดท้ายยังไม่เติบใหญ่จริงๆ บางทีอาจมากความสามารถในหมู่คนรุ่นเยาว์ แต่สำหรับสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลับไม่มีภัยคุกคามอันใด

ซ้ำเขายังหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ที่พึ่ง ทั้งมีสมบัติอริยะติดตัว ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนดึงดูดเคราะห์สังหารมากมายเข้าหา

เหมือนกับคราวนี้ การเคลื่อนไหวที่เขาก่อแม้ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เดือดดาล จะสามารถรอดจากแคว้นกู่ชางหรือไม่ยังเป็นปัญหา!

และก่อนข่าวเหล่านี้จะแพร่สะพัด หลินสวินก็มาถึงเมืองวายุทรายนานแล้ว

หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณยังเหมือนตอนหลินสวินมาครั้งแรก มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังรอบด้าน

ทั้งยังเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

“สวรรค์! เจ้าหมอนี่กลับมาอีกแล้ว…” หยางเฉิงปอเจ้าเมืองวายุทรายถลึงตากว้าง ท่าทางราวเห็นผี

เขาเคยถูกหลินสวินคว่ำในคราเดียว มีหรือจะไม่รู้ความน่ากลัวของเจ้าหนุ่มนี่ กระทั่งเพราะความพ่ายแพ้ย่อยยับคราวนั้นยังทิ้งเงามืดที่ไม่อาจขจัดในใจเขา!

ผู้ฝึกปราณอื่นเองก็หวาดผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

เวลานี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องหลินสวินแสดงแสนยานุภาพที่เมืองแสงอุดร ไม่เช่นนั้นคงตื่นตระหนกยิ่งกว่า

“พวกเจ้าไปเถอะ ที่นี่จะไม่ปลอดภัย” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง ขับไล่ผู้ฝึกปราณพวกนี้โดยตรง

ซ่า…

คำพูดเรียบง่ายประโยคเดียวกลับทำพวกหยางเฉิงปอแตกฮือราวไฟลนก้น หนีไปคนละทิศละทาง

นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งงัน กล่าวกับตัวเอง ‘ข้าน่ากลัวเช่นนี้เชียวรึ’

ผ่านไปหนึ่งเค่อ

หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกหลินสวินวางกระบวนผนึก ‘จตุลักษณ์ราชัน’ เขานั่งสมาธิอยู่ภายในเริ่มสงบใจรอ

แม้แน่ใจว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องยอมรับเงื่อนไขของตนเพื่อไถ่ตัวพวกเสวี่ยเชียนเหินคืน แต่หลินสวินกลับไม่กล้าประมาท

สำนักโบราณแห่งหนึ่งสามารถคงอยู่ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดจวบจนปัจจุบัน เบื้องลึกเบื้องหลังต้องน่ากลัวเหนือจินตนาการแน่

ล่วงเกินพวกเขาคราวนี้ ยากรับรองว่าพวกเขาจะไม่ใช้วิธีพิเศษบางอย่างมาจัดการตน

เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย

รัตติกาลมาเยือน เมืองวายุทรายดูวังเวงหาใดเปรียบ บนท้องถนนซึ่งรุ่งเรืองในอดีตไม่มีคนสัญจรนานแล้ว

บรรยากาศเงียบสงัดมีกลิ่นอายชวนกดดัน

กลางค่ายกลใหญ่ หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิพลันคิ้วขมวด รับรู้ถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง

อีกฝ่ายอาจไม่เคลื่อนกำลังอื่นๆ ต่อหน้า แต่ยากรับรองว่าจะไม่แอบวางอุบายส่วนหนึ่งมาซุ่มโจมตีตน!

‘ภายนอกอริยะไม่อาจไม่สนหน้าตามาจัดการตน แต่หากลอบลงมือใครเล่าจะรู้’

นึกถึงตรงนี้หลินสวินผงะในใจไปวูบหนึ่ง รู้ว่าตนขาดการไตร่ตรองอยู่บ้าง

ในมือเขามีสมบัติอริยะ สามารถทำให้อริยะต่างน้ำลายหก!

‘ได้แค่เปลี่ยนกลยุทธ์…’

เนื่องด้วยความระวังตัว หลินสวินตัดสินใจทันควัน ไม่อาจรออีกต่อไป

วู้ม!

เขาเรียกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตออกมา ในเวลาเดียวกันก็โคจรกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันไปด้วย

เวลาต่อมาก็เห็นคลื่นผนึกต้องห้ามชวนประหวั่นทะลวงเมฆใกล้ๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ กลายเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ล้นฟ้า สาดส่องเวิ้งนภายามค่ำให้ตระการตาสง่างามยิ่งยวด

แต่ไม่นานปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างก็หายไป

ขณะเดียวกันหลินสวินทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง อาภรณ์ขาดวิ่น สีหน้าซีดเผือด หว่างคิ้วเผยความอ่อนเพลียไม่อาจปกปิด

ทว่ายามสายตาเขามองไปยังขวดมหามรรคไร้ขอบเขตในมือ กลับเจือความผ่อนคลายวูบหนึ่ง

‘ใช้พลังของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันครั้งหนึ่งต้องสิ้นเปลืองแกนวิญญาณขั้นสูงสามหมื่นก้อน แต่ตอนนี้พลังค่ายกลนี่ถูกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตดูดไว้แล้ว…’

‘หากนำมาต่อกรศัตรู หลังผ่านการเสริมกำลังของขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ก็สามารถสำแดงพลังกระบวนผนึกได้ถึงสองเท่า!’

นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกายดั่งดวงดาว

นี่ก็คือหนึ่งในไพ่ตายที่ทำให้เขาไม่หวั่นเกรงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันเดิมทีก็น่ากลัวยิ่ง สามารถกักขังสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชัน

แต่อานุภาพของมันทั้งหมดตอนนี้ถูกขวดมหามรรคไร้ขอบเขตดูดกลืนไปแล้ว เมื่อปลดปล่อยออกมาจากขวดอีกครั้งอานุภาพจะเพิ่มขึ้นเท่าทวี!

หากใช้โจมตีศัตรูฉับพลัน ต้องสำแดงอานุภาพทำลายล้างคาดไม่ถึงแน่

ทว่าขวดมหามรรคไร้ขอบเขตแม้อัศจรรย์ แต่ยามดูดซับพลังชวนประหวั่นเช่นนี้ก็ทำเอาหลินสวินเสียพลังไปมากจนเกือบยืนหยัดไม่อยู่

หรือกล่าวได้ว่า ปัจจุบันต่อให้หลินสวินใช้พลังทั้งหมด ก็ทำได้เพียงใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสะสมพลังที่เทียบเท่าระดับราชัน หากมากกว่านี้ก็จะประคองไม่อยู่ ตรงกันข้ามจะถูกสะท้อนกลับ

หลังเก็บขวดมหามรรคไร้ขอบเขตอย่างระวัง หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ค่อยวางกระบวนผนึกมายาอีกชั้นใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ

กระบวนผนึกนี้แม้ไม่อาจเทียบกระบวนผนึกมรรคราชัน แต่หากใช้ปกปิดร่องรอย แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ล้วนมองจริงเท็จไม่ออก

‘นอกจากวัตถุดิบวิญญาณวางค่ายกล ยังสิ้นเปลืองหนึ่งหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง…’ หลินสวินทอดถอนใจ

วางค่ายกลต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณและแกนวิญญาณ แม้ปัจจุบันเขาไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่พอนึกถึงว่าเพียงเพื่อหลบหนีต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนี้ ในใจก็อดจะเจ็บปวดไม่ได้อยู่บ้าง

ซ่า…

ไม่นานนักกระบวนผนึกมายาถูกเปิดใช้ บดบังอาณาบริเวณใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในชั่วพริบตา หมอกหนาอบอวล ไม่เพียงขวางทัศนวิสัย แม้แต่จิตรับรู้ล้วนไม่อาจสอดแนม

ราตรีมืดสงัด เป็นเวลาก่อนรุ่งสาง

ทุกสิ่งเงียบกริบ ทั้งเมืองวายุทรายประหนึ่งกลายเป็นเมืองร้าง เงียบสงัดแม้แต่เสียงหรีดหริ่งล้วนไม่มี

บรรยากาศกดดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บนเวิ้งฟ้าปรากฏเงาเมฆหนาทึบชั้นหนึ่งบดบังแสงดาวทั่วนภา

วู้ๆๆ

เสียงลมหวีดหวือดังขึ้นกลางฟ้าดินที่พร่ามัวราวผีร่ำไห้หมาป่าเห่าหอน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ

ทันใดนั้นเงาร่างเจิดจรัสสายหนึ่งปรากฏตรงประตูเมือง ประกายทองเอ่อท้นตลอดร่าง สลายฉากรัตติกาลละแวกใกล้เคียง

คนผู้นี้ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก อาภรณ์ปีกปักษา อิริยาบถดุจหงส์มังกร ระหว่างเยื้องกรายท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทาน เป็นฉู่เป่ยไห่ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี่เอง

เขาสองมือไพล่หลัง ย่างก้าวบนท้องถนนมืดมิด ไม่กี่พริบตาก็มาถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณใจกลางเมืองนั่น

เมื่อเห็นกระบวนผนึกมายาที่หมอกควันอบอวลนี้เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นมุมปากยกโค้งสื่อนัยยากกระจ่างวูบหนึ่ง

“หลินสวิน ข้ามาแล้วตามที่เจ้าปรารถนา” ฉู่เป่ยไห่เปล่งเสียงฉะฉานเสนาะหู สะท้อนก้องในรัตติกาล

ทว่าที่ทำให้เขามุ่นคิ้วคือ กลางกระบวนผนึกมายานั่นกลับไร้คนตอบรับ

ซ่า…

ฉู่เป่ยไห่ยิ้ม พลิกมือหยิบยันต์ผนึกต้องห้ามขนาดราวฝ่ามือออกมา คล้ายหยกแต่มิใช่หยก ด้านบนประทับรอยสลักวิญญาณเร้นลับแน่นหนา

“ปล่อยพวกเสวี่ยเชียนเหินซะ แล้วยันต์นี้จะเป็นของเจ้า” ฉู่เป่ยไห่สีหน้าเรียบเฉย ตั้งแต่ต้นจนจบเห็นได้ว่าเขาผ่อนคลายและนิ่งสงบยิ่ง

แต่ยังคงไร้คนตอบกลับ

ฉู่เป่ยไห่แววตาดุจอสนี จ้องกระบวนผนึกมายาที่ห่างออกไปเขม็ง พลางมุ่นคิ้วกล่าว “ทำไม หรือเจ้าห่วงว่ามีคนดักซุ่ม วางใจเถอะ ในสายตาข้าการช่วยพวกเสวี่ยเชียนเหินกลับมาสำคัญกว่าการสังหารเจ้าตอนนี้!”

น้ำเสียงเจือความปรามาส คล้ายเห็นว่าหลินสวินระวังตัวและใจเสาะเกินไป

ท่ามกลางรัตติกาลมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เยียบเย็นดุจคมดาบ แต่ไม่อาจพัดหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่ากลางกระบวนผนึกนั้นได้

เนิ่นนานไม่ได้รับการตอบกลับ ในใจฉู่เป่ยไห่พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีวูบหนึ่ง

………………..