เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านเป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับหมิงจีเอง ทำให้องค์ชายจิ่วเยี่ยต้องมารับมือด้วยตนเอง ตอนนี้มาขอร้องให้ข้าหาคนมาช่วย ท่านหัวหน้าตำหนัก ความคิดของท่านสวยหรูเกินไปแล้ว ตนเองสร้างเรื่องเองก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง”

“ตราบใดที่ตำหนักตงจี๋ไม่ถูกทำลายล้าง และไม่หายสาบสูญไปจากดินแดนสี่ทิศ ท่านคิดว่าจะมีผู้ใดยอมล่วงเกินองค์ชายจิ่วเยี่ยเพื่อกองกำลังระดับสามบ้างล่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฟิงอวิ๋นซิว สีหน้าของไป๋อู๋ห่ายก็ซีดเผือดลงทันใด

“ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกหัวหน้าตำหนักว่า บางคนที่ไม่ควรจะแตะต้องก็อย่าไปแตะต้องจะดีกว่า ตัวหมิงจีเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จะไปป้องคนอื่นได้อย่างไร ท่านคิดว่าครั้งหน้านางจะปกป้องท่านช่วยให้ท่านรอดชีวิตอีกเหรอ ท่านโปรดนึกถึงตัวเองด้วย”

กล่าวจบ เฟิงอวิ๋นซิวก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋อู๋ห่ายมองดูแผ่นหลังเขาด้วยสีหน้าที่เขียวคล้ำด้วยความโกรธ

“เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าจะเย่อหยิ่งไปทำไมกัน เจ้ามันก็เป็นแค่เหยี่ยวตัวนึงก็เท่านั้น จะมีอะไรดีนักหนา เจ้ายอมรับชะตากรรมของเจ้า แต่ข้าไม่! ท่านหมิงจีจะต้องช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกมันได้แน่นอน” ดวงตาของไป๋อู๋ห่ายเผยความบ้าคลั่งออกมา

มู่เฉียนซีนอนหลับอย่างสบาย ในขณะที่พักผ่อนอยู่นั้นนางก็ตลกขบขันกับมรดกของปรมาจารย์หุ่นเชิดนั้นโดยไม่รู้ตัว

ทันทีที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นกับใบหน้าอันรูปงามนั้นอยู่ใกล้ใบหน้านางมาก นางตะโกนขึ้นว่า “หวง…”

อือ!

ยังไม่ทันเรียกชื่อเต็มหวงจิ่วเยี่ยสามคำออกมา ริมฝีปากของนางก็ถูกริมฝีปากของหวงจิ่วเยี่ยประกบจูบลงมาแล้ว

การปล้นชิงอย่างอันธพาลเช่นนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงลงฉับพลัน

กว่าเขาจะปล่อยให้นางเป็นอิสระมันไม่ง่ายเลย น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ข้าไม่ชอบให้ซีเรียกชื่อแซ่เต็มข้า”

ก็ได้! ไม่เรียกชื่อแซ่เต็มก็ได้!

“จิ่ว…”

อือ!

ทว่า กำลังจะเรียกว่าจิ่วเยี่ย นางก็ถูกเขาปิดปากด้วยปากอีกครั้ง

ดวงตาของมู่เฉียนซีกลมโตขึ้นพลางผลักจิ่วเยี่ยออก

“เจ้า นี่เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

จิ่วเยี่ยขยับเข้าใกล้หูมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่า สามี!”

“สามี! องค์ชายจิ่วเยี่ย นี่เจ้าคงยังไม่ตื่นกระมัง!”

“ยังมีแรงโกรธ เช่นนั้นซีก็น่าจะมีแรงรักษาอาการให้ข้าแล้วน่ะสิ”

กล่าวจบ เสื้อผ้าอาภรณ์ของมู่เฉียนซีก็ถูกถอดออกภายในชั่วพริบตา

มู่เฉียนซีตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าไม่สบายเหรอ ข้าก็เห็นว่าเจ้าสบายดีนี่ เจ้าเจ็บป่วยตรงไหนไม่ทราบ?”

“ข้าไม่สบายจริง ๆ!”

“อือ…”

ดวงตาของมู่เฉียนซีดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ทั่วทั้งร่างดูเหมือนว่าเหยียบอยู่บนเมฆาก็มิปาน

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงให้นางพักผ่อนอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น

ที่แท้ก็รอให้นางพักผ่อนให้เพียงพอก่อน แล้วค่อย…

จื่อโยวกล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เยี่ยคงจะไม่คิดจะให้คนงามถึงกับลงจากเตียงไม่ไหว แล้วค่อยแอบเอากุญแจเทพมังกรมาจากนางแล้วไปเอาคัมภีร์หมื่นคำสาปที่เผ่ามังกรด้วยตนเองหรอกกระมัง!”

“เยี่ยผู้นี้ใจดำยิ่งกว่าพลังอันมืดมิดนั่นของเขาเสียอีก เฮ้อ! คนงามช่างน่าสงสารเสียจริง”

ตูม! แสงสีทองแสงหนึ่งได้ส่องสว่างวาบขึ้น และค้อนใหญ่ก็ตกลงมา

จื่อโยวกล่าวบ่นว่า “ซิงเฉิน นี่เจ้าเป็นอะไรไปอีกล่ะ ข้าไปล่วงเกินเจ้าตรงไหนอีกห๊ะ?”

“ก็เจ้ากล้าดีพูดจาไม่ดีต่อฝ่าบาทน่ะสิ!” ซิงเฉินกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ก็ข้าพูดความจริงไม่ใช่เหรอห๊ะ? ข้าพูดความจริง!”

“ไม่ใช่สักหน่อย! อย่างฝ่าบาทเขาเรียกว่าฉลาดปราดเปรื่องต่างหาก!”

จื่อโยวต้องยอมจำนนซิงเฉินแล้ว เจ้าหมอนี่ไร้ทางเยียวยาแล้วจริง ๆ

หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน ความคะนึงถึงของจิ่วเยี่ยก็พลุ่งพล่านดุจดั่งคลื่นในมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น

มู่เฉียนซีกำหมัดแน่น เสือที่ไม่แสดงอำนาจ มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากแมว!

ถึงแม้ว่าร่างกายจะเหลือเรี่ยวแรงอยู่น้อยนิด แต่มู่เฉียนซีก็ยังจะพลิกสถานการณ์มาเป็นคนคุมเกมให้ได้

ชั่วครู่หนึ่ง นางก็พลิกตัวขึ้นคร่อมจิ่วเยี่ยได้

จิ่วเยี่ยก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ยอมปล่อยให้นางทำจนสำเร็จ

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ดูท่าซียังไม่เหนื่อยนะ!”

มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้น “ข้าเป็นหมอ ยังรักษาอาการคนป่วยไม่หาย ข้าก็ต้องรักษาต่อสิ!”

ยาลูกกลอนขวดหนึ่งตกลงมาอยู่ในมือของมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีกล่าวต่อว่า “องค์ชายจิ่วเยี่ย ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวนะ ข้ามียาลูกกลอนอีกมากเลยล่ะ!”

มู่เฉียนซีเทยาลูกกลอนออกมาทั้งขวด และใส่เข้าปากจิ่วเยี่ยไปทั้งหมด

ยาลูกกลอนที่ซีให้เขากินแน่นอนว่าไม่ใช่ยาที่ทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด

แต่กินยาในสถานการณ์นี้ดูเหมือนว่าจะผิดปกติ

จิ่วเยี่ยรู้สึกได้ว่ายาลูกกลอนนี้เขาจะกินไม่ได้ แม้เขาอยากจะถุยออกมาก็ทำไม่ได้ เพราะริมฝีปากของเขานั้นถูกริมฝีปากของมู่เฉียนซีปิดเอาไว้

มู่เฉียนซีเป็นฝ่ายจูบเองเช่นนี้ จิ่วเยี่ยจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่า ครั้นแล้วทั้งสองก็เริ่มนัวเนียกันอีกครั้ง

สตรีผู้เป็นที่รักของตนเองใช้มารยาหญิงเช่นนี้ จิ่วเยี่ยก็ถูกทำให้ลุ่มหลงเข้าแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มู่เฉียนซีป้อนยาลูกกลอนให้เขาเช่นนี้ และเขาก็กลืนกินมันลงไปทั้งหมด

กึก! มู่เฉียนซีรู้สึกว่าโลกหมุนไปชั่วขณะ ตำแหน่งการนัวเนียของทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ยาลูกกลอนถูกจิ่วเยี่ยกลืนลงไปแล้ว และตอนนี้จิ่วเยี่ยก็กำลังจะกินนางต่อ

ภายใต้การรุกรานของจิ่วเยี่ยนั้นมู่เฉียนซีไม่มีแรงที่จะต้านทานได้เลย ทำได้เพียงแค่รอให้ยาออกฤทธิ์เท่านั้น

ทว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไปมันช่างยาวนานราวกับเป็นศตวรรษก็มิปาน มู่เฉียนซีชักจะเริ่มสงสัยในฝีมือการหลอมยาของนิรันดร์แล้ว นี่ตกลงว่ามันใช้การได้หรือไม่

ยาลูกกลอนที่คนอย่างท่านนิรันดร์หลอมออกมานั้น ไม่มีทางมีปัญหาแน่นอน!

เดิมทีองค์ชายจิ่วเยี่ยนั้นเร่าร้อนดุจดั่งไฟ ทว่า ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็พุ่งออกมาจากร่างราวกับว่ากำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำแข็งพันปีก็มิปาน

ร่างกายเย็นยะเยือกขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ จิ่วเยี่ยตกใจสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เขากอดร่างของมู่เฉียนซีแน่นราวกับจะหล่อหลอมเข้าด้วยกันเสียให้ได้

“ซี โหดร้ายเกินไปแล้ว!”

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความจริงจังว่า “ข้าโหดร้ายตรงไหนเหรอ! นี่ข้ากำลังรักษาอาการป่วยให้เจ้าอยู่นะ นี่คือการรักษาเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“แต่ข้าไม่ชอบวิธีการรักษานี้!”

“ข้าจะให้เจ้าทดลองสักหน่อย นี่คือยาหัวใจโพธิ์! หากเมื่อใดที่เจ้าควบคุมไม่ได้ก็กินยาลูกกลอนนี้เข้าไปหนึ่งเม็ด! อ้อ แล้วไม่ต้องช่วยข้าประหยัดนะ ข้ายังมีอีกเยอะ!”

มู่เฉียนซีเอาขวดยาออกมาหลายขวดและยัดใส่มือจิ่วเยี่ย

หวงจิ่วเยี่ยเป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวที่กล้ารังแกหมอปีศาจอย่างนาง ในที่สุดตอนนี้ก็มีของที่ทำให้เขายอมจำนนได้แล้ว

“นี่เป็นยาลูกกลอนขั้นสวรรค์ระดับเก้าระดับไร้ที่เปรียบ ซีไม่สามารถหลอมมันออกมาเองได้!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม

“แน่นอนอยู่แล้ว พลังของข้าในตอนนี้หลอมยาระดับนี้ออกมาไม่ได้! แต่ข้าก็ยังมีนิรันดร์ไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้เขาหลอมยาออกมาให้ข้าไม่เลวเลย”

“หม้อเทพนิรันดร์ หม้อวิญญาณนิรันดร์!” น้ำเสียงของจิ่วเยี่ยพลันเย็นยะเยือกลงเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้เขาได้จดจำการกระทำนี้ของนิรันดร์เอาไว้แล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว “เก็บยาเอาไว้ให้ดีล่ะ!”

ของที่มู่เฉียนซีมอบให้นั้น ถึงแม้ว่าจิ่วเยี่ยจะไม่ชอบฤทธิ์ของยานี้มากเพียงใด แต่ก็จำใจต้องรับมันไว้

มู่เฉียนซีสวมเสื้อผ้าเสร็จก็กล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าได้ข่าวมาแล้ว ไหนบอกข้ามาซิว่าได้ข่าวอะไรมา?”

สายตาของมู่เฉียนซีจับจ้องไปที่จิ่วเยี่ย จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “ข้าหาที่อยู่ของเผ่าหงส์เจอแล้ว ข้าวางแผนเอาไว้ว่าจะไปที่นั่น”

มู่เฉียนซีกล่าว “เผ่าหงส์! ข้ามีไข่หงส์อยู่ฟองหนึ่งพอดี แต่ไข่มานานแล้วไม่ยอมฟักสักที เช่นนั้นเราไปที่เผ่าหงส์ด้วยกันสักครั้งดีหรือไม่!”

“การจะไปที่อาณาเขตสัตว์เทพเช่นนั้นจะไปหลายคนไม่ได้ ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”

“หวงจิ่วเยี่ย นี่เจ้ากำลังโกหก!” น้ำเสียงของมู่เฉียนซีพลันเย็นชาลง

.