ถังเสวี่ยโศกเศร้าอย่างมาก กอปรกับที่บาดแผลบนร่างยังไม่หายดีจึงหมดสติไป
หลานเยวี่ยหลีน้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน
เป็นไปไม่ได้
จะเป็นไปได้อย่างไร!
นางเพิ่งจำเรื่องในอดีตได้ ซูอวี้ก็ไม่อยู่แล้ว โชคชะตาเล่นตลกหรือ?
“เซียนฉยงเซียว เซียนฉยงเซียว… ”
หลานเยวี่ยหลีตะโกนอยู่หลายครั้ง เซียนฉยงเซียวก็ไม่ตอบกลับ ภาพตรงหน้ายังคงเปลี่ยนไป พวกนางมาถึงด่านที่สี่แล้ว
ซูจิ่นซียืนเหม่ออยู่กับที่ไม่ขยับ ตงหลิงหวงเดินไปอยู่ข้างกายนางแล้วเอ่ยปลอบ “พระชายาโยวอ๋อง… ” ทว่าพอเรียกชื่อของซูจิ่นซี จากนั้นนางก็ไม่รู้จะพูดอันใดต่อ
ซูจิ่นซีไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดตรงหน้าจะเป็นความจริง ความยากลำบากมากมายในอดีต พวกเขาล้วนผ่านมาได้ เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว วรยุทธ์ไร้เทียมทาน ทั้งยังอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด จะสลายหายไปในดินแดนภาพมายาอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ ข้าต้องการกลับไป” ซูจิ่นซีพูดพลางเดินไปที่ชั้นสามของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง
ทว่าเมื่อเดินไปถึงบันได ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ซีเอ๋อร์… ”
ซูจิ่นซีหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ก่อนจะหมุนกายกลับมาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ความรุ่งเรืองนับพันปี หมอกควันผ่านตา แม้เวลาจะผ่านไปนับพันกว่าปี เรื่องราวในอดีตสับสนมึนงง นางเกือบลืมไปแล้ว ทว่ามีบางคน บางเรื่องที่นางไม่อาจลืมและลืมไม่ได้
คนบางคน ฟังเสียงเพียงครั้งเดียวก็แยกออกว่าคือผู้ใด
“ท่านอาจารย์… ” ซูจิ่นซีพลันหลั่งน้ำตาและรีบเดินไปหาเซียนจิ่วหัว
ท่านอาจารย์?
ตั้งแต่เข้าสู่ด่านที่สี่ ถังเสวี่ยก็ตื่นขึ้น นาง ตงหลิงหวง และหลานเยวี่ยหลีมองซูจิ่นซีที่พุ่งไปหาความว่างเปล่าด้านหน้า นอกจากนั้นยังมีน้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ พวกนางจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ถังเสวี่ยถาม “ซูจิ่นซีเป็นอันใดไปหรือ? เห็นได้ชัดว่าตรงนั้นไม่มีคน นางเรียกผู้ใดว่าท่านอาจารย์? ”
“ไม่รู้” ตงหลิงหวงกล่าว “ที่นี่คือด่านที่สี่ของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง เป็นไปได้มากว่าด่านนี้เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซี”
“หรือว่า… ด่านที่สี่เปิดแล้วหรือ? ทว่าโยวอ๋อง เจ้าหุบเขาอู๋ และผู้นำซูยังไม่ออกมาจากด่านที่สามเลย”
“ไม่อย่างนั้น ข้าไปดูเสียหน่อย” ถังเสวี่ยพูดพลางเดินไปยังด่านที่สาม หลานเยวี่ยหลีต้องการไปด้วยเช่นกัน ทว่าตงหลิงหวงรีบคว้าทั้งสองไว้
“แม่นางทั้งสอง ถึงเวลานี้แล้ว พวกเจ้าอย่าสร้างปัญหาเลย ที่นี่คือด่านที่สี่ ด่านที่สามปิดไปเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะไปหาจากที่ใด? ”
“ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด เซียนฉยงเซียวนั่นเป็นเพียงจิตใต้สำนึกที่คนสร้างเจดีย์ทิ้งไว้ที่นั่นก็เท่านั้น พอจบด่านนางก็หายไปแล้ว ขืนพวกเจ้าไปต่อแล้วหลงกับพวกข้า พวกข้าไม่เพียงต้องผ่านด่านนี้เท่านั้น ทว่ายังต้องตามหาพวกเจ้าอีก ถึงตอนนั้นต้องเกิดปัญหามากมายตามมาแน่นอน”
“ทว่าจะให้พวกข้าทนดูพวกเขาทั้งสามคนตายเช่นนี้หรือ? ” ถังเสวี่ยยิ่งพูดยิ่งเป็นทุกข์ “ที่นี่ไม่มีคนที่ท่านต้องเป็นห่วง ท่านก็พูดง่ายสิ ไม่เหมือนข้ากับแม่นางเยวี่ยหลี คนรักของพวกข้าตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
ถังเสวี่ยพูดพลางเมินหน้าหนี น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
ตงหลิงหวงสีหน้าเปลี่ยนทันทีและไม่ได้พูดอันใด
หลานเยวี่ยหลีดึงถังเสวี่ยแล้วกระซิบ “แม่นางถังเสวี่ย ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร! หรือว่าท่านไม่รู้ว่า… ”
ถังเสวี่ยมองหน้าตงหลิงหวงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ตงหลิงหวง ข้าขอโทษ ข้ากังวลสับสนถึงพูดไปเช่นนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นอันใด” ตงหลิงหวงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าเข้าใจความรู้สึกของแม่นางถังเสวี่ย” นางพูดพลางมองไปทางซูจิ่นซีที่อยู่ด้านหลัง
“หากข้าเดาไม่ผิด ด่านนี้คงเกี่ยวกับพระชายาโยวอ๋อง และตอนนี้เริ่มเข้าสู่ด่านเรียบร้อยแล้ว นางกำลังตั้งครรภ์ โยวอ๋องไม่อยู่ พวกเราต้องดูแลนางให้ดี ดังนั้นพวกเจ้าต้องฟังข้า พวกเราไม่อาจผิดพลาดได้อีก”
“ทว่าถังเป่าอวี้ พวกเขา… ”
ถังเสวี่ยยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตงหลิงหวงขัด
“พวกท่านไม่เชื่อใจพวกเขาทั้งสามคนหรือ? ”
สีหน้าของถังเสวี่ยและหลานเยวี่ยหลีเปลี่ยนไป และไม่ได้พูดอันใดอีก
ตงหลิงหวงพูดเสริมอีกว่า “พวกท่านต้องเชื่อใจพวกเขา พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์ จะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าตราบใดที่พวกเราผ่านไปทีละด่าน จะต้องได้พบกับพวกเขาแน่ แม้ไม่อาจพบในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง ทว่าเมื่อออกจากที่นี่ไปจะต้องได้เจอ”
แม้รู้ว่าตงหลิงหวงกำลังปลอบใจพวกนาง ทว่าถังเสวี่ยและหลานเยวี่ยหลียังเลือกที่จะเชื่อ เพราะตอนนี้พวกนางไม่มีตัวเลือก
ด่านที่สี่ สิ่งที่ซูจิ่นซีเห็นคือเซียนจิ่วหัว อาจารย์ของนางที่เผ่าเม้ย
ในตอนนั้น นางออกจากเผ่าเม้ยและได้รับคำสั่งให้ปกป้องจิ่นอีโหว เซียนจิ่วหัวยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าภายหลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันใดขึ้นกับเผ่าเม้ย ชื่อเผ่าเม้ยค่อยๆ หายไปจากโลก
ภายหลัง ซูจิ่นซีจำเรื่องราวในอดีตได้จึงต้องการไปค้นหา ทว่าเผ่าเม้ยอยู่ในคุนหลุนซึ่งห่างไกลมาก จึงไม่มีโอกาส ครั้งนี้ได้มาที่เขาคุนหลุน ความจริงแล้วนางมีความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะสามารถกลับไปยังเผ่าเม้ยเพื่อพบญาติสนิทที่คุ้นเคยที่สุดของตนเอง
ดังนั้นเมื่อครู่ที่เห็นเซียนจิ่วหัว ซูจิ่นซีจึงหยุดเดินโดยไม่คิดว่าคนตรงหน้าเป็นของจริงหรือเท็จ
“ท่านอาจารย์… ” ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินมาเบื้องหน้าเซียนจิ่วหัว
ไม่ได้พบกันหนึ่งพันกว่าปี ใบหน้าของท่านอาจารย์ดูไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
“ซีเอ๋อร์ หลายปีมานี้ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานแล้ว”
ซูจิ่นซีรีบคุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะสามครั้ง “ซีเอ๋อร์ไม่ทุกข์ใจ ซีเอ๋อร์ตั้งตารอการกลับคืนสู่เผ่าเม้ยเพื่อพบท่านอาจารย์ เพื่อพบกับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้วศิษย์พี่หญิงเหยียนหัว ศิษย์พี่หญิงเยวี่ยโหรว ศิษย์น้องหญิงชิงหลิงอยู่ที่ใด? ”
“พวกนางล้วนมีภารกิจของตนเอง ออกจากเผ่าเม้ยไปแล้ว”
“ไปแล้ว? พวกนางไปที่ใดหรือ? ”
เซียนจิ่วหัวลูบศีรษะของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยนและไม่ได้ตอบคำถามซูจิ่นซี ทว่าเปลี่ยนเรื่อง “ที่นี่คือเผ่าเม้ย หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว? ”
“ที่นี่ก็คือเผ่าเม้ย? ” ซูจิ่นซีเหลือบมองรอบด้านอย่างประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไร! เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง! ” นอกจากนี้ บรรยากาศที่นี่ไม่เหมือนเผ่าเม้ยแม้แต่น้อย
“ที่นี่คือดินแดนเผ่าเม้ย” เซียนจิ่วหัวพูดเสียงหนักแน่น “ในปีนั้น จิ่วหรง เจ้าสำนักแพทย์เทียนอี เพื่อทำให้เจ้าได้เกิดใหม่ เขาบีบบังคับเอาจิตวิญญาณไปจากเผ่าเม้ย ที่นี่จึงกลายเป็นดินแดนเก้าขุมนรก”
จิตวิญญาณเผ่าเม้ยคือจิตวิญญาณของเผ่าเม้ยที่รักษาพลังวิญญาณของดินแดนเผ่าเม้ยทั้งหมด เมื่อจิตวิญญาณเผ่าเม้ยไม่อยู่แล้ว เผ่าเม้ยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ซูจิ่นซีน่าจะคิดได้นานแล้ว
นางน่าจะคิดได้นานแล้ว
ซูจิ่นซีอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย และพูดว่า “เป็นความผิดของศิษย์เอง”
กลับไม่คิดว่าเซียนจิ่วหัวจะกล่าวว่า “ใช่ ล้วนเป็นความผิดของเจ้า หากไม่ใช่เจ้า อาจารย์คงไม่กลายเป็นผู้เฝ้าด่าน พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าคงไม่จากไป ที่นี่คงไม่กลายเป็นนรก ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องชดใช้”
“ชดใช้อย่างไร? ”
“ชดใช้ด้วยชีวิตเจ้า! ”