ชดใช้ด้วยชีวิตนาง?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังไตร่ตรอง จู่ๆ เซียนจิ่วหัวก็ปามีดสั้นไปที่ข้างเท้าของซูจิ่นซี
“ขอเพียงเจ้าตาย อาจารย์ก็จะออกไปจากที่นี่ได้ พวกศิษย์พี่ ศิษย์น้องของเจ้าก็จะกลับมา เผ่าเม้ยก็จะหวนคืนสู่วันวาน”
ซูจิ่นซีรู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่อาจให้อภัยบาปที่ตนเองก่อได้ เมื่อคิดว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต นางจึงหยิบมีดสั้นบนพื้นขึ้นมา
ทันใดนั้น ถังเสวี่ยก็ชี้ไปทางซูจิ่นซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “พระชายาโยวอ๋อง ท่านจะทำอันใด? ”
แม้ระยะทางจะไกลอยู่บ้าง ทว่าพวกนางยังเห็นได้ชัดเจน หลังจากซูจิ่นซีหยิบมีดสั้นบนพื้นขึ้นมา ปลายมีดสั้นแหลมคมก็หันเข้าหาหน้าอกของตนเอง
ถังเสวี่ยมีสีหน้างุนงง “จะผ่านด่านนี้ถึงกับต้องฆ่าตัวตายเชียวหรือ? ”
ตงหลิงหวงรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อห้ามซูจิ่นซี ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ นางก็ถูกม่านพลังที่โอบล้อมรอบซูจิ่นซีสะท้อนกลับมาจนล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ถังเสวี่ยและหลานเยวี่ยหลีกังวลจนกดดัน “ทำอย่างไรดี? หากโยวอ๋องอยู่ก็ดี เขาจะต้องมีวิธีแน่นอน หากพระชายาโยวอ๋องทำร้ายตนเอง เด็กในท้องก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงเวลานั้นพวกเราควรอธิบายกับโยวอ๋องอย่างไร? ”
……
ซูจิ่นซีถือมีดสั้นเล็งมาที่กลางอกของตนเอง สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวไม่หยุดคือภาพที่ครั้งหนึ่งเคยแย้มยิ้มกับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องตอนอยู่ที่เผ่าเม้ย ภาพอาจารย์ที่สอนอย่างเข้มงวด ทว่ากลับอบอุ่นและเป็นกันเอง และยังมีภาพเผ่าเม้ยที่พลิกผันกลับตาลปัตรชั่วข้ามคืน เพราะจิตวิญญาณเผ่าเม้ยหายไป
ยิ่งภาพเหล่านั้นชัดเจนในจิตใจตนเองมากเท่าไร นางยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะช่วยนางในวันนั้น จิ่วหรงก็คงไม่บีบบังคับเอาจิตวิญญาณของเผ่าเม้ยไปจากเผ่าเม้ย หากจิตวิญญาณแห่งเผ่าเม้ยไม่หายไป เผ่าเม้ยคงไม่ตกต่ำอย่างเช่นทุกวันนี้
เมื่อเห็นว่ามีดสั้นกำลังแทงเข้าที่หน้าอกของซูจิ่นซี เลือดไหลซึมออกมาทันทีจนเสื้อเปียกชุ่ม หากแทงลึกอีกสักนิด ซูจิ่นซีต้องเสียชีวิตแน่นอน
ถังเสวี่ยและคนอื่นๆ กังวลจนหน้าถอดสี
ตงหลิงหวงพุ่งไปหาซูจิ่นซีหลายครั้ง ทว่าถูกม่านพลังรอบกายซูจิ่นซีกระแทกกลับมาทุกครั้ง
ทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี??
ควรทำอย่างไรดี???
ทุกคนต่างคิดว่า ครั้งนี้ซูจิ่นซีต้องตายอย่างแน่นอน
โยวอ๋องไม่อยู่แล้ว เป็นไปได้อย่างมากว่านางไม่มีความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า ซูจิ่นซีจะตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน “ไม่… ” ดวงตาของนางสว่างสุกใส และในขณะเดียวกัน นางได้ขว้างมีดสั้นในมือออกไปอย่างแรง
“เจ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์ของข้า” ซูจิ่นซีกล่าวอย่างมีเหตุผล
สายตาของเซียนจิ่วหัวแปรเปลี่ยนเป็นดุดันทันที “ศิษย์เอ๋ย เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งอาจารย์หรือ? ”
“ไม่… ” ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “ที่นี่คือเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง นี่เป็นด่านที่ต้องผ่าน แม้เผ่าเม้ยจะตกต่ำกลายเป็นดินแดนนรกเก้าขุม นั่นก็เพราะได้รับผลตามวัฏจักรที่มันควรได้รับ จะหวนคืนสู่อดีตเพียงเพราะการตายของข้าผู้เดียวได้อย่างไร? ข้าไม่มีทางหลงกลเจ้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ่นซี เซียนจิ่วหัวก็กลายร่างเป็นควันสีเขียวและสลายหายไป ม่านพลังรอบกายซูจิ่นซีก็หายไปเช่นกัน
ตงหลิงหวงและคนอื่นๆ รีบลุกขึ้นและวิ่งไปทางซูจิ่นซี
“พระชายาโยวอ๋อง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“พระชายา ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม ขอบตาเอ่อไปด้วยคราบน้ำตา นางเงยหน้ามองไปรอบๆ น้ำเสียงเบาหวิวอย่างไม่สามารถปกปิดความเศร้าได้
“เดิมทีที่นี่คือเผ่าเม้ย ทว่ากลายเป็นอย่างทุกวันนี้ ไม่แปลกใจที่ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในเจดีย์ ข้าก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย ไม่น่าแปลกใจ ขณะที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองด่านเสียชีวิต ข้าถึงได้รู้สึกปวดใจ ที่แท้… พวกเขาเป็นศิษย์สายเลือดเดียวกันกับข้า”
ถังเสวี่ยเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่ซูจิ่นซีเป็นเทพธิดาเผ่าเม้ย ทว่านางไม่ค่อยเข้าใจนัก ส่วนหลานเยวี่ยหลียิ่งไม่เข้าใจ
แม้ตงหลิงหวงจะได้ยินบางอย่างจากคำพูดของซูจิ่นซี ทว่าไม่ได้ครุ่นคิดมากเกินไป
“พระชายาโยวอ๋องอย่าเศร้าใจไปเลย ท่านเศร้าใจไปจะไม่ดีต่อทารกในครรภ์”
ใช่ ไม่ดีต่อทารกในครรภ์…
ซูจิ่นซีก้มศีรษะแล้วใช้มือลูบท้องน้อยของตนเอง
เด็กคนนี้มาอย่างยากลำบากและยิ่งทำให้นางมีชีวิตลำบาก ดังนั้นนางควรรักและทะนุถนอมเขามากยิ่งขึ้น
นางคิดพลางลุกขึ้นยืน
ความงดงามเบื้องหน้าเปลี่ยนไป ทุกคนมาถึงด่านที่ห้าของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง
ทันทีที่ทุกคนมาถึงด่านที่ห้า แสงเทียนพลันสว่างขึ้นรอบด้าน ทำให้ทั่วทั้งชั้นห้าส่องสว่างราวกับเวลากลางวัน แสงเทียนสามารถขับให้เห็นฉากรอบด้านทั้งหมดได้พอดี
ไม่รู้ว่าลมหนาวบางเบาพัดมาจากที่ใดในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ลมพัดหวนบนพื้นไม่หยุด ท่ามกลางสายลมนั้นยังมีเสียงแปลกๆ ปะปนอยู่ด้วย แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
ทุกคนต่างมองไปรอบด้าน
“นั่นคือสิ่งใด? ” ถังเสวี่ยชี้ไปทางซ้าย ใบหน้าของนางพลันซีดขาวและรีบไปหลบอยู่ด้านหลังซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงค่อยๆ มองไปยังทิศทางที่ถังเสวี่ยชี้ไป ที่นั่นมีฉากกั้น และด้านหลังฉากกั้นดูเหมือนจะมีคนหลายคนยืนอยู่
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงรีบหยุดฝีเท้า ก่อนจะสบตากันและคำนับผู้ที่อยู่หลังฉากกั้น
“พวกข้ามาที่นี่เพื่อผ่านด่าน ขอบังอาจถามว่าท่านคือผู้เฝ้าด่านที่ห้านี้ใช่หรือไม่? ”
“…”
หลังจากถามแล้วไม่ได้รับคำตอบ ทั้งสองก็ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงจึงถามอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้อย่างไร? ”
“…”
ยังคงไร้เสียงตอบ ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง เดินตรงไปยังด้านหลังฉากกั้น
ทว่าทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึงด้านหลังฉากกั้นก็หยุดฝีเท้า ทั้งคู่ใบหน้าซีดเผือด แผ่นหลังพลันเย็นวาบ
“อ้วก… ”
ซูจิ่นซีใช้มือค้ำฉากกั้นและอาเจียนออกมาไม่หยุด ตงหลิงหวงก็อดทนพยุงซูจิ่นซีออกมาจากฉากกั้น
ถังเสวี่ยเห็นซูจิ่นซีตกใจจนกลายเป็นเช่นนี้ ก่อนจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบข้างเย็นลงเรื่อยๆ
“ตรงนั้นคือสิ่งใดกันแน่ ไม่นึกว่าซูจิ่นซีจะตกใจจนกลายเป็นเช่นนี้? ”
สีหน้าของตงหลิงหวงดูแปลกประหลาดเล็กน้อย นางมองถังเสวี่ยกับหลานเยวี่ยหลีด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
สีหน้าของหลานเยวี่ยหลีซีดกว่าผู้ใด นิ้วที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น นางเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดู”
นางพูดพลางเดินตรงไปหลังฉากกั้น
ซูจิ่นซีรีบดึงหลานเยวี่ยหลีไว้ “อย่าไป”
หลานเยวี่ยหลีค่อยๆ หันหลังกลับมา พลางมองซูจิ่นซีด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ด้านหลังนั่นคือสิ่งใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกหลานเยวี่ยหลี “คือหนังมนุษย์”
“หนังมนุษย์? ” ถังเสวี่ยอุทาน
หลานเยวี่ยหลีสงบนิ่งมาก ทว่าสายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความผิดหวัง แข้งขาอ่อนแรงล้มพับลงไปกับพื้น
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงรีบพยุงหลานเยวี่ยหลี “แม่นางเยวี่ยหลี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“แม่นางเยวี่ยหลี เจ้าอย่าได้กลัว นั่นเป็นเพียงผิวหนังมนุษย์ เป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่สามารถทำอันใดพวกเราได้”
“ใช่ มีซูจิ่นซีและรัชทายาทตงเฉินอยู่ พวกเราจะต้องไม่เป็นอันใด”
เมื่อสิ้นเสียงถังเสวี่ย ลมหนาวพัดหมุนวนอยู่ตลอด ทันใดนั้นอากาศก็หนาวเย็นขึ้น จู่ๆ ท่ามกลางความว่างเปล่าก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
“กลิ่นหอมยิ่งนัก …เครื่องสังเวยครั้งนี้ดูไม่เลวทีเดียว”
เครื่องสังเวย?
ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที