บทที่ 1178 ตระหนักรู้

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“สนิทสนม…” หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า ไม่ได้รีบร้อนมองโลกรอบด้านของชั้นต่อ เพราะไม่ว่าที่นี่จะเป็นเช่นไร ก็ไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อในยามนี้แล้ว

เขาเข้าใจแล้วว่า สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเป็นที่ฝึกฝนและก็เป็นที่คัดเลือก อีกทั้งยังเป็นที่สืบทอด ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งหมดล้วนเป็นภารกิจปล่อยให้ผู้มาเยือนเดินรอบสำนักแห่งความมืดเท่านั้น

เส้นทางนี้ ตอนนั้นหวังเป่าเล่อเคยเดินผ่านในนิมิตมืดมาก่อน ตอนนี้กลับเป็นครั้งแรกในความเป็นจริง แต่เขาก็ยินยอม เพราะดูเหมือนเมื่อเดินต่อไปก็ทำให้หวนนึกถึงทุกสิ่งในนิมิตมืดขึ้นมาได้ใหม่ หวนนึกถึงช่วงเวลาอันสวยงาม

ดังนั้นในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ว่าสิ่งนี้มาจากความสนิทสนมส่วนลึกของด้านล่าง คำว่าคุณธรรมที่ได้ฟังก่อนจะก้องอยู่ในสมอง สิ่งที่เหลือเชื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

“คุ้นเคย…” หวังเป่าเล่อพึมพำ แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจ แต่กลับไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เดิมทีอารมณ์ที่สงบนิ่งตอนที่สื่อวิญญาณรวมทั้งวาดใบหน้าซากศพก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น เพราะความสนิทสนมและคุ้นเคยนี้เช่นกัน

ระลอกคลื่นนั้นปิดกั้นความทรงจำของเขา พาเขากลับไปที่ที่เคยผ่าน กลับไปท่ามกลางความฝันอันยิ่งใหญ่ ฝันนั้น…ในระดับหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าได้เปลี่ยนหวังเป่าเล่อไปทั้งชีวิต

ดังนั้นหลังจากชะงักฝีเท้า หวังเป่าเล่อก้มหน้า สายตาคล้ายสามารถทะลวงผ่านแผ่นดินบนโลก มองเข้าไปได้ลึกที่สุด ผ่านแผ่นศิลา เขารู้ว่าที่นั่นมีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไป แม้ด้วยระดับฝึกตนตอนี้ก็ยังไม่อาจมองผ่านได้ แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ ได้ปรากฏภาพวาดหนึ่งลอยขึ้นมาตรงหน้า

ในภาพ ส่วนที่ลึกที่สุดมีเงาร่างหนึ่งอยู่ในความทรงจำ ยามนี้เขากำลังมองดูตนเอง เผยรอยยิ้มรักใคร่ที่หายไปนานแสนนาน

ระหว่างจ้องมอง หัวใจของหวังเป่าเล่อกระเพื่อมเป็นระลอก อารมณ์ต่างๆ พลันถาโถมเข้ามา และไม่รู้ด้วยเหตุใด ดวงตาก็แดงขึ้นทีละน้อย นี่เป็นเพราะไม่เคยได้เห็นอาจารย์อย่างแท้จริง เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง และความอบอุ่นก็จริงมากสำหรับเขาเช่นกัน

นิมิตมืดคำนับอาจารย์ กำหนดไว้ทั้งชาติแล้ว

สุดท้ายอารมณ์เหล่านี้ก็รวมกันอยู่ที่เขา หวังเป่าเล่อก้มหน้า คุกเข่าลงคำนับไปทางร่างที่ปรากฏอยู่ในใจ

“คุณธรรม”

เสียงอันคุ้นเคยนั้น สะท้อนก้องอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ เป็นเวลานานกว่าจะจางหาย เขาหายใจเข้าลึก เมื่อลุกขึ้นยืนสายตาก็เผยถึงความแน่วแน่ ร่างของเขาเกิดความกระปรี้กระเปร่า

หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจความหดหู่ของตน หลังจากที่ศิษย์พี่ได้รับผลกระทบจากเต๋าสวรรค์

เขาไม่ได้ใส่ใจการถอนหายใจของตน ที่ขับไล่ตนของสำนักแห่งความมืด

และยิ่งไม่ใส่ใจเส้นทางสุดท้ายที่ตนเลือกเดิน ซึ่งตรงข้ามกับสำนักแห่งความมืดบนความเป็นจริง ในใจส่วนลึกของเขา วันใดวันหนึ่งในอนาคตไม่ยินยอมไปคร่ำครวญ บางทีความกังวลที่เขาจำต้องต่อสู้กับศิษย์พี่ก็สลายไปในเวลานี้

เพราะในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความคิดเดียวที่มีก็คือนำวิญญาณที่วาดใบหน้าซากศพเหล่านั้น ลิขิตชะตากรรม ดึงเหตุและผล ส่งให้เวียนว่าย

ด้วยเพราะ…อาจารย์ที่มองมาอีกครั้ง

เช่นเดียวกับที่อาจารย์ตรวจสอบงานของตนในนิมิตมืด

ด้วยอารมณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณชั้นที่หนึ่ง ที่นี่ไม่เหมือนกับหลายชั้นที่ผ่านมา ท้องฟ้าของที่แห่งนี้คือเข็มทิศขนาดใหญ่อันหนึ่ง

เข็มทิศนี้ใหญ่เกินไป บนนั้นมีอักขระโบราณอย่างหนาแน่นนับไม่ถ้วน แต่ละอันแทนชะตากรรมที่ต่างกัน และจากด้านในถึงด้านนอก ทั้งหมดมีวงแหวนมากกว่าหมื่นวง ดูเหมือนชุดวงแหวนเหล่านี้วงหนึ่งจะใหญ่กว่าอีกวงไปเรื่อยๆ รวมอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก่อเป็นแผ่นเข็มทิศนี้ขึ้น

และวงแหวนภายในแต่ละชั้นต่างหมุนวนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดเส้นทางแห่งชะตากรรมจำนวนมหาศาล และแม้ว่าจะเป็นชะตากรรมเดียวกัน แต่ด้วยอักขระโบราณไหลผ่านช่วงแห่งกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงแตกต่าง

เพราะชั่วอึดใจเดียว ภาษาโบราณจำนวนมหาศาลที่ยากจะคำนวณภายในเข็มทิศ ก็เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน ดังนั้น…จึงก่อเป็นเข็มทิศชะตากรรม…ที่โดยพื้นฐานสามารถครอบงำสรรพชีวิต

การประเมินของชั้นแรก คือการกำหนดชะตากรรม

กำหนดโลกวิญญาณเจ็ดอาณาจักร ชะตากรรมในอนาคตของวิญญาณที่ไม่สิ้นสุด และสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำ คือทำตามคำแนะนำอย่างลับๆ มอบชะตากรรมให้พวกมันแทนเต๋าสวรรค์

เรื่องนี้ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อโลกของวิญญาณ สำหรับเขาแล้ว บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับวิญญาณพวกนั้นย่อมหมายถึงทั้งชีวิต

เช่นเดียวกัน หากปรากฏข้อผิดพลาดก็จะส่งผลต่อการโคจรของจานเข็มทิศนี้ และหากมีข้อผิดพลาดมากขึ้น การโคจรก็จะหยุดชะงัก แม้แต่เต๋าสวรรค์ก็จะได้รับผลกระทบจากมันด้วย

ในจุดนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินอาจารย์ภายในนิมิตมืดกำชับอยู่หลายครั้ง สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือในนิมิตมืดเขาไม่เคยเข้าร่วมวงจรนี้ด้วยตนเองมาก่อนเลย แค่เพียงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอาจารย์ และเห็นศิษย์พี่สำแดงเท่านั้น

“ไม่อาจคำนึงแต่ตน และไม่คิดถึงแต่ตน” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มองไปทางแผ่นดินใต้ท้องฟ้าเข็มทิศ แผ่นดินนี้ไร้ไอหมอก เป็นเพียงผืนทะเลสีดำ

สายฟ้าสีม่วงวาบผ่านน้ำทะเลเป็นระยะ ทำให้ทั้งผิวทะเลดูมีพลังเทียมฟ้าและน่าพิศวง ขณะเดียวกันก็มีเสาแต่ละต้น ตั้งตระหง่านอยู่บนผิวทะเล คล้ายเชื่อมต่อกับพื้นทะเลและเป็นส่วนที่ยื่นออกมาบนพื้นผิว เสาเหล่านี้…เป็นแต่ละหลักแห่งชะตากรรม

ศิษย์สำนักแห่งความมืด ต้องนั่งอยู่บนหลักนี้ สัมผัสชะตาแห่งเต๋าสวรรค์เพื่อกำหนดชะตา

สายตากวาดมองเสาเหล่านี้ นัยน์ตาเผยความแน่วแน่ ร่างกายสั่นสะท้าน ดึงวิชาวาดใบหน้าซากศพเจ็ดอาณาจักรนั้นจากรอบด้าน วิญญาณที่ไม่สิ้นสุดไร้ซึ่งกลิ่นไอมรณะ ก้าวไปทางเสาต้นหนึ่งในนั้นทีละก้าว

คล้ายจะเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงเพียงสามก้าวเท่านั้น หวังเป่าเล่อก็เหยียบลงบนเสาต้นหนึ่ง คำนับไปทางผิวทะเลด้านล่างอีกครั้ง

“ขอท่านอาจารย์โปรดตรวจสอบ”

กล่าวจบ หวังเป่าเล่อสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงขัดสมาธิ ดวงตาส่องประกายสงบนิ่ง แหงนหน้ามองเข็มทิศท้องฟ้า เปลวไฟสีดำภายในร่างพลันระเบิดก้อง ตราประทับบนหว่างคิ้วของบุตรแห่งความมืดก็ส่องประกายเช่นกัน ราวกับขานรับเข็มทิศชะตาฟ้า ดูเหมือนจะใช้ร่างตนเป็นกุญแจในการเปิดมัน

และเข็มทิศชะตาฟ้า ก็ตอบรับทันที ท่ามกลางเสียงก้องคำราม กว่าหมื่นวงแหวนของเข็มทิศชะตานี้ เคลื่อนตัวในเวลาเดียวกัน ด้วยความถี่ต่างกัน มีเร็วมีช้า และในขณะที่หมุนนี้ กลิ่นไอของชะตากรรมก็ขจรขจายมาจากด้านใน ส่งผลไปทั่วสารทิศ ก่อนจะปกคลุมไปทั่วพิภพ

วิญญาณแต่ละดวงมาจากรอบตัวหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ วิญญาณไม่รู้สิ้นลอยออกจากภายในสมุด มันลอยอยู่เบื้องหน้าเขา เพราะวิญญาณแต่ละดวงล้วนเป็นเขาตั้งใจวาดขึ้นจึงเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขณะที่ยกมือขวาแล้วคว้าไปทางเข็มทิศท้องฟ้า กลิ่นไอชะตาที่เต๋าสวรรค์จะมอบให้เหล่าวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ก็ออกมาจากบนเข็มทิศตามอำเภอใจ

กลิ่นไอชะตาเหล่านี้ล้วนมีสี มันเป็นสีเทา

กลิ่นไอสีเทาถูกหวังเป่าเล่อคว้ามาไม่หยุด ระหว่างที่เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขามั่นใจว่ากลิ่นไอชะตานี้ไม่มีปัญหาและสอดคล้องกับหัวใจเต๋าของตน สอดคล้องกับแก่นแท้ของวิญญาณ และที่สำคัญกว่าก็คือ ภายในกลิ่นไอชะตานี้ไร้ช่องโหว่ ไร้ร่องรอยของการแทรกแซง แล้วจึงหลอมรวมลงในวิญญาณ

และขั้นตอนที่เป็นกุญแจสำคัญ…ก็ปรากฏแล้ว

ด้วยกลิ่นไอแห่งชะตาสายแรก หลอมรวมเข้าในดวงวิญญาณหนึ่ง ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาพร่ามัว ในเวลาอันสั้น ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นวิญญาณนั้น และได้ประสบกับชีวิตของวิญญาณที่เกิดใหม่

สัมผัสถึงอารมณ์ทั้งเจ็ด ประสบกับความปรารถนาทั้งหก ผ่านอารมณ์ยินดีและเกลียดชัง ตระหนักถึงความเศร้าสุข นี่ จึงเป็นส่วนที่ยากที่สุด ในการกำหนดชะตาของวงจร

ต้องประสบด้วยตนเอง ตรวจหาจุดบกพร่องในเวลาเดียวกัน นี่จึงเป็นการง่ายมากที่จะได้รับผลกระทบ หากอารมณ์ของตนผันผวน ถูกรบกวน นั่นหมายถึงไร้ความสามารถ

เวลาผ่านไป วิญญาณที่ถูกมันสัมผัสเชื่อมต่อมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะถูกผลกระทบก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรับไว้ไม่ไหว ทำให้ตนเองบ้าคลั่ง

นี่คือชะตากรรมของสำนักแห่งความมืด

ขณะที่มอบภารกิจให้เต๋าสวรรค์ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียแก่นแท้บางอย่าง เพราะในระหว่างกระบวนการ สิ่งที่ศิษย์สำนักแห่งความมืดต้องแสวงหาอย่างแท้จริงหรือรากฐานภารกิจของพวกเขา…ในความเป็นจริงนั้น คือการแสวงหาความเป็นอมตะ

หากหาไม่พบ ต้องผนึกนิรันดร์ หลังจากหาพบ…ก็ยิ่งต้องผนึก จนกว่าหลัวเทียนจะมาถึง

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ศิษย์สำนักแห่งความมืดทั้งหมดที่จะรับรู้ กล่าวให้กระจ่างชัดคือ ส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่หวังเป่าเล่อเข้าใจ หากแต่ตอนนี้เขาไม่สนใจ เพราะสิ่งที่เขาคิดคือนำผลงานของตนเอง ให้อาจารย์ตรวจสอบ

แต่ในไม่ช้า สายตาหวังเป่าเล่อก็เผยความสับสน

เขาพบว่าวิญญาณที่ถูกตนกำหนดชะตากรรม หลังจากที่เขาได้ประสบกับทั้งชีวิตของมันด้วยตนเอง มักจะเสียใจและงงงัน

“เหมือนหุ่นเชิด…”

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…เพราะทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้แล้ว เพราะชีวิตคนล้วนถูกกำหนด…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ขมวดคิ้ว เข้าสู่ความครุ่นคิดด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด

ในเวลาเดียวกัน สายตาที่มาจากด้านบนเผยความสับสน

ในเวลาเดียวกัน สายตาที่มาจากด้านล่างเผยการรอคอย

…………………………