“ท่านอาจารย์ เต๋าคือสิ่งใดกัน” ภายในนิมิตมืด หวังเป่าเล่อเคยถามคำถามนี้มาก่อน

“เจ้าสามารถควบคุมสองขาของเจ้า ควบคุมเส้นทางที่เจ้าต้องการเดิน ไปด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา…หรือไม่ก็ไม่ขยับไหม แม้ร่างจะทุพพลภาพ แต่หัวใจยังมีเส้นทาง เห็นอกเห็นใจ”

“ได้อย่างแน่นอน”

“นี่ก็คือเต๋า”

“อาจารย์ ข้าไม่เข้าใจนัก…” หวังเป่าเล่าสายตาสับสน

“หากหลัง ซ้าย ขวาล้วนมีวิกฤต ท่านจะไปเช่นไร” อาจารย์ของเขา นัยน์ตาเผยความล้ำลึก เอ่ยเสียงเบา

“ย่อมไปข้างหน้า”

“ตามต้องการหรือ”

“หืม? น่าจะตามต้องการ”

“สามารถเดินไปในเส้นทางที่ตนต้องการ อิสระหรือไม่”

“อิสระ”

“นี่ก็คือเต๋า เมื่อเจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของอิสรเสรี เจ้าก็จะเข้าใจ อะไรคือเต๋าของเจ้า”

ในใจของหวังเป่าเล่อ การไต่ถามของตนเองกับอาจารย์ที่ปรากฏในนิมิตมืด เดิมทีเขาคิดว่าตนเข้าใจแล้ว ต่อมาก็พบว่าตนยังไม่เข้าใจ ก่อนที่จะมาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เขาก็คิดว่าตนเข้าใจแล้วอีกครั้ง

แต่หลังจากนั่งสมาธิ เขาก็พบว่าตนเองยังไม่เข้าใจมัน กระทั่งตอนนี้ขณะกำหนดชะตา เขากำลังสำรวจใจและไตร่ตรอง ในความเลือนลางนั้น ดูเหมือนเขาจะคว้าบางอย่างได้

ภารกิจของสำนักแห่งความมืด ที่แท้คืออะไร

หวังเป่าเล่อเฝ้าถามตนเอง

ภารกิจผิวเผินคือแบ่งหยินหยางแทนเต๋าสวรรค์ เปลี่ยนชีวิต ทำให้วัฏจักรชีวิตของโลกนี้ก่อความสมดุล ให้ผู้มีชีวิตไม่อาจมีชีวิตยืนยาว และให้ผู้ล่วงลับไม่ดำดิ่งไปตลอดกาล

เช่นเดียวกับบทกวีแห่งความมืด

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

อตีตชาติสะสมคุณความดี ชาตินี้ประสบสุข ทำชั่วในชาติก่อน ชาตินี้ทุกข์ระทม เหตุแห่งอดีตชาติส่งผลต่อชาตินี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นี่ไม่ใช่วัฏจักร จะทำให้สิ่งมีชีวิตสิ้นหวัง ดังนั้นบทกวีแห่งความมืดจึงมีประโยคต่อไปนี้

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

ชาตินี้สะสมความดี ชาติต่อไปเป็นสุข ชาตินี้ทำกรรมชั่ว ชาติต่อไปทุกข์ระทม ผลแห่งชาติต่อไปดูได้จากชาตินี้

และบนความเป็นจริงชะตากรรมไม่อาจเปลี่ยนแปรได้ เช่นหวังเป่าเล่อในการกำหนดชะตา วิญญาณดวงแรกที่ถูกเขากำหนดชะตากรรม เขาไม่ได้ทำให้ชะตากรรมสมบูรณ์ทั้งหมด แต่เหลือร่องโอกาสเอาไว้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปร โอกาสนี้พบเจอกับการเปลี่ยนแปรได้แล้ว ก็สามารถแก้ชะตาได้

เพียงแต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าแก้ชะตา  ก็มีหนทางให้เสาะหา

ความจริงก็คือ…ชะตากรรมมากมาย วางไว้ต่อหน้าสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งแล้วแต่จะดำเนินไปเช่นไรเท่านั้น และไม่ว่าจะดำเนินไปเช่นไร ล้วนอยู่ในสภาพการณ์

ฟ้าดินเป็นเช่นกระดานหมาก สิ่งมีชีวิตเป็นตัวหมาก

นี่ก็คือภารกิจครั้งผิวเผินของสำนักแห่งความมืด สำหรับชั้นล้ำลึกนั้นอยู่นอกกระดานหมาก มีเทพเจ้าหลัวเทียนกลายฝ่ามือเป็นตราศิลา ลายมือก่อชะตากรรม เลือดเนื้อเป็นเต๋าสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งหนีไม่พ้นผนึกเดียว

ผนึกชีวิต ผนึกจักรวาล ผนึกทุกสิ่ง

ดังนั้นจึงเกิดการแก่งแย่ง ดังนั้นจึงเกิดการต่อต้าน ดังนั้นจึงเกิดความไม่ยินยอม

เมื่อมองในจุดนี้ สำนักแห่งความมืดไม่ผิด สิ่งมีชีวิตก็ไม่ผิด ตระกูลไม่รู้สิ้น…ในความเป็นจริงก็ไม่ผิดเช่นกัน

ผู้ใดผิด หวังเป่าเล่อไม่คิดจะไปประเมินและไม่ยินยอมไปครุ่นคิด เพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในระหว่างกำหนดชะตา และความหมายชั้นที่สามของภารกิจสำนักแห่งความมืดปรากฏขึ้นในใจแล้ว

นั่นคือ…การอภัย

ไม่ใช่เพื่อหลัวเทียน ไม่ใช่เพื่อเต๋าแห่งความมืด ข้าวาดใบหน้าซากศพข้าเอง ข้าลิขิตชะตากรรมตนเอง เวียนว่ายอยู่ตรงนั้น ย่อมต้องไปเอง แต่…ชะตากรรมของสิ่งมีชีวิต ก็ไกลเกินกว่าที่สำนักแห่งความมืดจะสามารถวางแผน ทำให้คนเข้าใจไปเองว่าเปลี่ยนชะตาได้สำเร็จและทุกสิ่งล้วนอยู่ในความควบคุม แท้จริงแล้วกลับถูกควบคุม จะเป็นการดีกว่าถ้า…เพิ่มความไม่รู้ในชะตากรรม

เส้นทางแห่งความไม่รู้คือเส้นทางที่ไม่ถูกควบคุม เต็มไปด้วยเส้นทางที่ไร้ขีดจำกัดความสามารถ

ให้สิ่งที่ไม่ธรรมดาสามารถเหนือธรรมดา และให้สิ่งที่ธรรมดาสามารถไปได้อย่างปลอดภัย

เต๋า เหตุใดจึงมีเพียงเส้นทางเดียว

หลัวเทียน…บางทีอาจผิดมาแต่แรก ในโลกแห่งศิลานี้ เขาผิด และนอกโลก เขายิ่งผิด คิดอยากจะปกป้อง กลับกลายเป็นควบคุม นั่นเป็นเหตุผลให้มีรุ่นที่โดดเด่นน่าประทับใจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ตัดนิ้วของเขา เดินบนเส้นทางที่เหนือธรรมดาด้วยตนเอง

ดังนั้น จึงมีประโยคหนึ่งในบทกวีแห่งความมืด

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

สิ่งที่หลัวเทียนต้องการทำก็คือ เมื่อกงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง โลกแห่งศิลาก็จะเป็นเช่นนี้ นอกโลกก็จะเป็นเช่นนี้ ทำให้กงล้อแห่งโชคชะตายังคงดำรงอยู่ เป้าหมายของเขาจะเป็นควบคุมก็ดี เป็นการปกป้องก็ช่าง สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญก็คือ…

เต๋าของเขา ผิดพลาดแล้ว

ดวงตาของหวังเป่าเล่อลืมขึ้นทันที ความคิดคืบคลานเข้าไปในจิตใจ เขาไม่รู้ว่าความคิดของตนถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่คือเต๋าที่เขาตระหนักรู้

อภัย

แตกต่างกับเต๋าของศิษย์พี่ ที่เคยเป็นภารกิจแรก เวลานี้เป็นภารกิจขั้นที่สอง

แต่กับเต๋าของอาจารย์มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ทว่าไม่เหมือนกันเลยเสียทีเดียว เพราะเต๋าของอาจารย์ เคยเป็นภารกิจขั้นที่สอง แต่เวลานี้เป็นภารกิจขั้นแรก

“ในการระลึกอดีตชาติปีนั้น เรื่องที่ได้ยินจากบิดาของอีอีที่นั่น กับทุกสิ่งที่ข้าเห็น ทำให้ข้าเกิดคำถาม”

“หลัวเทียน ดูน่าสงสารมาก”

เขาคล้ายกำลังปกป้องบางสิ่ง แต่แล้วกลับกลายเป็นการควบคุม ดังนั้นจึงเกิดการต่อต้าน ดังนั้นจึงเกิดการแย่งชิง”

“จนกระทั่งก่อนหน้านั้น ในภาพลวงตาสะท้อนผ่านสตรีชุดแดง ข้าเห็นผู้ฝึกตน 108 ร่าง…” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ เขาคาดเดาได้ว่า เหตุใดหลัวเทียนต้องการควบคุม

บางที เขาอาจมาจากความว่างเปล่าที่ผู้ฝึกตน 108 ร่างนั้นอยู่ หรือบางทีเขาอาจเป็นศัตรูกับที่นั่น และบางที…เส้นทางที่เขาจะออกเดิน เป็นเช่นเดียวกับร่างตนที่กลายเป็นจักรวาล สำเร็จเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง!

“แต่ไม่ว่าอย่างไร ตั้งแต่ข้าเริ่มครุ่นคิด แม้จะพลาดไปแล้ว ก็ไม่สำนึกเสียใจ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ทันทีที่ยกมือขวาขึ้นสะบัด ทันใดนั้นวิญญาณทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาก็ขยายออก เข็มทิศชะตาของท้องฟ้า ก็หมุนเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กลิ่นไอชะตากรรมสีเทาเป็นสายๆ ร่วงหล่น แทรกสู่ดวงวิญญาณดวงแล้วดวงเล่า ทำให้วิญญาณเหล่านี้ด้านพื้นฐานพลังชีวิต มีชีวิตชีวา มีชะตากรรม ขณะเดียวกัน…ชะตากรรมของพวกเขาก็ไม่สมบูรณ์

เพราะ…ไม่มีเหตุและผล!

วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ วิชาใบหน้าซากศพ ลิขิตชะตา ควบคุมเหตุผล!

ในสี่ขั้นตอนนี้ หวังเป่าเล่อลบขั้นตอนสุดท้ายออก ให้ชะตากรรมของวิญญาณแม้จะถูกลิขิต  แต่เหตุและผลจะเลือกเอง การเลือกสาเหตุทั้งหมด หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของชะตากรรม หากการเปลี่ยนแปลงดำเนินต่อไป จะไม่อยู่ภายในขอบเขตแห่งชะตากรรม!

อภัยทุกสิ่ง ยินยอมทุกอย่าง

“นี่ ก็คือเต๋าที่ข้าพยายามจะเดิน…” ระหว่างพึมพำ ฟ้าดินคำรามก้อง จากนั้นดวงตาหวังเป่าเล่อก็แจ่มใสขึ้น เขาค่อยๆ หยัดกาย

วิญญาณทั้งหมดรอบตัว ต่างเลือกเหตุและผลของตน ชะตากรรมแม้จะยังอยู่ แต่กลับไม่อาจล่วงรู้อนาคต ขณะนี้แวดล้อมด้วยเสียงของฟ้าดิน ทะเลเบื้องล่างปั่นป่วน เผยให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่

รอยแตกแผ่ขยายไม่สิ้นสุด ก้าวข้ามตรงไปยังชั้นต่อไปที่เดิมทีต้องไปควบคุมเหตุและผล จากนั้นจึงเผยให้เห็น…ส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

ที่นั่นมีโลงศพโลงหนึ่ง ที่หน้าโลงมีผู้เฒ่านังขัดสมาธิอยู่!

เวลานี้ ผู้เฒ่าแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาแฝงแววทอดถอนใจ แฝงความปลาบปลื้ม กำลังมองมาทางหวังเป่าเล่อ

“เจ้า เข้าใจแล้วสินะ”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อค้อมคำนับ

“อิสระเป็นตัวแทนชั้นกายเนื้อ เช่นมีผู้ที่ถูกปล่อยจากคุกที่บ้านเกิดข้า จะกล่าวว่าเป็นอิสระนับแต่นี้ และเสรี เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ ท่องไปในโลกกว้างอย่างอิสรเสรี”

“เต๋าของข้า ทำให้ข้าอิสระ ทำให้ใจข้าเสรี และเต๋านี้ จึงเป็นหนทางที่ข้าเลือก”

…………………………