ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 4 สีแดงอันโหดเหี้ยม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทุกคนนอกอารามเต๋าประหลาดใจที่ได้ยินว่าประมุขรองตระกูลถังมา แต่นักพรตไป๋สือรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา

เฉินฉางเซิงเข้าเมืองเวิ่นสุ่ยมาเมื่อวานนี้ การมาถึงของเขาถูกประกาศผ่านดนตรีของอารามในยามสนธยา อย่างไรก็ตาม ตระกูลถังไม่ได้มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด

ทันใดนั้นในเวลาเช่นนี้ตระกูลถังกลับส่งคนมา และยังเป็นประมุขรองตระกูลถังที่มีข่าวลือว่าได้ควบคุมตระกูลถังเอาไว้แล้ว

เห็นได้ชัดว่าตระกูลถังมีคนส่งข่าวในอารามเต๋าและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักพรตไป๋สือ

การที่คนสำคัญอย่างประมุขรองตระกูลถังมาเยี่ยมอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็เพื่อรักษาชีวิตของนักพรตไป๋สือ

ทุกคนหันไปที่เฉินฉางเซิง ต้องการจะรู้ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร เขาจะทำตามจดหมายและประหารนักพรตไป๋สือในนามของสังฆราชเพื่อประกาศอำนาจหรือเขาจะทำตามกฎของนิกายและเลื่อนการลงโทษไปก่อน ในเวลาเดียวกันก็เลี่ยงการขัดแย้งกับราชสำนักและตระกูลถัง

กวนเฟยไป่มองไปที่เฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงจะเลือกอะไร ไม่รู้ว่าเขาต้องการให้เฉินฉางเซิงเลือกเช่นใด

เจ้าเป็นสังฆราชที่แท้จริงแล้ว เจ้ายังคงทำตัวเหมือนกับนักพรตน้อยที่เข้าจิงตูมาครั้งแรกอีกหรือ

เฉินฉางเซิงพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

นี่ยังไม่ห่างจากรุ่งอรุณมากนัก ตะวันยามเช้ายังคงอยู่ที่ปลายแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ไม่สูงไปกว่าผิวน้ำมากนัก

แสงสีแดงของรุ่งอรุณอาบย้อมท้องฟ้าห่างไกล หมู่เมฆถึงกับดูเหมือนกับลุกเป็นไฟ มันไม่ต่างไปจากอาทิตย์อัสดงแต่อย่างใด

เขานึกถึงยามสนธยาที่เขากับถังซานสือลิ่วสนทนาบนต้นไทรใหญ่ภายในสำนักฝึกหลวงซึ่งมีบรรยากาศคล้ายคลึงกันนี้

จากนั้นก็นึกไปถึงนิกายหลวงยามความมืดมิดมาแทนที่แสงสนธยา เขากับถังซานสือลิ่วสนทนากันบนต้นไทรใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

โดยสรุป ในช่วงหลายปีนั้นนับจากพบกันในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ เขากับถังซานสือลิ่วก็มีการสนทนากันมากมาย

ในการสนทนาเหล่านั้น พวกเขาได้พูดคุยกันหลายอย่าง ไม่ใช่แค่นึกถึงเรื่องเก่าแต่ยังเป็นการคาดการณ์ถึงอนาคต

ในแสงสนธยา ทะเลสาบของสำนักฝึกหลวงอาบย้อมไปด้วยแสงสีทอง ปลาคราฟที่กินมากเกินไปค่อยๆ จมลงสู่พื้นโคลน

พวกเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตเช่นนั้น

ในตอนนั้นเซวียหยวนผ้อกำลังต่อยต้นไม้อย่างแข็งขันอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ

ถังซานสือลิ่วพูดกับเฉินฉางเซิงว่า ไม่ว่าจะเป็นลมฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูใบไม้ผลิ เมื่อพวกเขายังเยาว์อยู่ ก็ควรทำตัวตามนิสัยของตน

เซวียนหยวนผ้อได้กลับไปยังเมืองไป๋ตี้และเป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากเขา ถังซานสือลิ่วก็ยังคงสบถใส่ใครก็ตามตามใจตน หรือหากประกาศว่าเขาจะด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นเขาก็ไม่มีทางด่าแค่สิบเจ็ดรุ่นเป็นแน่ เพราะคนที่มีชื่ออยู่ในหอบรรพบุรุษที่เขาถูกขังอยู่ก็คือบรรพบุรุษของเขานั่นเอง

ในการสนทนาครั้งอื่นในคืนหนึ่ง ถังซานสือลิ่วได้กล่าวกับเขาว่าเขาจะได้เป็นสังฆราชในอนาคต

เขาได้กล่าวว่าการเป็นสังฆราชไม่ใช่เรื่องดีนัก

ถังซานสือลิ่วก็บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

ถังซานสือลิ่วเคยบอกเช่นกันว่าในอนาคต สำนักฝึกหลวงจะเป็นรากฐานให้เขากลายเป็นสังฆราช ทำให้เขาทุ่มเทกำลังไปมากมายในการหานักเรียนใหม่เข้ามาในสำนักฝึกหลวง

เจ้าหมอนี่ได้คาดถึงเรื่องในตอนนี้มานานแล้ว เจ้าหมอนี่ช่วยเขารับมือเรื่องต่างๆ มากมายตลอดมา

ตอนนี้เป็นตาของเขาที่ต้องตัดสินใจและรับมือ เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย

……

……

เฉินฉางเซิงดึงสายตากลับมา หันกลับไปและเดินกลับเข้าไปในอาราม

เขาได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนยิ่ง

นักพรตไป๋สือตกใจอย่างมากใช้กำลังทั้งหมดพุ่งตัวไปราวกับสายลม เขาพุ่งตามหลังร่างนั้นในประตูศักดิ์สิทธิ์ หวังจะตายไปพร้อมกัน

แต่เขาก็ไม่อาจที่จะสัมผัสเฉินฉางเซิงได้ด้วยซ้ำ

หนานเค่อยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ้องไปที่เขาด้วยสีหน้าปัญญาอ่อนของนาง

ในสายตาของเขาเด็กสาวคนนี้เป็นมารร้ายที่แท้จริง

เสียงดังหนักทึบสามครั้ง บรรทัดเหล็กของราชันแห่งหลิงไห่ เข็มขัดของอันหลินและกระบี่มารของเจ๋อซิ่วโจมตีใส่นักพรตไป๋สือแทบจะในเวลาเดียวกัน

นักพรตไป๋สือทรุดลงตรงหน้าธรณีประตูศักดิ์สิทธิ์ กระดูกทุกชิ้นแตกหัก เลือดไหลเข้าไปในปอด แดนลี้ลับแตกสลาย ไม่อาจที่จะลุกขึ้นได้อีกเลย

ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความแตกตื่นครุ่นแค้นที่ใกล้ตายเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวนออกจากปาก

เขาต้องการจะแจ้งให้ประมุขรองตระกูลถังที่อยู่นอกป่าให้รู้ รีบมาช่วยข้า!

น่าเสียดาย เขาไม่อาจที่จะส่งเสียงร้องนั่นได้

ทันทีที่ริมฝีปากของเขาเปิดออก ผ้าผืนหนึ่งก็ถูกอุดเข้ามาในปากของเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้า

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยปรากฏข้างกายเขาเมื่อใดไม่ทราบ

มือซ้ายของเขายัดผ้าเข้าไปในปากนักพรตไป๋สือ

ในเวลาเดียวกันมือขวาของเขาก็กำกระบี่สั้นและปักมันใส่หน้าอกของนักพรตไป๋สือ

มันเงียบมาก ดังนั้นเสียงกระบี่สั้นแทงใส่ร่างของเขาจึงชวนให้ขนลุกยิ่งนัก

กระบี่สั้นส่วนหนึ่งปักอยู่ในร่างกายของเขา สงบดั่งกระจกและแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์จางๆ ออกมา

สีหน้าของมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยยังคงสงบนิ่งดูศักดิ์สิทธิ์

ดวงตาของนักพรตไป๋สือเหลือกตามองใจขณะที่เสียงอู้อี้ออกมาจากลำคอ เขายื่นมือและคว้าใส่เสื้อคลุมของมหามุขนายกแต่ก็ล้มเหลว

เขาดิ้นทุรนทุรายราวกับปลาที่ถูกตกขึ้นมาจากแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ไม่อาจหายใจและกำลังจะตาย ไม่อาจที่จะหนีรอดไปได้

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “องค์สังฆราชโปรดพักผ่อนสักครู่ ข้ามั่นใจว่าประมุขรองตระกูลถังมีความอดทนที่จะรอได้สักครู่หนึ่ง”

ตอนที่เขาพูด มือหนึ่งใช้ผ้าอุดปากนักพรตไป๋สือและอีกมือก็จับกระบี่สั้นที่แทงใส่อกนักพรตไป๋สือ

นักพรตไป๋สือยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่ในมือของเขา

เสียงของมหามุขนายกไม่สั่นแม้แต่น้อย แต่ยังคงสงบและถึงกับถ่อมตนอยู่บ้าง

อันหลินไม่อาจทนดูอีกต่อไปและหันหน้าไป

อีกด้านหนึ่งราชันแห่งหลิงไห่ดูเหมือนจะพึงพอใจอยู่บ้าง แทบจะเอ่ยปากชมออกมา

ประตูศักดิ์สิทธิ์ปิดลงช้าๆ

ตอนที่มันเกือบจะปิดนั่นเอง กวนเฟยไป๋เห็นมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยลากนักพรตไป๋สือเข้าไปในป่า ในเวลาเดียวกันก็จิ้มกระบี่สั้นใส่ร่างนักพรตไป๋สืออีกสองสามครั้ง

จิ้ม ไม่ใช่แทง

แทงนั้นใช้ในการต่อสู้ ส่วนจิ้มนั้นเป็นการเชือดสัตว์

หางตาของกวนเฟ๋ยไป๋กระตุก

ในครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้เป็นพยานในเหตุการณ์ใหญ่ของนิกายหลวง

เขารู้ว่ามหามุขนายกที่นิกายหลวงส่งมาเมืองเวิ่นสุ่ยและสามารถดำรงตำแหน่งมานานย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

แต่เขาไม่อาจนึกถึงและไม่อยากที่จะยอมรับว่ามหามุขนายกที่สุขุมนุ่มลึกมีมารยาทจะกลายเป็นเหมือนคนบ้าในช่วงเวลาพิเศษบางขณะ

หากนิกายหลวงมีคนมากมาย ไม่ต่อให้แค่ไม่กี่คนเป็นแบบเขา นั่นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

……

……

นักพรตไป๋สือเป็นมหามุขนายกตำหนักวัฒนธรรมนิกายหลวง เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง เขาย่อมเป็นคนที่สำคัญอย่างมากในแผนของซางสิงโจวโดยไม่ต้องสงสัย

วันนี้เขาได้ตายลง ตายลงในอารามเต๋าแห่งเมืองเวิ่นสุ่ย

การถูกยั่วยุครั้งใหญ่เช่นนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องตอบโต้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะที่นี่คือเวิ่นสุ่ย เวิ่นสุ่ยที่ลึกล้ำยากหยั่งถึง เวิ่นสุ่ยของตระกูลถัง

การตายของนักพรตไป๋สือทำให้จุดยืนของนิกายหลวงกับเฉินฉางเซิงนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง พวกเขาพร้อมที่จะแตกหักกับตระกูลถัง

ทุกคนรู้ว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยนั้นร่ำรวยที่สุดในต้าลู่ ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่แต่อันที่จริงความแข็งแกร่งที่ตระกูลถังซ่อนเอาไว้นั้นเหนือว่าที่ทุกคนจะคาดคิดได้

ประวัติศาสตร์ของตระกูลถังนั้นยาวนานเกินไป

สามปีก่อนที่การยึดอำนาจในสุสานเทียนซู ตระกูลถังได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง แต่มีน้อยคนนักที่ได้รู้

หากไม่ใช่เพราะการที่ตระกูลถังคิดหาวิธีทำลายผังลายจักรพรรดิได้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่คงยังนั่งครองบัลลังก์อยู่

ในตอนนี้ความลับของหอความลับสวรรค์ได้ตกอยู่ในการควบคุมของอารามฉางชุนเมืองลั่วหยาง สินทรัพย์และกิจการส่วนใหญ่ถูกส่งให้ตระกูลถัง ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

เบื้องหลังของขุมกำลังอย่างตระกูลถังย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ นิกายหลวงกับราชสำนักก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ว่าตามเหตุผล แม้ว่าตระกูลถังจะใกล้ชิดกับราชสำนักมากกว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นิกายหลวงก็ไม่ควรแสดงท่าทีอันดุดันเช่นนี้

กล่าวได้ว่าคนเขียนจดหมายมีความเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิงลึกซึ้งอย่างมาก

เขาหรือนางรู้ว่าเฉินฉางเซิงต้องนำตัวถังซานสือลิ่วออกจากหอบรรพบุรุษ

หากเรื่องนี้ไม่เปลี่ยน ไม่ว่านิกายหลวงจะปฏิบัติต่อตระกูลถังอย่างอบอุ่นเพียงใด การแตกหักก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี