เมื่อความแตกหักต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทำไมไม่ทำมันในจังหวะที่แข็งขันที่สุด
หากนี่เป็นกระดานหมากรุก ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเป็นแค่การเดินหยั่งเชิงเพื่อบอกว่าพระราชวังหลีได้มีส่วนต่อต้าลู่อีกครั้งหนึ่ง
การเดินหมากที่สองในเมืองเวิ่นสุ่ยเป็นหมากตัดสิน เป็นหมากที่กำหนดเป็นตาย
คนเขียนจดหมายต้องการจะใช้เรื่องถังซานสือลิ่วทำให้เฉินฉางเซิงแสดงท่าที่แข็งกร้าวที่สุดออกมา
ท่าทีนี้ก็เพื่อให้ตระกูลถังได้เห็น แต่ไม่ใช่ให้ประมุขรองตระกูลถังดู
แม้ว่าสาขาหลักจะเสียอำนาจไปแล้ว ตระกูลถังก็ยังเป็นตระกูลถังของประมุขผู้เฒ่า
คนเขียนจดหมายกำลังเดิมพันกับการตัดสินใจของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังว่าจะทำอย่างไรต่อท่าทีแข็งกร้าวของนิกายหลวง
ปัญหาสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสถานการณ์ของตระกูลถังช่วงสองปีมานี้ได้พิสูจน์แล้วว่าประมุขผู้เฒ่าได้สนับสนุนพวกสาขารอง พูดอีกอย่างหนึ่งเขาได้ตัดสินใจเลือกระหว่างซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงแล้ว แล้วคนอย่างประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะเปลี่ยนท่าทีเพียงเพราะนิกายหลวงแสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างนั้นหรือ
……
……
ก่อนจะพบประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง นิกายหลวงต้องเผชิญหน้ากับประมุขรองตระกูลถังก่อน
ชายวัยกลางคนที่มีข่าวลือว่าได้ควบคุมตระกูลถังเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้วผู้นี้ย่อมเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอำนาจที่สุดในต้าลู่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตรงหน้าอารามเต๋าที่เงียบงัน เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง
บางทีมันเป็นเพราะมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเช่นปกติ ยิ่งไม่ประจบเอาใจเขา
มหามุขนายกดูเหมือนจะทำกับเขาเหมือนผู้ศรัทธาวัยกลางคนทั่วไปที่มาเพื่อแสดงถวายสักการะต่อองค์สังฆราช
ในช่วงเช้าตรู่ มหามุขนายกแห่งนิกายหลวงสามท่านกับทหารม้าหนึ่งร้อยนายได้เข้าสู่เมืองเวิ่นสุ่ย
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาจากอารามเต๋า
มันเป็นตอนที่ประมุขรองตระกูลถังมาถึงบันไดหินและแจ้งว่าเขามาเพื่อถวายสักการะต่อสังฆราช
มหามุขนายกได้ส่งข้อความให้กับเขา แล้วจากนั้นก็บอกว่าสังฆราชเพิ่งตื่นและกำลังล้างหน้าล้างตาจึงจำเป็นต้องรอไปก่อน
นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้ว่าประมุขรองตระกูลถังจะรู้ว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง เขาก็จำเป็นต้องรออยู่ที่ตีนบันไดต่อไป
แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะต้องรอนานครึ่งค่อนวัน แสงแดดยามเช้าขับไล่หมอกในป่าแล้วก็เปลี่ยนเป็นแสงแดดอบอุ่นที่หาได้ยากในฤดูหนาว
เมื่อเวลาผ่านไป สองผู้พิทักษ์และผู้ติดตามหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังประมุขรองตระกูลถังก็เริ่มมีสีหน้าน่าเกลียด
เมื่อสังฆราชมาถึงเวิ่นสุ่ย ตระกูลถังย่อมต้องส่งคนมาพบ แต่ทำไมประมุขรองตระกูลถังถึงต้องรอเป็นเวลานานเช่นนี้ หรือว่าจะแสดงอำนาจต่อหน้าตระกูลถังกันแน่
หากไม่ใช่เพราะประมุขรองตระกูลถังยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา พวกเขาคงเริ่มก่อความวุ่นวายแล้ว
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเมืองเวิ่นสุ่ย ในบางแง่มุม ผู้นำตระกูลถังจึงเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของที่แห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิไท่จงหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ผู้เหี้ยมโหดเข้ามาในเมือง โองการของพวกเขาก็ไม่มีผลหากเท่ากับคำพูดประโยคเดียวของผู้นำตระกูล
ในสายตาของพวกเขา ประมุขรองตระกูลถังเป็นตัวแทนของตระกูลถัง ดังนั้นแม้แต่สังฆราชก็ไม่อาจดูหมิ่นเขาได้!
ประมุขรองตระกูลถังไพล่มือไว้ด้านหลัง เขารออยู่ที่ตีนบันไดครึ่งค่อนวัน อย่าว่าแต่โมโห แค่สีหน้าหงุดหงิดร้อนใจก็ยังไม่มีให้เห็น
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีอารมณ์ที่สงบนิ่ง
อันที่จริงแล้วอารมณ์ของเขานั้นค่อนข้างแย่ทีเดียว
ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูเมื่อสามปีก่อน เขามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง คนทั่วไปไม่รู้เรื่องนี้แต่ทุกคนที่มีสิทธิ์รู้ต่างก็รู้ดี
นับจากตอนนั้น เขาก็กลายเป็นคนสำคัญของต้าลู่ที่มีความสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้กลายเป็นประมุขของเมืองเวิ่นสุ่ย ทุกคนก็รู้ว่าวันนั้นย่อมอยู่ไม่ไกล
ยิ่งไปกว่านั้นประมุขผู้เฒ่าได้มอบทั้งกิจการของตระกูลและเรื่องภายในตระกูลให้เขาดูแลแล้ว
เขาได้กลายเป็นประมุขของเมืองเวิ่นสุ่ยโดยพฤตินัยแล้ว
และหลังจากถังซานสือลิ่วถูกขังอยู่ในหอบรรพบุรุษเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่มีใครกล้าที่จะตั้งคำถามเขาอีก ไม่แม้แต่เมืองเสวี่ยเหล่า
แม้แต่ตอนที่เขาไปพบจักรพรรดิในเมืองจิงตูเมื่อเดือนก่อน เขาก็ยังเดินตรงเข้าสู่ตำหนักโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า!
แล้วใครกันจะกล้าจงใจให้เขารอเป็นเวลานาน
การลอบสังหารเจ้าในเทือกเขานั่นเป็นเรื่องโชคร้ายอย่างแท้จริง และข้ายังปล่อยให้เจ้าเข้าเมืองเวิ่นสุ่ย เจ้าโง่ไป๋สือ ปล่อยให้ตัวเองถูกจับผิดได้อย่างไร แต่ต่อให้เจ้าเข้ามาเวิ่นสุ่ยแล้ว เจ้าจะทำอะไรได้นอกจากอาละวาดเหมือนเด็กน้อย สังฆราชผู้ยิ่งใหญ่…เจ้าคิดว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆ หรือ
ประมุขรองตระกูลถังคิดอย่างดูหมิ่นด้วยสีหน้าสุขุมในขณะมองไปยังหลังคาอารามซึ่งอยู่ภายในป่า
เมื่อเขาคิดถึงคำสุดท้าย เขาก็พบว่ามันค่อนข้างสนุกทีเดียว มุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเขาชื่นชมความฉลาดของตน
ในอดีตมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยข้างกายเขาย่อมต้องถามอย่างมีไหวพริบและใส่ใจว่าประมุขรองตระกูลถังยิ้มด้วยเหตุใด
แต่วันนี้ต่างออกไป มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมองเขาอย่างจริงจังและกล่าว “ท่านถังอย่าได้ลืมมารยาท”
รอยยิ้มของประมุขรองตระกูลถังพลันหายไป เขาไม่อาจทนนิ่งเงียบได้อีกต่อไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าแข็งทื่อ
ในตอนที่ความอดทนทั้งหมดกำลังจะหายไป อารามเต๋าก็ส่งข้อความมาในที่สุด
ประมุขรองตระกูลถังกับพวกก้าวขึ้นบันไดไป เดินผ่านป่าที่เงียบงันและมาถึงนอกประตูศักดิ์สิทธิ์ มองขึ้นไปเห็นต้นสาลี่
ไม่มีคนอยู่ใต้ต้นสาลี่ ไม่มีหิมะหรือดอกไม้ขาวดุจหิมะบนพื้น บางคนได้ทำความสะอาดพื้นหินเมื่อไม่นานมานี้ ทิ้งไว้แต่พื้นหินเปียกแต่สะอาด บางทีอาจมีเลือดเปื้อนก่อนหน้านี้
ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยเมฆและดวงอาทิตย์ฤดูหนาวยังคองส่องแสงอบอุ่น ยังมีเวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนที่ราตรีจะมาเยือน แต่โคมไฟมากมายภายในหอได้ถูกจุดขึ้นแล้ว
หากยืนอยู่นอกประตูศักดิ์สิทธิ์แล้วมองเข้าไปก็จะเข้าใจผิดไปว่ามีทะเลดวงดาวอยู่ภายในนั้น
ประมุขรองตระกูลถังเดินเข้าไปในประตูศักดิ์สิทธิ์
สองผู้พิทักษ์และองครักษ์ตระกูลถังเตรียมที่จะเดินตามไป แต่พวกเขาถูกหยุดเอาไว้
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยมองไปที่คนพวกนั้นจากตระกูลถังและกล่าวอย่างสุขุม “อย่าได้วิ่งไปทั่วป่า ไม่อย่างนั้นอาจตายได้”
ในยามที่เขาพูด นักบวชหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นในสวนหลังริมแม่น้ำ โซ่ใหญ่หนาสองเส้นลอยขึ้นเหนือผิวน้ำและกั้นแม่น้ำเอาไว้
ตามกฎตระกูลถัง บนแม่น้ำเวิ่นสุ่ยจึงไม่มีเรือ แต่อารามเต๋าก็ยังเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับความเป็นไปได้
ประมุขรองตระกูลถังมองไปที่ทะเลดวงดาวที่เกิดจากโคมไฟอยู่เงียบๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นบอกผู้ติดตามให้รอ
หลังจากข้ามธรณีประตู เขาก็มาถึงพื้นที่เงียบสงบตรงหน้าหอและเห็นราชันแห่งหลิงไห่กับอันหลิน
สองมหามุขนายกยืนอยู่บนบันไดหินตรงหน้าหอ ดูเหมือนกับรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์สองรูป
ประมุขรองตระกูลถังทักทายพวกเขา จากนั้นก็อ้าปากขึ้นช้าๆ
เขากำลังหัวเราะแต่ไม่มีเสียงออกมา
นี่เป็นการแสดงออกตามปกติของเขา ในบางครั้งผู้คนมองว่ามันน่าขัน บางครั้งก็น่ากลัวผิดปกติ แต่ไม่ว่าเมื่อใดมันก็เปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยันต่อโลกนี้
ราชันแห่งหลิงไห่มองดูเขาอย่างเฉยชาราวกับกำลังมองดูคนปัญญาอ่อน
อันหลินพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับการทักทายแล้วก็ไม่สนใจเขา
ประมุขรองตระกูลถังค่อยๆ หยุดหัวเราะแล้วกล่าว “ใช้สองมหามุขนายกเฝ้าประตู มีสังฆราชองค์ใดเคยทำมาก่อนหรือไม่”
เขาไม่รอคำตอบ ปัดแขนเสื้อเบาๆ แล้วผลักประตูเข้าไป
โคมไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดอยู่ในหอ ลำแสงสว่างสดใสส่องลงมาบนใบหน้าของเขา
เขาดูคล้ายกับถังซานสือลิ่ว ต่างก็มีใบหน้าหล่อเหลา แต่เขาดูเฉยชายิ่งกว่า
ขณะต่อมาความเฉยชานั้นก็หายไปในที่สุด เปลี่ยนเป็นอารมณ์ที่ยากจะบรรยายได้
เบาะรองนั่งถูกวางอยู่กลางอาราม
เป็นธรรมดาที่มันมีไว้ให้คนนั่ง