ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 6 ข้าคิดถึง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เบาะรองนั่งไม่เก่าไม่ใหม่ ไม่หนาไม่บาง เป็นแบบที่สามารถหาได้ทั่วไปในอารามหรือหอบรรพบุรุษ

ประมุขรองตระกูลถังประเมินเบาะรองนั่งนี้อย่างเงียบๆ

ในยามกราบกราน เบาะรองนั่งจะอยู่ระหว่างหัวเข่ากับพื้นแข็งทำให้กระบวนการสบายขึ้นมาก

แต่ใครที่เขาต้องคุกเข่าให้

แน่นอนว่าต้องเป็นสังฆราช

โคมไฟนับไม่ถ้วนแขวนอยู่ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าราตรี ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางโคมไฟเหล่านั้น

ประมุขรองตระกูลถังไม่พูดอะไร หรือได้ยินใครพูดอะไร

ความเงียบในห้องโถงดำเนินต่อไป

ดวงตาของประมุขรองตระกูลถังหรี่ลงช้าๆ

เขาเคลื่อนไหวในที่สุด เขาเดินไปที่เบาะรองนั่ง ใช้สองมือยกชายเสื้อด้านหน้าขึ้น และคุกเข่าลงกราบช้าๆ

การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้าและประณีต นับจากยกชายเสื้อขึ้นจนถึงคุกเข่าแล้วก้มไปข้างหน้า ต่างก็ใช้เวลานานทีเดียว

ช่วงเวลานี้เพียงพอที่จะให้เขาคิดอะไรมากมาย

ได้ยินมาว่าหลายปีก่อน อดีตสังฆราชก็มายังเวิ่นสุ่ยแต่บิดาเคยต้องคำนับต่ำตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เจ้าเป็นคนรุ่นเดียวกับถังถัง ดังนั้นข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะรับการคำนับจากข้าได้อย่างไร

ต่อให้เจ้าไม่เรียกข้าว่า ‘อารอง’ เจ้าก็ควรบอกว่าไม่จำเป็นต้องคำนับ

นี่เป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ และสำหรับประมุขรองตระกูลถังแล้ว มันเรียกได้ว่ายาวนานไร้ที่สิ้นสุด

เนื่องจากมันยาวนานจนเขาสามารถคิดได้มากมาย ก็เป็นธรรมดาที่มีเวลาพอให้ชายหนุ่มในเงามืดกล่าววาจา

แล้วทำไมข้าไม่ได้ยินอะไรจากเจ้าเลย

เขาถึงกับคิด หรือว่าข้าพลาดคำพูดไป

บางทีเสียงเขาอาจเบามากหรืออาจพูดแล้วฟังไม่ออก

ไม่ อารามเงียบแบบนี้ต่อให้เสียงที่เบาที่สุดก็ยังได้ยิน

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้เข่าของเขากระทบกับเบาะรองนั่งในที่สุด เสียงผ้าเสียดสีกันเบาๆ ดังขึ้น

แต่ในหูของเขา มันดังเหมือนกับเสียงฟ้าฟาด

……

……

ประมุขรองตระกูลถังคุกเข่าต่อหน้าเฉินฉางเซิงเช่นนี้เอง

จนถึงตอนที่มันเกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะเชื่อ

เขาไม่กล้าเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะไม่พูดกับเขาว่าไม่จำเป็นต้องคำนับ

เขาไม่กล้าเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะรับการคำนับจากเขาอย่างสุขุม

เสียงหัวเข่ากระทบเบาะรองนั่งค่อยๆ จางหายไป เสียงทั้งหมดในห้องโถงหายไป ทิ้งไว้แต่ความเงียบ มีแค่เพียงเสียงโคมไฟส่ายไหวในสายลมให้ได้ยิน

ประมุขรองตระกูลถังคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่ง หัวใจเย็นเยียบลงเรื่อยๆ สีหน้ายิ่งมายิ่งเฉยชา

จากนั้นเขาก็ยืนขึ้น

เขาได้คุกเข่าราวกับภูเขาค่อยๆ ถล่มลงแต่เขาลุกขึ้นราวกับดวงตะวันลอยขึ้นจากน้ำยามรุ่งอรุณ ตรงไปตรงมาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

เขาลุกขึ้นยืนเอง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการไม่เคารพต่อนักปราชญ์ แต่เขาในตอนนี้โมโหอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะไม่สนใจมัน

เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างเฉยชา “ขอพบองค์สังฆราช”

เขาแค่พบสังฆราชไม่ได้ถวายสักการะ

อารามเต๋ายังคงเงียบงัน โคมไฟนับไม่ถ้วนส่ายไหวในสายลม ส่งเสียงราวกับทะเลต้นสนบนเทือกเขา

เฉินฉางเซิงมองดูประมุขรองตระกูลถังเงียบๆ มองอยู่เป็นเวลานาน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นประมุขรองตระกูลถัง

ไม่ว่าจะช่วงการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู หรือการสังหารโจวทงบนถนนหิมะ เขากับประมุขรองตระกูลถังไม่เคยได้พบกันเลยสักครั้ง

ประมุขรองตระกูลถังนั้นดูคล้ายกับถังซานสือลิ่วมาก ต่างก็มีใบหน้าหล่อเหลา นิสัยเย็นชา มีกลิ่นอายสูงศักดิ์ แต่ใบหน้าของประมุขรองตระกูลถังนั้นมีความมืดมนแต้มอยู่

“เมื่อได้เห็นท่าน ข้าย่อมคิดไปถึงเขา เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบหน้าเขา” เฉินฉางเซิงกล่าว “ยิ่งนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดถึงเวลาที่มีเขาอยู่ข้างกายมากขึ้น เขาช่วยทำเรื่องต่างๆ มากมายให้กับข้าในตอนนั้น”

ประมุขรองตระกูลถังถาม “เช่นใดหรือ”

เฉินฉางเซิงก้าวออกมา เดินออกจากแสงไฟสั่นไหวมาหาประมุขรองตระกูลถัง

“อย่างเช่น…ในตอนนี้เขาคงบอกกับท่านว่า ‘ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นหรือยัง แล้วทำไมเจ้าถึงได้ลุกขึ้น’ ”

……

……

มีน้อยคนนักที่จะได้กลายเป็นสังฆราชโดยไม่ได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เฉินฉางเซิงมีความแข็งแกร่งที่จำกัด ไม่สำคัญว่าเขาจะมีพรสวรรค์เพียงใดก็ตาม

ประมุขรองตระกูลถังรู้เรื่องนี้ดี แต่เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มเดินออกมาจากเงาและทะเลดวงดาว เห็นใบหน้าสงบเยือกเย็นและได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างไม่อาจบรรยายได้ มันเหมือนกับเทือกเขาหรือทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ร่วงลงมายังเวิ่นสุ่ย ก่อให้เกิดคลื่นมากมายในใจของเขา!

ตอนนี้เองที่เขาตระหนักได้ในที่สุดว่าไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เฉินฉางเซิงก็คือสังฆราช และประมุขรองตระกูลถังก็ยืนอยู่ตรงหน้าสังฆราช

การตระหนักรู้นี้ทำให้เขาอึดอัดอย่างมาก เช่นเดียวกับที่เฉินฉางเซิงใช้น้ำเสียงถังซานสือลิ่วเพื่อกล่าวคำพูดนั้นกับเขา

‘ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นหรือยัง’

หากถังซานสือลิ่วอยู่ที่นี่วันนี้ เขาย่อมพูดแบบนี้ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย เขาอาจพูดรุนแรงกว่านี้ด้วยซ้ำ

ประมุขรองตระกูลถังหรี่ตาอีกครั้งหนึ่ง

เขาย่อมไม่คุกเข่าลงอีกครั้ง เขายิ้มอย่างเยาะเย้ยเล็กน้อยไม่พูดอะไร

ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ ถังซานสือลิ่วถูกขังอยู่ในหอบรรพชน เขาไม่อาจปรากฏตัวข้างกายเจ้า

“ข้าให้คนเตรียมเบาะรองนั่งนี้ไว้”

เฉินฉางเซิงมองไปที่เบาะรองนั่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกลับไปที่ประมุขรองตระกูลถังแล้วกล่าวต่อ “เพราะข้าหวังว่าท่านจะเตรียมเบาะรองนั่งที่อ่อนนุ่มให้เขาเช่นกัน หลังจากถูกกักอยู่ในจวนเก่ามาสองปีครึ่งและขังอยู่ในหอบรรพชนอีกครึ่งปี ด้วยนิสัยของเขา เขาต้องถูกบีบให้คุกเข่าเป็นการลงโทษเป็นเวลานาน หากไม่มีเบาะรองนั่ง คงจะยากทนรับได้”

ประมุขรองตระกูลถังตอบอย่างเรียบเฉย “เขาเป็นทายาทตระกูลถังของข้า ย่อมต้องมีผู้อาวุโสในตระกูลคอยดูแลเขา องค์สังฆราชไม่จำเป็นต้องกังวล”

เฉินฉางเซิงตอบ “เขาเป็นเพื่อนข้า เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่กังวล”

ได้ยินเช่นนี้ ประมุขรองตระกูลถังก็เลิกคิ้วขึ้น “องค์สังฆราชกังวลเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยนี้หรือ”

เฉินฉางเซิงตอบ “สำหรับข้านี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก”

ประมุขรองตระกูลถังย้อนกลับอย่างก้าวร้าว “นี่สำคัญยิ่งกว่าอนาคตของพระราชวังหลีอีกหรือ”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าคิดว่าบางทีประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับท่านอาจเข้าใจผิด การที่ข้ามาเมืองเวิ่นสุ่ยไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชวังหลี ข้ามาเพื่อเขาเท่านั้น”

ประมุขรองตระกูลถังถามด้วยความเย้ยหยันเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ หรือว่าองค์สังฆราชต้องการเพียงแค่รับตัวเขาไป ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดกับตระกูลถังของข้า”

เฉินฉางเซิงตอบ “ถูกต้อง”

“องค์สังฆราชคิดว่าเรื่องนี้น่าขันหรือไม่ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านถึงทำราวกับล้อเล่นเช่นนี้”

ประมุขรองตระกูลถังพบว่าความคิดนี้ช่างบ้าบอสิ้นดี เจ้าคิดว่าหากเจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าจะสามารถทำให้โลกนี้เชื่อว่านิกายหลวงไม่มีเจตนาเล่นงานตระกูลถังอย่างนั้นหรือ

ยิ่งเขาคิดเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าคำพูดของเฉินฉางเซิงนั้นน่าขัน ทำให้เขาหัวเราะ

เมื่อพูดถึงหัวเราะ ก็ควรเติมคำ ‘ฮ่าฮ่า’ หรือบอกว่าเขาหัวเราะเสียงดัง เพราะการหัวเราะนั้นย่อมเกิดเสียง

แต่ทุกคนรู้ว่าประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียง ไม่ว่ามันจะเป็นการหัวเราะเล็กน้อยหรือหัวเราะครั้งใหญ่

เขาแค่อ้าปาก ดูเหมือนกับละครใบ้ของเมืองเสวี่ยเหล่าแสดงเรื่องราวที่แปลกประหลาด เย้ยหยันคนอื่นและโลกนี้อย่างสุดใจและเงียบงัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงเห็นการหัวเราะไร้เสียงอันเลื่องชื่อของประมุขรองตระกูลถัง

เขาไม่คิดว่ามันน่าขัน หรือคิดว่ามันน่ากลัว มันแค่น่าเกลียด แล้วยังดูเจ็บปวดอย่างมาก เหมือนกับห่านอ้วนรอให้ป้อนอาหารแต่จบลงด้วยความตายด้วยการถูกลวดเหล็กรัดคอ

“ข้าคิดถึงเพื่อคนนี้มากขึ้นไปอีก หากเขาอยู่ที่นี่ เขาคงพูดว่า…’ เจ้าเป็นใบ้หรือไง ทำไมการหัวเราะถึงได้เจ็บปวดกับเจ้านัก’ ”

เฉินฉางเซิงกล่าวโดยไม่มีการเยาะหยันแม้แต่น้อย มีแค่ความคิดถึงจางๆ เท่านั้น