ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 7 ไร้การอนุญาตจากข้า พระอาทิตย์ก็ไม่อาจตกหลังเทือกเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ใบหน้าหัวเราะประมุขรองตระกูลถังค่อยๆ แข็งทื่อ เขามองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วถาม “องค์สังฆราชตั้งใจจะหยามหยันตระกูลถังอย่างนั้นหรือ”

สายตาของเฉินฉางเซิงจับจ้องไปยังที่แห่งหนึ่งนอกห้องโถงแล้วตอบ “ข้าไม่เคยคิดเรื่องการหยามหยันผู้ใดทั้งนั้น แต่คนผู้นั้นมักจะตีความความตั้งใจของข้าผิดเพี้ยนไปเพื่อสนองความคิดร้ายของตน ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้เขาย่อมต้องพูดว่า ‘ข้าหยามหยันเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลถัง เพราะเจ้ามีสิทธิ์เป็นตัวแทนตระกูลถังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’ ”

นี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด

แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะยืมชื่อถังซานสือลิ่วมาพูดเช่นนี้ มันก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำถามที่เขาต้องการจะถาม

นิกายหลวงไม่ยอมรับว่าสาขารองจะสืบทอดตระกูลถังและไม่ยินยอมที่จะเจรจาด้วยซ้ำ ยังคงสนับสนุนสาขาหลักอย่างหนักแน่น

นี่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าวันนี้ประมุขรองตระกูลถังยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความเป็นไปได้อื่น เมื่อเห็นได้ชัดว่าราชสำนักมีอำนาจสูงและสาขาหลักตระกูลถังกำลังตกต่ำถึงขีดสุด บางทีพระราชวังหลีอาจยอมละทิ้งความคิดดั้งเดิมและเปลี่ยนมาเข้าใกล้เขาผู้เป็นคนดูแลตระกูลถังตัวจริง

หากเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง ตระกูลถังยิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้น สามารถที่จะกระทำการได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น และจะได้รับผลกำไรมากขึ้นไปอีก

คำพูดของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ประกาศชัดว่าความเป็นไปได้นั้นไม่เคยมีอยู่จริง

ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้ผิดหวังเกินไป แต่รู้สึกกดดันมากขึ้นอีกครั้ง

การประกาศนี้หมายความว่าหากเขาต้องการที่จะกลายเป็นประมุขของตระกูลถัง เขาก็ต้องผ่านด่านเฉินฉางเซิงให้ได้ก่อน

แม้ว่าเขาจะมั่นใจมากและได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักและซางสิงโจวอย่างเต็มที่ แต่คู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้คือนิกายหลวงทั้งหมด

“ข้าไม่มีความปรารถนาจะหยามหยันตระกูลถัง และอันที่จริงข้าก็ไม่มีความปรารถนาที่จะหยามหยันท่าน ข้าแค่ไม่ชอบใบหน้าหัวเราะของท่านเท่านั้น”

เสียงของเฉินฉางเซิงยังคงสงบอย่างมาก เหมือนกับสีหน้าของเขา

มันออกจะไม่สุภาพอยู่บ้างที่พูดต่อหน้าเขาเช่นนี้ แต่อย่างน้อยมันก็จริงใจ

“หวังผ้อก็ไม่ชอบใบหน้าหัวเราะของข้าเช่นกัน…ครั้งแรกที่เขาเห็นข้าหัวเราะแบบนี้ในจวนเก่า เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าต่อยหน้าข้า”

ประมุขรองตระกูลถังกล่าวต่อ “แต่ต่อให้เขาในตอนนี้จะเป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ยังสามารถหัวเราะแบบนี้และเขาก็ไม่อาจที่จะหยุดข้าได้ องค์สังฆราชหากท่านไม่ชอบวิธีหัวเราะของข้าจริงๆ ก็หลับตาเสียไม่ก็พยายามทำความคุ้นเคยเข้าไว้”

เทียบกับคำพูดของเฉินฉางเซิง ท่าทีของเขานั้นไม่สุภาพและเด็ดขาดยิ่งกว่า

ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนและเรียบง่าย

‘พระราชวังหลีไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลถัง และไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นอย่าได้แสร้งเป็นว่าเจ้าไม่รู้หรือ…อดทน’

……

……

อารามเต๋าของเวิ่นสุ่ยไม่ว่าจะเป็นหอหลักหรือหอหลัง ต่างก็ยิ่งใหญ่โดดเด่น เทียบได้กับตำหนักของพระราชวังหลี

นี่เป็นเพราะตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยได้บริจาคสมบัติมากมายให้กับนิกายหลวงมานานนับปีไม่ถ้วน

บางทีเพราะเหตุนี้ ผู้พิทักษ์และผู้ติดตามจากตระกูลถังจึงไม่ได้มองอารามด้วยความเคารพ แต่กลับมองมันเป็นสมบัติของตระกูลอย่างภาคภูมิใจ

เวลาผ่านไประยะหนึ่งนับตั้งแต่ประมุขรองตระกูลถังเข้าสู่โถงหลัง แต่ไม่มีเสียงดังออกมาจากข้างใน สีหน้าของสองผู้พิทักษ์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในขณะที่ผู้ติดตามต้องการจะบุกเข้าไปยิ่งกว่าสิ่งใด

หากไม่ใช่เพราะสองมหามุขนายกยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก หากสังฆราชไม่ได้อยู่ข้างใน หากสิ่งต่างๆ ยังเป็นเช่นปกติ คนของตระกูลถังคงลงมือไปแล้วจริงๆ

ผู้พิทักษ์ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นความระแวดระวังและไม่สบายใจในดวงตาของอีกฝ่าย ข้อความถูกส่งออกไปจากป่าด้วยวิธีที่ไม่อาจตรวจจับได้

ไม่มีเสียงลมโหยหวนดังออกมาจากป่า แต่มีคลื่นพลังปราณแผ่วเบาอย่างมากที่แม้แต่ค่ายกลของอารามก็ไม่อาจที่จะสัมผัสได้

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ย นักบวชหลายสิบคน และทหารม้ามากมายที่ยืนเฝ้ายามอยู่ในที่แห่งนี้

บนต้นไม้ต้นหนึ่งในป่า เจ๋อซิ่วกอดกระบี่ธงชัยของผู้บัญชาการมาร ดวงตาปิดสนิท เขาดูเหมือนกำลังพักผ่อน แต่ดวงจิตของเขาได้ติดตามคลื่นพลังปราณนั้นอยู่ตลอดเวลา

หากตระกูลถังกล้าทำเรื่องผิดสาหัสเช่นนี้จริง สองผู้พิทักษ์และคนที่พวกเขานำมาก็จะพบว่าไม่อาจที่จะฝ่าเข้าหอหลังได้ เพราะราชันแห่งหลิงไห่กับอันหลินอยู่ที่นั่น และคนที่ซ่อนอยู่ในป่าก็ย่อมถูกสังหารอย่างรวดเร็ว

ตระกูลถังย่อมไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ การเตรียมการที่แท้จริงย่อมมาจากอีกทิศทางหนึ่ง

สวนหลังของอารามติดแม่น้ำเวิ่นสุ่ย อีกฝั่งแม่น้ำเป็นตลิ่งยาว ด้านหลังตลิ่งเป็นร้านอาหารและบ้านเรือน

บ้านสองหลังถูกแบ่งด้วยระยะห่างสองร้อยจั้ง ประตูปิดสนิทและจุดไฟสลัว มีคนมากมายซ่อนอยู่ข้างใน เช่นเดียวกับกล่องเหล็กหนักหลายใบ กล่องเหล็กพวกนี้บรรจุขวานทลายภูผา อาวุธที่ออกแบบโดยตระกูลถังที่มักใช้เพื่อตัดเล็บเท้าแหลมคมแข็งแกร่งของหมาป่าเผ่ามารในสนามรบ อย่างไรก็ตามวันนี้มันมีไว้ใช้ตัดโซ่หนาที่ลอยอยู่บนแม่น้ำเวิ่นสุ่ย

เมื่อโซ่พวกนั้นถูกตัด ผิวแม่น้ำเวิ่นสุ่ยที่สงบมาเป็นเวลาหลายปีก็จะมีเรือรบหลายสิบลำเข้ามา แต่ละลำบรรจุไว้ด้วยหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์

ท่อระบายน้ำนำไปสู่อารามเต๋าอัดเต็มไปด้วยของมันเยิ้มสีดำชั่วร้าย ที่ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ประโยชน์อันใด

ดวงตะวันฉายแสงบนร้านอาหาร บนชั้นสองจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า มองเห็นได้ไกลกว่า

หลัวปู้นั่งอยู่บนระเบียง หันเข้าหาอาทิตย์อัสดงในขณะที่ดื่มสุราและคิดในใจว่าประมุขรองตระกูลถังเข้าหอไปนานแค่ไหนแล้ว

นิกายหลวงมียอดฝีมือมากมาย ดังนั้นพูดตามเหตุผลแล้ว ต่อให้ตระกูลถังเตรียมตัวมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็ยังพอที่จะรับมือได้

ปัญหาก็คือนี่ไม่ใช่กำลังทั้งหมดของตระกูลถัง

หลัวปู้มองไปที่ชั้นล่าง

อาทิตย์อัสดงลอยอยู่เหนือแม่น้ำเวิ่นสุ่ย เมฆสายัณห์รวมตัวกันในม่านราตรี ต้นไม้ริมฝั่งดูเหมือนจะกลายเป็นต้นเฟิ่งแดง

นักเล่นฉินตาบอดดีดฉินอยู่ริมแม่น้ำ

พ่อค้าเจ็ดคน คนงานทางการหกคน หมอดูสามคน สองผู้เฒ่าขายขนมงาและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งอยู่บนถนน

เป็นเหมือนเช่นเมื่อวาน

หลัวปู้สังเกตทั้งหมดนี้เงียบๆ และคิดในใจ ความแข็งแกร่งของตระกูลถังช่างเกินหยั่งจริงๆ

หรือว่าเจ้าหมอนี่จะพบปัญหาเข้าจริงๆ ในวันนี้

……

……

“หากเป็นเช่นนั้นทำไมท่านถึงมาหาข้า” เฉินฉางเซิงถามในขณะที่มองไปที่ประมุขรองตระกูลถัง

ประมุขรองตระกูลถังตอบ “ที่นี่คือเมืองเวิ่นสุ่ย ดังนั้นในฐานะผู้ปกครอง ข้าย่อมต้องมาเพื่อทักทายท่านและดูว่ามีอะไรไม่สะดวกหรือไม่ นี่คือมารยาท”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็กล่าว “ข้ารู้”

เมื่อกล่าวแล้วเขาก็ตั้งใจจะส่งแขก

ประมุขรองตระกูลถังย่อมไม่ยอมจากไปเช่นนี้ เขายังไม่พบคนที่เขาต้องการพบ

“องค์สังฆราชมีเพื่อนในเมืองเวิ่นสุ่ย บังเอิญข้าก็มีเพื่อนในพระราชวังหลีเช่นกันนามว่าไป๋สือ”

เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนในตอนนี้ ยากนักที่เพื่อนเก่าจะได้พบกัน และข้าต้องการเชิญเขาไปดื่มสุรากับข้าสักสองสามจอก”

เฉินฉางเซิงตอบ “น่าเสียดาย เขาไม่อาจดื่มสุราอีกต่อไป เพราะเขาตายแล้ว”

เขาสุขุมอย่างมากราวกับกำลังพูดเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่สุด

แต่ประมุขรองตระกูลถังไม่อาจรักษาความสงบได้อีกต่อไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปช้าๆ จากนั้นก็เริ่มหัวเราะอย่างไร้เสียง

ในครั้งนี้มีอารมณ์คลุมเครือเพิ่มขึ้นบนใบหน้าหัวเราะของเขา และมันก็ดูเย็นชากว่าเดิมมาก

“ถ้าอย่างนั้นองค์สังฆราชเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าบางทีเพื่อนของท่านก็อาจตายไปแล้วเช่นกัน”

เขาจ้องมองไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงยังคงสุขุมอย่างยิ่ง “ไม่ เพราะข้ายังมีชีวิตอยู่”

นี่คือความมั่นใจ

เขาคือสังฆราช

ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ใครจะกล้าฆ่าเพื่อนของเขา

ประมุขรองตระกูลถังจ้องตาเขา จ้องเป็นเวลานาน ทันใดนั้น เขาก็กล่าว “บางทีองค์สังฆราชอาจไม่รู้ แต่พี่ชายข้าทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยที่เลวร้าย เขานอนติดเตียงมานานกว่าสองปีแล้ว ยาทั้งมวลล้วนไร้ประสิทธิภาพ เขาอาจตายได้ทุกเมื่อ และอาการป่วยนี้…เป็นไปได้มากว่าจะถ่ายทอดสู่ทายาท”

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วทำไมท่านถึงไม่ป่วยด้วย ดังนั้นในมุมมองของข้า อาการป่วยนี้ไม่ได้สืบทอดต่อลูกหลานและเพื่อนของข้าก็ไม่มีทางป่วย”

เสียงของประมุขรองตระกูลถังเย็นชายิ่งกว่าเดิม “ใครกันที่บอกได้ว่าจะป่วยหรือไม่”

เฉินฉางเซิงจ้องกลับและพูดเน้นทีละคำ “ข้าบอกแล้ว หากข้าไม่อนุญาตให้เขาป่วย เขาก็จะไม่ป่วย”