ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 12 แผนของอสูร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 12 แผนของอสูร

เมื่อเยี่ยเฟิงหานกลับมา ฉางเหอและทุกคนก็เข้ามารุมล้อมเขาทันที

“นายท่าน ทำไมเจ้านิกายถึงมาที่นี่ด้วยตัวเองหรือ?”

“ทำไมเจ้านิกายถึงมาหาท่านหรือ?”

“เขาให้ภารกิจอะไรกับท่านหรือเปล่า?”

กลุ่มทหารพากันถามคำถามขึ้นพร้อม ๆ กัน เยี่ยเฟิงหานแทบจะตอบอะไรไม่ได้เลย

เสียงโวยวายรอบตัวทำให้เขาเริ่มจะปวดหัว “หยุดตะโกนกันได้แล้ว ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญนักหรอก ท่านอาจารย์ก็แค่……”

“อาจารย์หรือ!” ฉางเหอร้องขึ้น “นี่ท่านเพิ่งเรียกเจ้านิกายว่าอาจารย์ใช่ไหม?”

เยี่ยเฟิงหานเงียบกริบขณะกวาดสายตามองไปที่ผู้คนรอบตัว

ทุกคนต่างมองมาที่เขาเช่นกัน

ฉางเหอถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้านิกายรับเจ้าเป็นศิษย์ของเขาแล้วหรือ?”

เยี่ยเฟิงหานหยุดชะงักไปก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ไม่ต้องไปบอกใครอีกนะ”

สิ้นคำนั้นทุกคนพากันคุกเข่าลงทันที “ยินดีด้วย ศิษย์พี่ของข้า!”

เยี่ยเฟิงหานกลอกตา “ข้าคิดแล้วเชียวว่าจะต้องทำแบบนี้ เอาล่ะ พอเถอะทุกคน ยืนขึ้นได้แล้ว ถ้าท่านอาจารย์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าก็ไม่ควรพูดอะไรด้วยเหมือนกัน”

“เข้าใจแล้วขอรับศิษย์พี่!” เหล่าทหารพากันหัวเราะ

อย่างไรแล้วศิษย์เหล่านี้ก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว แม้ว่าสถานะของเยี่ยเฟิงหานจะขยับขึ้นไปแล้ว แต่หลังจากแสดงความยินดีกันตามธรรมเนียมแล้ว บรรยากาศก็กลับมาเป็นเหมือนปกติได้ในไม่ช้า

การที่ซูเฉินยอมรับเยี่ยเฟิงหานเป็นศิษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนแปลกใจอะไรนัก เพราะตั้งแต่ที่เจ้านิกายได้ส่งต่อลักษณ์เจ็ดสายเลือดให้กับเขา หลายคนก็มองว่าเยี่ยเฟิงหายเป็นศิษย์ในนามของซูเฉินไปแล้ว

เมื่อพูดคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็มุ่งหน้าเดินทางตามหาทรัพยากรต่ออีกครั้ง

การค้นหาครั้งนี้กินเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนดี เหล่าทหารพากันค้นทั่วทุกหนแห่งและได้สมบัติมาครอบครองพอสมควร รวมถึงยังได้ต่อสู้อย่างดุเดือดในหลายโอกาส ทั้งต่อกรกับราชันอสูรกายหนึ่งตน เจ้าอสูรกายสามตน และฝูงอสูรกายอีกหนึ่งฝูงด้วย

วันนี้หลังจากที่ออกนอกเส้นทางไปบ้าง กองทหารลาดตระเวนก็มาถึงยัง ‘เขาไร้ห่วง’

เขาไร้ห่วงตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแดนอสูรและติดกับชายแดนของเขตรุกราน ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาได้รับภารกิจให้มาลาดตระเวนที่นี่เพื่อค้นหาสมบัติ

เพราะมี ‘หญ้าไร้ห่วง’ ขึ้นอยู่ที่นี่ เขาไร้ห่วงจึงเป็นที่ที่หลายคนใฝ่ฝันจะได้มาเยือนสักครั้ง การได้กินสมุนไพรชนิดนี้จะทำให้รู้สึกสบายใจอย่างน่าเหลือเชื่อ ขุนนางทั้งหลายจึงยินดีที่จะจ่ายราคาให้อย่างงามเพื่อให้ได้มาครอบครอง คนทั้งเมืองล้วนคลั่งหญ้าชนิดนี้เป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้พระราชวังทั้งหลังเพื่อแลกกับหญ้าไร้ห่วงคุณภาพเยี่ยมจำนวน 2 จินเลยทีเดียว

หญ้าไร้ห่วงยังใช้ได้กับผู้ฝึกตนด้วย ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหลายคนมักใช้หญ้านี้แก้เบื่อ

หลังจากนั้น ซูเฉินพร้อมด้วยคลังยาของตัวเองก็ได้พัฒนายาที่สามารถเพิ่มพลังจิตของผู้ใช้ขึ้นมา ซึ่งส่วนประกอบหลักของมันก็คือหญ้าไร้ห่วงนี้เอง

‘ยาสะกดใจ’ นี้มีสรรพคุณไม่ดีเท่าโอสถปลุกวิญญาณ แต่มันมีต้นทุนในการการผลิตที่ต่ำกว่ามาก เพราะดอกซากวิญญาณนั้นเป็นวัตถุดิบในตำนานสำหรับการทำยา ส่วนหญ้าไร้ห่วงนั้นเป็นสมุนไพรระดับทั่ว ๆ ไปและเจริญเติบโตอยู่มากมายบนเขาไร้ห่วง

เยี่ยเฟิงหานและพรรคพวกมาที่นี่โดยนึกถึงหญ้าไร้ห่วงเป็นหลักเช่นกัน

หากพวกเขาเก็บหญ้านี้มาได้ การผลิตยาสะกดใจของนิกายไร้ขอบเขตก็จะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

“นี่ไงล่ะ สีแดง ๆ นี่คือหญ้าไร้ห่วง มันขึ้นเยอะอย่างที่ว่าจริง ๆ” หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น

“ทุกคนระวังตัวด้วย กองทัพหลักยังไม่เคยผ่านมาทางนี้ ดังนั้นอาจยังมีเทพอสูรอยู่ที่นี่ก็ได้” เยี่ยเฟิงหานเตือน

“ไม่ต้องห่วงไปศิษย์พี่ของข้า ตราบใดที่พวกมันไม่ใช่จักรพรรดิอสูรเราก็ไม่เห็นจะต้องกลัว” ใครบางคนตอบกลับมา

ตั้งแต่ที่พวกเขาโค่นราชันอสูรกายได้สำเร็จ ความมั่นใจของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอีกมาก

จักรพรรดิอสูรก็ไม่ใช่อสูรกายที่จะพบได้โดยทั่วไป และชาวนิกายไร้ขอบเขตก็คงไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้น

แต่ถึงความโอกาสที่จะพบนั้นมีต่ำ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่ต้องระมัดระวังตัว ดังนั้นเหล่าทหารจึงเคลื่อนทัพเข้าไปหลังจากตรวจสอบบริเวณโดยรอบแล้วเท่านั้น

ทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้น ทุกคนก็แยกกันรวบรวมหญ้าไร้ห่วงจำนวนมาก

แม้ว่าความล้ำค่าของต้นพืชนี้จะไม่ได้มากมายนัก แต่จำนวนของมันมีเยอะเหลือเกิน ในขณะที่พืชหายากอย่างดอกบัวสามสีนั้นมีค่ากว่ามาก พวกมันก็หาเจอได้ยากและแทบไม่สามารถนำมาขายในจำนวนมากได้เลย

อีกทั้งการเก็บเกี่ยวก็แสนจะง่ายดายอีกด้วย!

การเก็บเกี่ยวที่เป็นไปได้อย่างราบรื่นเช่นนี้นั้นถือว่าเกิดได้ยากยิ่งนัก

ชาวนิกายไร้ขอบเขตสามารถพูดคุยและสนุกสนานพร้อมกับทำงานไปด้วย

ทว่าขณะที่กำลังเพลินกับการเก็บเกี่ยวสมุนไพรอยู่นั้นเอง กลุ่มเมฆก็พลันปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า

เยี่ยเฟิงหานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและขมวดคิ้ว “มีบางอย่างผิดปกติ เทพอสูรกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางเรา เร็วเข้าทุกคน กลับมานี่!”

ศิษย์ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

เยี่ยเฟิงหานหยิบเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาฝังลงบนพื้น เกราะกำบังปรากฏขึ้นห่อหุ้มศิษย์ทั้งหลายเอาไว้ภายในทันที

ค่ายกลต้นกำเนิดนั้นเป็นค่ายกลบดบังระดับสูงที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับหน่วยลาดตระเวนที่จะสามารถใช้ได้ในยามอันตราย ภายนอกของมันดูไม่ต่างไปจากก้อนหินธรรมดา ๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้สัมผัสดู ผิวของมันก็ไม่ได้ต่างไปจากหินทั่ว ๆ ไปเลย

กลุ่มเมฆนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้การหนีไม่ใช่ทางเลือกที่พวกเขาจะทำได้อีกต่อไป เยี่ยเฟิงหานจึงตัดสินใจด้วยความเด็ดขาดและใช้ค่ายกลต้นกำเนิด

ไม่ช้ากลุ่มเมฆนั้นก็เคลื่อนเข้าประชิด หน่วยลาดตระเวนของนิกายไร้ขอบเขตคิดว่าอสูรกายทั้งหลายจะเดินทางผ่านเขาไร้ห่วงไปเท่านั้น แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกมันจะมาที่นี่ด้วย…

เมื่อเห็นดังนั้นกองทหารลาดตระเวนต่างก็ก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ

ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้นะ ทำไมเทพอสูรถึงต้องพากันมาหยุดพักที่นี่ด้วย!

เทพอสูรสารพัดรูปร่างและขนาดจำนวนนับไม่ถ้วนเผยกายออกมาจากกลุ่มเมฆหนา แต่ละร่างนั้นส่งเสียงโหยหวนและคำรามอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าทั้งภูเขาแห่งนั้นก็เต็มไปด้วยอสูรกาย และกลายเป็นเหมือนฐานทัพของพวกมันไปเสียแล้ว

ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคืออสูรกายสามตนสุดท้ายที่ก้าวออกมาจากกลุ่มเมฆนั้นเป็นจักรพรรดิอสูรและราชันอสุรกาย ซึ่งดูเหมือนว่าสถานะของราชันอสูรกายนั้นจะไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอสูรทั้งสองเลย

เหล่าทหารขนลุกซู่……

หากถูกพบเข้า… เทพอสูรจำนวนหลายแสน และจักรพรรดิทั้งสามนี้สามารถฉีกร่างพวกเขาทั้งหมดได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

แม้ว่าค่ายกลบดบังที่ปกปิดการมีอยู่ของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยากนักที่จะบอกได้ว่ามันสามารถหลอกตาและการรับรู้ของจักรพรรดิอสูรได้หรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าอสูรร้ายจะออกค้นหาในบริเวณนั้นหรือไม่ และความสามารถในการรับรู้ของมัน นอกเสียจากว่ามันจะมีพลังจิตที่มีอานุภาพเทียบเท่ากับชาวเผ่าวิญญาณ มันก็ไม่น่าจะหาค่ายกลต้นกำเนิดนี้พบได้ง่าย ๆ

โชคยังดีที่จักรพรรดิทั้งสามดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต้องการค้นดูในบริเวณนี้ พวกมันหยุดพักด้วยท่าทางผ่อนคลายและไม่ได้ชายตามาทางเยี่ยเฟิงหานด้วยซ้ำ ซึ่งก็ทำให้เหล่าทหารโล่งใจไปได้เล็กน้อย

ทว่าในไม่ช้า ปัญหาก็บังเกิดขึ้น

เพราะจักรพรรดิอสูรกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา….

นั่นทำให้ชาวนิกายไร้ขอบเขตตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้มากไปกว่าหวังอยู่ในใจว่าจักรพรรดิอสูรพวกนี้จะจากไปไม่ช้าก็เร็ว

โชคไม่เข้าข้างเขา… เพราะเมื่อฝนตกแล้ว มันก็จะตกหนักเสมอ สุดท้ายแล้วจักรพรรดิอสูรก็เดินต่อมาในทิศทางที่พวกเขาอยู่

ดูเหมือนว่ามันจะสังเกตเห็นก้อนหินลวงตาเข้าเสียแล้ว

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ก้อนหินในบริเวณใกล้เคียงนั้นขรุขระและมีตะปุ่มตะป่ำมากมาย มีเพียงหินก้อนนี้เท่านั้นที่ดูจะมีพื้นผิวเรียบลื่นกว่าก้อนอื่น ๆ และจักรพรรดิทั้งสามก็กำลังมองหาที่เอนกาย ไม่แปลกเลยที่หินเรียบ ๆ ก้อนนี้จะสะดุดตาพวกมันได้ในทันที

ราชันอสูรกายผู้นั้นนั่งลงบนก้อนหินลวงตาเป็นลำดับแรก จากนั้นจักรพรรดิอสูรทั้งสองจึงทำตาม

สิ่งที่ชาวนิกายไร้ขอบเขตเห็นได้จากภายในของหินนั้นก็คือบั้นท้ายของเหล่าอสูรกายที่นั่งอยู่เหนือศีรษะของพวกตน

ฉางเหอยักไหล่… ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอเวลาให้พวกมันจากไปเท่านั้น

เยี่ยเฟิงหานได้แต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

แม้ว่าซูเฉินจะให้หุ่นเชิดยักษ์กับเขาแล้ว แต่หุ่นเชิดเพียงตัวเดียวก็คงไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้เพียงแค่รอเท่านั้นจริง ๆ

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็กล่าวขึ้น “ราชันอีกา เราจะต้องรอนานแค่ไหนกัน ชายแดนของพวกมนุษย์อยู่ตรงหน้าพวกเราแล้วแท้ ๆ แต่เจ้าก็ยังยืนยันที่จะประวิงเวลาอยู่ได้ นี่ก็ผ่านมานานถึงครึ่งเดือนแล้วนะ!”

เมื่อได้ยิน คนถูกคาดคั้นจึงกล่าวถึง “ชายแดนของพวกมนุษย์” ทุกคนก็หูผึ่งทันที

แต่ราชันอีกาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของจักรพรรดิอสูรเลยแม้แต่น้อย

พูดอะไรออกมาเสียทีสิ! ทุกคนที่รอฟังได้แต่คิดในใจ

นั่งตรงนี้เงียบ ๆ มันเหมาะแล้วจริง ๆ หรือ

ไม่นานนักเสียงหนึ่งก็กล่าวขึ้น “ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก อสูรตาแดง พวกเราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ การประลองน่ะยังไม่เริ่มขึ้น หากเราโจมตีตอนนี้ ทัพมนุษย์อาจจะกลับมาตอนไหนก็ได้ เราจะต้องรอจนกว่าพวกนั้นจะเข้าไปลึกกว่านี้ แล้วเราถึงจะเคลื่อนไหวได้ อย่างไรเสียเราก็มาเพื่อความร่ำรวย…ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเอาชีวิตไปทิ้งหรอก”

“ฮึ่ม ข้าก็แค่ไม่อยากจะรอนานขนาดนั้น สำหรับข้า ข้าคิดว่าเราควรจะสังหารใครก็ตามที่ขวางทางเสียให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นก็เสวยสุขกับสิ่งที่ได้มาสักหน่อยก่อนที่จะจากไป ใครจะไปมีเวลามานั่งวางแผนนานถึงขนาดนี้กัน”

ราชันอีกาเอ่ยขึ้นในที่สุด “นี่แหละคือสาเหตุที่ข้าบอกว่าเจ้าน่ะไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไม่รู้จักอดทนเสียบ้าง แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”

จักรพรรดิอสูรตาแดงเดือดปุด ๆ และใช้ฝ่ามือตบลงบนหินที่เบื้องล่าง “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

แรงจากฝ่ามือนั้นทำให้คนที่อยู่ข้างใต้ก้อนหินปลอม ๆ พากันตกใจกลัว และจารึกของค่ายกลบดบังด้านในของหินนั้นก็ส่องแสงวูบวาบอย่างรุนแรงจนน่าใจหาย

โชคดีที่ค่ายกลต้นกำเนิดยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้โดยไม่แสดงปฏิกิริยาแปลก ๆ ออกไป

ชาวนิกายไร้ขอบเขตโล่งใจไปได้อีกครั้ง

ฉางเหอชี้ไปที่พื้นเพื่อพยายามบอกว่าทุกคนควรมุดดินหนีไป

แต่เยี่ยเฟิงหานส่ายหน้า

การขุดโพรงจะทำให้พลังงานต้นกำเนิดแปรปรวน นั่นหมายความว่าพวกเขาก็จะถูกพบในทันทีนั่นเอง เพราะค่ายกลบดบังทำได้เพียงปกปิดพวกเขาไว้ แต่ไม่ได้กลบร่องรอยพลังงานต้นกำเนิดที่ใช้เลย

ดังนั้นการรออย่างใจเย็นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์นี้

ในเมื่อเยี่ยเฟิงหานค้านความคิดของเขา ฉางเหอก็ทำอะไรไม่ได้และต้องรอต่อไปอย่างเดิม

ตอนนี้จักรพรรดิอสูรตาแดงใจเย็นลงแล้วด้วยการเกลี้ยกล่อมจากจักรพรรดิอสูรใจม่วง หลังจากนิ่งเงียบไปได้ไม่นาน เขาก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ก็ได้ ถ้าต้องรอข้าก็จะรอ อย่างไรเสียเราก็อยู่ใกล้ป่าไผ่ม่วง ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่า ราชันจักรพรรดิอสูรจะปรากฏตัวไหม และถ้าพวกเราไม่ทำตามคำสั่งหรือเข้าร่วมในการต่อสู้แล้ว พวกนั้นจะสร้างปัญหาให้เราหรือเปล่า”

ราชันอีกาตอบเสียงแผ่วเบา “ชัยชนะยังไม่ได้ถูกกำหนด หากฝ่ายนั้นชนะ พวกเขาก็คงต้องวุ่นกับการแบ่งอาณาเขต และหากฝ่ายนั้นแพ้… ก็คงไม่มีพลังเหลือที่จะจัดการกับพวกเราอีกแล้วล่ะ พอเราไปถึงยังเขตแดนของพวกมนุษย์และได้ทรัพยากรมามากมายแล้ว เราอาจแข็งแกร่งพอที่จะพลิกสถานการณ์ก็ได้”

ราชันอีกาเข้าใกล้การบรรลุเต็มทีแล้ว ทันทีที่เขากลายเป็นจักรพรรดิอสูร เขาก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันจักรพรรดิอสูร ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เขาจะต้องกลัวอีกแล้ว… นี่คือสิ่งที่ราชันอีกาหวังไว้

เยี่ยเฟิงหานและกองทหารมองหน้ากัน

บทสนทนานั้นฟังดูเหมือนว่าเหล่าอสูรกายกำลังปักหลักอยู่ที่ป่าไผ่ม่วงและจักรพรรดิทั้งสามก็วางแผนที่จะรุกรานนเขตแดนของมนุษย์ไปพร้อม ๆ กัน

นี่ถือเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

ต่อให้กองทัพมนุษย์จะได้ข่าวการรุกรานของอสูรกาย แต่พวกเขาก็มีโอกาสที่จะไม่สามารถกลับมาได้อีกสักพักเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้น

สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือการที่เทพอสูรเลือกเดินทางผ่านอาณาจักรนกฮูก แทนที่จะเป็นอาณาจักรเมฆาเคลื่อน

ซูเฉินคาดการณ์ไว้ว่าเหล่าอสูรกายจะต้องพยายามค้นเส้นทางในการถอยทัพของพวกเขา และทิ้งหนทางรับมือบางอย่างไว้ในอาณาจักรเมฆาเคลื่อน แต่เทพอสูรพวกนี้กลับออกนอกเส้นทางเพื่อไปโจมตีอาณาจักรนกฮูกเสียอย่างนั้น

นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้เตรียมการอะไรมามากนัก…

และชาวอาณาจักรนกฮูกก็คงจะต้องพบกับหายนะ

กองทหารลาดตระเวนคิดว่าการซุ่มโจมตีนั้นก็น่าตกใจมากพอแล้ว แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าอสูรกายจะมีความลับที่สำคัญยิ่งกว่าซ่อนอยู่ด้วย นี่มันเป็นโชคดีหรือคำสาปกันแน่นะ… เยี่ยเฟิงหานเอากล่องสื่อสารออกมาด้วยตั้งใจจะแจ้งให้เจ้านิกายทราบถึงแผนการของพวกอสูรกายโดยไว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้เจ้านิกายทราบให้ได้