บทที่ 13 เข้าสู่แดนฝันอีกครั้ง
เมื่อเจ้าอสูรกายทั้งสามพูดคุยกันจบแล้วก็ได้เวลาอาหาร
เยี่ยเฟิงหานกับทุกคนยังคงต้องรอต่อไปอย่างเดิม
ในที่สุดเหล่าอสูรกายก็กินเสร็จและเตรียมตัวมุ่งหน้าเดินทางต่อ
แต่แล้วขณะที่กำลังจะออกเดินทาง พวกนั้นกลับได้รับรายงานจากสมุน “ท่านจักรพรรดิ เราพบว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีร่องรอยของหญ้าไร้ห่วงที่เพิ่งถูกเก็บเกี่ยวไปไม่นานมานี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น สามจักรพรรดิทั้งสามก็ชะงักไปพร้อมกัน
ราชันอีกาถามขึ้นด้วยสีหน้าถมึงทึง “แน่ใจแล้วหรือ”
“ขอรับ!” ราชันอสูรกายตอบด้วยความมั่นใจ “ดินนั่นเพิ่งจะถูกขุดขึ้น แปลว่าจะต้องมีใครบางคนผ่านมาไม่นานก่อนหน้านี้แน่”
อสูรใจม่วงกล่าว “เทพอสูรอย่างเราไม่สนใจหญ้าไร้ห่วงหรอก มีแต่มนุษย์เท่านั้นล่ะที่จะใช้ของพวกนั้น”
“จะต้องมีมนุษย์อยู่แถวนี้แน่!” อสูรตาแดงคำรามด้วยความกระหายเลือดขณะที่ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายสีแดงฉาน
เยี่ยเฟิงหานและชาวนิกายไร้ขอบเขตได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าร่องรอยของพวกเขาจะถูกพบเพราะร่องรอยที่ทิ้งไว้จากการเก็บเกี่ยวหญ้าไร้ห่วงพวกนั้น
ความสามารถในการรับรู้ของเทพอสูรนั้นสูงมากเมื่อมันต้องค้นหาอะไรบางอย่าง ชาวนิกายไร้ขอบเขตดูท่าจะไม่สามารถหลุดรอดจากการค้นพบไปได้เสียแล้ว
ฉางเหอเกือบจะโจมตีอยู่รอมร่อด้วยความใจร้อน แต่เยี่ยเฟิงหานก็ห้ามเขาไว้ได้ทัน
ประหลาดนักที่อสูรตาแดงค้นหาในบริเวณนั้นอยู่นานพอควรแต่กลับไม่พบอะไรเลย
อะไรกัน ค่ายกลต้นกำเนิดของนิกายไร้ขอบเขตแข็งแกร่งถึงเพียงขั้นที่สามารถหลอกจักรพรรดิอสูรได้เชียวหรือ
ทุกคนได้แต่เงยหน้ามองและกลั้นหายใจ ขณะที่อสูรตาแดงค้นหาดูทั่วบริเวณนั้น เขาไม่ได้ชายตามองก้อนหินที่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
สมาชิกหน่วยลาดตระเวนพากันโล่งใจ ที่ที่อันตรายที่สุดมักเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดจริง ๆ
พวกเขาได้แต่อธิษฐานอยู่ในใจไม่ให้อสูรตาแดงก้มมองลงมา
อสูรร้ายค้นหาในรัศมีที่กว้างและไกลนักแต่กลับไม่พบสัญญาณของมนุษย์ เขาถอนใจก่อนจะกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่พบอะไรเลย”
เขาเป็นจักรพรรดิอสูรที่มีการรับรู้เป็นเลิศที่สุดในบรรดาจักรพรรดิทั้งสาม แม้ว่าดวงตาสีแดงคู่นั้นจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการตรวจจับ แต่สายตาของเขาก็เฉียบคมยิ่งนัก ในเมื่อแม้แต่เขายังไม่พบอะไรอสูรใจม่วงกับราชันอีกาก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาอีกต่อไปแล้ว
ราชันอีกาแสดงความเห็นอย่างไม่เต็มใจนัก “พวกนั้นคงมาที่นี่เพื่อเก็บหญ้าไร้ห่วงและคงหนีไปเมื่อเห็นพวกเราใกล้เข้ามา”
อสูรใจม่วงเห็นด้วย “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“พวกนั้นก็แค่หัวขโมยชั้นต่ำ ไปกันเถอะ” หลังจากไม่พบมนุษย์ในบริเวณนั้น อสูรกายทั้งหลายก็ก้าวกลับเข้าสู่กลุ่มเมฆและเคลื่อนออกไปในที่สุด
ฉางเหอกำลังจะก้าวออกไปแต่เยี่ยเฟิงหานก็หยุดเขาไว้ได้ทันอีกครั้ง
ทั้งกองทหารยังนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นและรอต่อไปอีกแม้ว่าเทพอสูรพวกนั้นจะจากไปแล้ว
เวลาที่เดินอย่างเชื่องช้าผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครรู้ ทุกคนเริ่มจะหมดความอดทนและค่ายกลต้นกำเนิดก็เริ่มจะเข้าใกล้ขีดจำกัดพลังของมันเต็มที
ฉางเหออยากจะพูดอะไรสักอย่างเหลือเกิน แต่เยี่ยเฟิงหานก็ปิดปากเขาไว้และชี้นิ้วออกไปที่เบื้องหน้า
อะไรบางอยางผุดขึ้นมาจากใต้ดินทันทีที่เยี่ยเฟิงหานชี้ไป มันคือตัวลิ่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ในชุดเกราะพร้อมกับหอกเล่มยาว….เป็นเจ้าอสูรกายนั่นเอง
สิ่งที่เคยเป็นตัวลิ่นนั้นมองไปรอบ ๆ พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวมันเอง จากนั้นจึงมุดดินกลับเข้าไปอีกครั้งและไม่กลับมาอีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าลิ่นตัวนั้นมุ่งหน้าไปที่ไหน และก็ยังไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวใด ๆ จนะกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดหลังจากที่เวลาผ่านมาอย่างเนิ่นนาน เยี่ยเฟิงหานก็กล่าวขึ้น “เอาละ มันไปแล้ว”
พูดจบชายหนุ่มก็หยุดการทำงานของค่ายกลต้นกำเนิดแล้วก้าวออกไป
“นี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันไปแล้วจริง ๆ มันอาจจะยังอยู่ใกล้ ๆ และซ่อนตัวอยู่แถวนี้ก็ได้”
เยี่ยเฟิงหานอธิบายอย่างเยือกเย็น “ลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของข้าช่วยให้สัมผัสได้ถึงพลังจิตในบริเวณใกล้เคียงได้ ต่อให้เจ้าตัวนั้นซ่อนตัวอย่างดี พลังจิตของมันก็ยังคงสุกสว่างราวกับตะเกียงในความมืด ไม่ต้องกังวลไป ลิ่นนั่นมุดดินไปไกลแล้ว และแถวนี้ก็ไม่มีเทพอสูรอยู่อีกแล้วละ”
คำตอบของเยี่ยเฟิงหานทำให้ทุกคนโล่งใจ
แต่ฉางเหอกลับพึมพำด้วยความไม่พอใจ “ท่านมีลักษณ์นิมิตลาวัณย์มาตลอด แต่ข้าไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงความสามารถในการรับรู้พวกนี้มาก่อนเลย”
เยี่ยเฟิงหานไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถามนั้น
อันที่จริงแล้วฉางเหอพูดถูก เยี่ยเฟิงหานมีลักษณ์นิมิตลาวัณย์มานานแล้ว แต่แม้มันจะอยู่ในขั้นความสำเร็จขั้นสูงอีกด้วย ความสามารถในการรับรู้และตรวจจับของลักษณ์นี้กลับมีจำกัด เพราะอย่างไรแล้วความสามารถด้านนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ลักษณ์ชนิดชี้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยี่ยเฟิงหานสัมผัสได้ถึงอสูรกายที่ยังเหลืออยู่ก็เพราะเม็ดกลมสีทองในร่างของเขานั่นเอง
เม็ดกลมปริศนาช่วยให้การรับสัมผัสของพลังจิตของเยี่ยเฟิงหานพัฒนาขึ้นมา นั่นทำให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงตัวลิ่นที่ใต้ดินได้
เยี่ยเฟิงหานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา ตอนนี้จึงทำได้เพียงส่งต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปให้ซูเฉินทราบผ่านกล่องสื่อสารเท่านั้น
ที่ในพระราชวังของนิกายไร้ขอบเขต
ซูเฉินนั่งเงียบอยู่นานหลังจากได้ฟังคำรายงานของเยี่ยเฟิงหาน
“มีอะไรหรือสามีข้า” กู่ชิงลั่วเดินเข้ามาโอบชายหนุ่มไว้ ไม่ห่างไปนักมีจูเซียนเหยาที่กำลังต้มน้ำสำหรับชงชาอยู่ แม้ว่าจูเซียนเหยาจะสามารถทำให้น้ำเดือดได้ทันทีด้วยพลังต้นกำเนิด แต่นางก็เลือกที่จะต้มน้ำและรอเวลาให้มันค่อย ๆ เดือดด้วยไฟธรรมดาแทน… นางรู้สึกดีกว่าที่ได้ทำเช่นนั้น
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เราเพิ่งพบหัวขโมยสามตัวที่หนีไปได้ก่อนหน้านี้ พวกนั้นกำลังพยายามจะตัดหางพวกเราจากข้างหลัง” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
สิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิกลายสถานะเป็นหัวขโมยเสียแล้วสำหรับซูเฉิน
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของซูเฉิน กู่ชิงลั่วก็เผยยิ้มบางเบา “ข้าประหลาดใจนักที่พวกนั้นคิดแผนแบบนี้ขึ้นได้ เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าพวกนั้นจะลอบกัดและโจมตีเขตแดนของมนุษย์ได้”
แต่ซูเฉินกลับส่ายหน้า “พวกนั้นไม่ได้คิดจะผ่านทางอาณาจักรเมฆาเคลื่อนหรอก มันจะผ่านไปทางอาณาจักรนกฮูกต่างหาก”
“อาณาจักรนกฮูกหรือ” คำตอบของชายหนุ่มทำให้ทั้งกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาต้องแปลกใจ
“ถูกต้อง” ซูเฉินพยักหน้า “ราชันอีกาผู้นี้คิดค้นกลยุทธ์ได้ดีทีเดียว”
ซูเฉินไม่ได้ส่งทัพไปประจำยังอาณาจักรนกฮูก
ไม่ใช่เพราะเขาคิดไม่รอบคอบ แต่เป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรต้องนึกถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผู้นำทุกคนต่างก็รู้ว่าการกระจายทัพที่เบาบางออกไป เพื่อป้องกันเป็นแนวหน้านั้นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงนัก และผู้นำที่ดีก็จะต้องรู้วิธีการที่จะกระจายทัพป้องกันออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้วการโจมตีที่รุนแรงก็คงทำให้เกิดรูโหว่ขึ้นที่เกราะป้องกันนี้ได้อย่างง่ายดาย
แม้กระนั้นซูเฉินก็ให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตประจำอยู่ที่อาณาจักรนกฮูกจำนวนหนึ่งด้วย แต่เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าอสูรกายทั้งสามนั้นจะเจ้าเล่ห์ถึงขึ้นคิดจะรุกรานเข้าไปในเขตแดนของอาณาจักรนกฮูก หากไม่ใช่เพราะการค้นพบโดยบังเอิญของเยี่ยเฟิงหานในครั้งนั้น อาณาจักรนกฮูกอาจต้องพบกับหายนะครั้งใหญ่เป็นแน่ และแม้เผ่ามนุษย์จะไม่ได้ถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้น พวกเขาจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่และจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อแก้ไขมันได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ซูเฉินล่วงรู้ถึงแผนการของพวกอสูรกายแล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องทิ้งเรื่องน่าประหลาดใจเอาไว้ให้พวกนั้นได้ตกใจบ้าง
หลังจากครุ่นคิดดูแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะและกล่าวต่อไป “ราชันอีกาผู้นี้น่าประทับใจทีเดียว แต่เจ้านั่นก็ยังเป็นแค่มดตัวเล็ก ๆ ในสายตาข้าเท่านั้น ชิงลั่ว เซียนเหยา พวกเจ้าสองคนไปจัดการกับพวกนั้นหน่อยสิ”
“พวกข้าหรือ” จูเซียนเหยาผงะ
“ใช่ โดยเฉพาะเจ้านั่นแหละเซียนเหยา” ซูเฉินตอบกลับไปอย่างจริงใจ “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าราชันอีกานี่แหละที่เหมาะจะเป็นทาสรับใช้คนต่อไปของเจ้ามากที่สุด”
คำพูดของซูเฉินทำให้ดวงตาของจูเซียนเหยาเริ่มเปล่งประกาย
ด้วยความช่วยเหลือจากซูเฉินเลย วิชาลวงเสน่ห์ของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้จูเซียนเหยาสามารถสะกดราชันอสูรกายได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่จักรพรรดิอสูรนั้นอาจยังอยู่เหนือขีดจำกัดของนางไปสักหน่อย
และแม้ว่าราชันอีกาจะแข็งแกร่งมากพอที่จะบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิอสูรได้ แต่เขาก็ยังเป็นเพียงราชันอสูรกาย ทำให้อสูรผู้นี้กลายเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมยิ่งนักสำหรับ วิชาลวงเสน่ห์ ของจูเซียนเหยา
ความแข็งแกร่งของจูเซียนเหยาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหากนางสามารถสยบและควบคุมราชันอสูรกายได้สำเร็จ
หญิงสาวปรบมือด้วยความปลื้มใจและกล่าวต่อไป “เยี่ยมไปเลย! แล้วเจ้าล่ะ สามีข้า เจ้าจะไม่ไปด้วยกันหรือ”
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้ายังมีธุระที่จำเป็นจะต้องจัดการอยู่”
แม้ว่าการกระทำของราชันอีกาจะทำให้ซูเฉินเกือบเสียหลัก แต่เทพอสูรตนนั้นก็ยังเป็นเหมือนแมลงวันตัวน้อย ๆ เท่านั้น
สำหรับซูเฉินแล้ว คำรายงานของเยี่ยเฟิงหานนั้นควรค่าแก่การสนใจกว่ามาก
ซึ่งก็คือเรื่องความสามารถของเม็ดกลมสีทองนั่นเอง
ในห้องฝึกตนของซูเฉิน
ซูเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนั้นและเคลื่อนพลังต้นกำเนิดเพื่อกระตุ้นลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของเขาจนสุดกำลัง
ลักษณ์นิมิตลาวัณย์ของซูเฉินบรรลุถึงขั้นความสำเร็จขั้นสูงมานานแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ปีศาจที่เยี่ยเฟิงหานพบก็ยังไม่ปรากฏเสียที
ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังไม่ถอดใจ หลังจากคิดคำนวณดูแล้วเขาจึงหยิบขวดยาออกมา
เมื่อจุกขวดถูกเปิดออก กลุ่มควันก็เริ่มลอยออกมาก่อตัวกันเป็นร่างวิญญาณ… มันคือรูปร่างของภูตแดนฝันในโลกแห่งความเป็นจริงนั่นเอง
ซูเฉินคว้าคอภูตแดนฝันเอาไว้พร้อมพูดออกไปทันที “พาข้าไปยังแดนฝันเดี๋ยวนี้”
ภูตนั้นส่งเสียงโหยหวน “เจ้าเป็นศัตรูของเจ้าแห่งแดนฝัน! เขาสั่งห้ามไม่ให้เจ้าเข้าไป อย่าได้คิดเชียว!”
ซูเฉินกระแอมไอเล็กน้อย “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตก่อนจะเข้าไปด้วย พวกเจ้านี่คงจะสบประมาทข้ากันหมดเลยสินะ”
สิ้นคำนั้นแววตาของชายหนุ่มก็ฉายประกายลึกลับพร้อมกับคลื่นพลังจิตที่ทรงอานุภาพพลันปะทุขึ้นจากดวงตาคู่นั้นและพุ่งเข้าสู่ร่างของภูตแดนฝันทันที ภูตส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ร่างของมันแปรสภาพอย่างช้า ๆ … กลายเป็นตราแบบเดียวกันกับที่ถูกประทับลงบนหลังมือของซูเฉิน
ทว่าตรานี้กลับหมุนวนไปในอากาศจนกระทั่งขยายตัวกลายเป็นอุโมงค์ในที่สุด
อุโมงค์นั้นเผยให้เห็นแสงสารพัดสีที่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง บรรยากาศที่ดูงดงามนั้นกำลังกวักมือเรียกให้ซูเฉินก้าวเข้าไป ในระหว่างนั้นยังมีเสียงหัวเราะคิกคักดังก้องขึ้นเป็นครั้งคราวอีกด้วย
แต่ซูเฉินเพียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกยะเยือก “คิดจะหลอกข้าด้วยวิธีง่าย ๆ แบบนี้น่ะหรือ”
ชายหนุ่มฟาดมือเข้าใส่อย่างแรงและเส้นทางที่ก่อตัวขึ้นจากกลุ่มควันพลันจางหายไปในทันใด
แต่แล้วทันทีที่ควันจางไปซูเฉินก็เอื้อมมือคว้าออกไปโดยพลัน ควันนั้นกลับมารวมตัวกันทันทีและเส้นทางก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าในคราวนี้ ดินแดนที่อีกฝั่งหนึ่งของอุโมงค์ไม่ได้มีสีสันสดใสเหมือนแดนสวรรค์อีกต่อไป มันกลับกลายเป็นที่ราบอันมืดมิดที่แผ่รังสีความชั่วร้ายจนน่าขนลุกนัก
แล้วซูเฉินจึงกล่าวขึ้น “ต้องอย่างนี้สิถึงจะถูก!”
แม้ว่าแดนฝันที่เขาเคยปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้นจะต่างไปจากสิ่งที่อยู่ยังปลายทางอุโมงค์นี้อย่างสิ้นเชิง แต่ซูเฉินก็รู้ว่านี่คือแดนฝันอย่างแน่นอน!
ดวงตาของเขาเริ่มฉายประกายขึ้นอีกครั้งขณะที่พลังจิตของชายหนุ่มหลั่งไหลเข้าสู่อุโมงค์นั้น
พร้อมกันนั้นซูเฉินก็เห็นร่างลวงของสิ่งมีชีวิตเริ่มก่อตัวขึ้นที่ด้านในนั้น
ร่างนั้นคือเขาเอง…
หรืออย่างน้อย… รูปลักษณ์ภายนอกนั้นก็เหมือนเขา
ภาพที่เห็นนั้นเป็นสิ่งที่พลังจิตสร้างขึ้นในแดนฝันนั่นเอง
ซูเฉินคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
มีเพียงพลังจิตเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดในดินแดนพิเศษแห่งนี้ได้ และพลังจิตทุกชนิดก็จะสามารถก่อรูปร่างขึ้นได้ที่นี่เอง ดังนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตลึกลับทุกประเภทก็สามารถปรากฏได้ที่นี่ด้วย
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ใช้แดนฝันก็เชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยเช่นกัน
แดนฝันนั้นไม่ใช่ดินแดนแห่งความฝัน ต้องบอกว่าผู้ใช้มันจะตกอยู่ในสภาวะเหมือนอยู่ในความฝันเสียมากกว่า
ทั้งสองอย่างอาจฟังดูคล้ายกัน แต่อันที่จริงแล้วสถานการณ์ทั้งสองแบบนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซูเฉินเข้าใจความแตกต่างนี้ เขาจึงสามารถผ่านเข้าไปข้างในได้ ซึ่งภายใต้คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน แดนฝันก็เป็นเพียงแค่ดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่แยกตัวออกมาเท่านั้น
ร่างพลังจิตของซูเฉินปรากฏขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ชั่วร้ายในอุโมงค์
รอบตัวเขามีเพียงความมืดมิด สีสันฉูดฉาดที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป
ขณะที่ซูเฉินกำลังปรับตัวอยู่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่นั้นเอง เงามากมายก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นและพุ่งตรงเข้ามาหาเขา
เงาพวกนี้เหมือนกันกับร่างที่เยี่ยเฟิงหานอธิบายและรายงานให้เขาฟังอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ไอ้พวกสารเลวนั่น พอมีโอกาสก็พยายามจะรุกรานข้าทันทีเลยสินะ” ซูเฉินหัวเราะเยือกเย็น “แต่ข้าเกรงว่าคราวนี้เจ้าจะคิดผิดเสียแล้วละ”
พูดจบคลื่นพลังจิตขนาดยักษ์ก็พุ่งตรงออกไปจากในหัวของซูเฉินและกลืนกินเงาปีศาจพวกนั้นทันที
เขามาที่นี่เพื่อเก็บร่างปีศาจเหล่านี้โดยเฉพาะ!