บทที่ 936 หนูตัวนั้นคืออาหารของเจ้า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 936 หนูตัวนั้นคืออาหารของเจ้า

กระบี่เมื่อสักครู่นี้…

มีความน่ากลัวเสียจนเซียนทะเลทรายชาซานถงใบหน้ากระตุก ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าอยู่นานสองนาน

เขาได้แต่ถามตนเองว่าหากเปลี่ยนเป็นตนไปยืนอยู่บนสังเวียน ตนเองจะสามารถรับมือกับการโจมตีของหลินเป่ยเฉินได้หรือไม่?

เหตุไฉนเจ้าลูกเต่าน้อยถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?

ชาซานถงเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

รอยยิ้มเหยียดหยามและภาคภูมิใจไม่ปรากฏบนสีหน้าอีก

สวนทางกับกลุ่มขุนนางใหญ่ชาวเป่ยไห่ในห้องรับรองที่ยิ้มร่าออกมาด้วยความพอใจ และบางคนถึงขั้นส่งเสียงร้องออกมาด้วยความลืมตัว

การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ อย่างน้อย หลินเป่ยเฉินก็มีหวังที่จะชนะบ้างแล้ว

จั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนปัจจุบันลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

มือที่กำเป็นหมัดของเสี่ยวเย่ก็คลายลงเล็กน้อย

ความขุ่นมัวบนสีหน้าขององค์ชายเจ็ดจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่เขาจะหอมแก้มบุตรสาวของตนเองด้วยความชื่นใจ

และบรรดาคนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ด้านนอกอย่างเช่นเยวียนเหวินจวิ้น เยวียนหนง ตู้กู่อู๋อิง หลี่ซิวเยวียน หลิวเหวินฮุยและกานเซียวซวงก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความลุ้นระทึก ก่อนที่ทุกคนจะส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น!

บนสังเวียนประลองในขณะนี้

สีหน้าของอวี้ซือไป๋กลับมาสู่ความราบเรียบดังเดิมแล้ว

ก่อนหน้านี้ นางประหลาดใจอย่างยิ่งต่อกระบวนท่าการโจมตีจากท้องฟ้าของหลินเป่ยเฉิน

แต่มันก็เป็นแค่ความประหลาดใจเท่านั้น

ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับนาง

อวี้ซือไป๋จับจ้องมองกระบี่ใหญ่สีเขียวในมือของหลินเป่ยเฉิน

“นี่เจ้าเลือกกระบี่วิญญาณมรกตหรือ?”

ดวงตาของนางปรากฏความประหลาดใจเป็นครั้งที่สอง

การที่องค์จักรพรรดิของเป่ยไห่มอบอาวุธประจำชาติให้หลินเป่ยเฉินใช้สำหรับการต่อสู้ ถือว่าเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ

แต่จากข้อมูลที่อวี้ซือไป๋ได้รับทราบมา หลินเป่ยเฉินมีพลังปราณธาตุทองคำ และบางคนก็บอกว่าเขามีพลังปราณธาตุไฟ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง กระบี่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กหนุ่มก็ควรจะเป็นกระบี่สายลมน้ำแข็งหรือไม่ก็กระบี่เนตรลุ่มหลงเสียมากกว่า

หลินเป่ยเฉินควงกระบี่สีเขียวสดในมือของตนเองอย่างผู้ชนะขณะกล่าวว่า “เป็นอะไรไป คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะมีอาวุธประจำชาติอยู่เช่นกัน ตอนนี้ก็นับว่าพวกเราเสมอกันแล้ว ฮ่า ๆๆ”

อวี้ซือไป๋ไม่ได้ตอบรับคำใด

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและกล่าวต่อ “แต่องค์จักรพรรดิทรงให้ข้าเลือกกระบี่หลายเล่มเหลือเกิน ข้าเองก็อยากได้ไปเสียทุกเล่ม… ลองทายดูสิว่าในตัวข้า มีอาวุธประจำชาติของจักรวรรดิเป่ยไห่อยู่กี่ชิ้น?”

อวี้ซือไป๋ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

คำพูดของหลินเป่ยเฉินทำให้นางนึกถึงอีกหนึ่งความเป็นไปได้

เพื่อเพิ่มโอกาสในชัยชนะ ราชวงศ์เป่ยไห่จะยอมเสี่ยงมอบอาวุธประจำชาติทุกชิ้นให้หลินเป่ยเฉินใช้งานเชียวหรือ?

แต่ว่า…

แล้วจะเป็นอะไรไป?

นี่คือการดื่มยาพิษดับกระหายแท้ ๆ

“ต่อให้เจ้าจะมีกระบี่ประจำชาติทั้งสามเล่มอยู่กับตัว แต่พวกมันก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก เพราะว่าพลังของเจ้ามันต่ำต้อยมากเกินไป” อวี้ซือไป๋พูดเสียงเรียบไร้ความรู้สึก “เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ? เมื่อเจ้าหวังพึ่งพาอาวุธเหล่านั้น ก็นับว่าเจ้าพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้แล้ว”

“ยังมีหน้ามาพูดได้อีกนะ”

หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่ในมือชี้เฉียงลงพื้นด้วยความรำคาญใจ ก่อนจะยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นกระดิกนิ้วเรียกหาอย่างท้าทาย “เก่งจริงเจ้าทิ้งคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ แล้วมาสู้กับข้าตัวต่อตัวไหมเล่า?”

พลัน เด็กหนุ่มระเบิดพลังลมปราณของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่งออกมา

เปลวไฟสีทองคำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในเวลานี้

ทุกคนที่อยู่บนอัฒจันทร์ต่างก็รู้สึกกดดันแทบหายใจไม่ออก

ผู้มีพลังอยู่ในขั้นเซียน แม้จะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในขั้นเซียนอยู่ดี

พลังกดดันที่หลินเป่ยเฉินปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนดูกว่า 600,000 ชีวิตต้องตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของอวี้ซือไป๋

นางยกมือขึ้นและลูบศีรษะของนกอินทรียักษ์ด้วยความอ่อนโยน

“ในการประลองวันนี้ พวกเราต้องนำสัตว์เลี้ยงของตนเองขึ้นมาบนเวทีด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้า นำสัตว์เลี้ยงของเจ้ามาสู้กับสัตว์เลี้ยงของข้าก่อน…ไม่ทราบว่าเสือดาวลายมังกรของเจ้าอยู่ที่ใด?”

อวี้ซือไป๋จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเหยียดหยาม

ข่าวเรื่องที่ว่าราชวงศ์เป่ยไห่มอบเสือดาวลายมังกรให้หลินเป่ยเฉินใช้ต่อสู้ในการประลองครั้งนี้ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป และสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงก็นำข่าวนี้มาแจ้งให้อวี้ซือไป๋รับทราบตั้งแต่แรก

“ว่าไงนะ? นี่เจ้าคิดว่าข้าจะเอาเสือดาวหน้าตางดงามเช่นนั้นมาสู้กับนกแร้งทะเลทรายหน้าตาอัปลักษณ์ของเจ้าจริงสิ?”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “รอบกายข้ามีสัตว์อสูรฝีมือดีอยู่นับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นเป็นถึงราชันย์แห่งราชันย์อสูร และวันนี้ ข้าขอเลือกเจ้าหนูน้อยที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร…ออกมาเลย ผู้เฝ้าประตูนรก อากวง!”

ทันใดนั้น เกิดลำแสงสีเงินเป็นประกายวิบวับในอากาศ

แล้วเจ้าหนูที่มีขนสีเงินขนาดร่างกายใหญ่ยักษ์เกือบเท่ามนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นจากกลางอากาศ และยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินด้วยความมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

“จี๊ด!”

อากวงหมุนตัวตีลังกาสามตลบเพื่อให้สมกับการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของหลินเป่ยเฉิน

เพี๊ยะ!

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินใช้มือตบหลังศีรษะของเจ้าหนูอย่างแรงและดุว่า “นี่ใช่เวลามาตีลังกาไหม? เจ้าดูสถานการณ์ให้ดี ที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้นคืออินทรีอสูรปีกมรกตคู่ต่อสู้ของเจ้า ยังไม่รีบเบ่งกล้ามให้มันดูอีก”

ได้ยินดังนั้น อากวงก็หันกลับไปมองอินทรีอสูรพร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟันและส่งเสียงคำรามแหบต่ำจากในลำคอ

ในเวลาเดียวกันนี้ มันก็พยายามเบ่งกล้ามแขนของตนเองอย่างสุดความสามารถ

ซึ่งทำให้เจ้าหนู…ดูตัวอ้วนพี…อย่างน่ารักน่าชัง

“กร๊าซ!”

อินทรีอสูรปีกมรกตมีแววตาเหยียดหยามเล็กน้อย

เกิดเสียงอุทานดังขึ้นรอบสังเวียนประลอง

เจ้าหนูตัวนี้ขึ้นมาอยู่บนเวทีตั้งแต่เมื่อไหร่?

ทำไมถึงไม่มีใครสังเกตเห็นมันมาก่อน?

แต่เจ้าหนูมีหน้าตาน่ารักขนาดนี้ มันจะสามารถต่อสู้ได้จริงหรือ?

“ไม่ได้การ นกกับหนูถือเป็นศัตรูที่แพ้ทางกันมาตั้งแต่กำเนิด”

“คุณชายหลินแย่แล้ว”

“หมดกัน…”

ในห้องรับรอง บรรดาขุนนางใหญ่เริ่มพูดคุยด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

ชาซานถงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ในขณะที่องค์ชายเจ็ดและเสี่ยวเย่มีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาพร้อมกัน

บนเวทีประลอง

“ไปเลย”

อวี้ซือไป๋ลูบหัวสัตว์เลี้ยงของตนเองอย่างแผ่วเบา “หนูตัวนั้นคืออาหารของเจ้า”

“กร๊าซ!”

อินทรีอสูรปีกมรกตหลับตาพริ้มรับการสัมผัสจากมือที่นุ่มนวลของอวี้ซือไป๋ ก่อนที่มันจะลืมตาขึ้น และหันมามองทางอากวงกับหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายกระหายเลือด

ราวกับว่ามันต้องการจะทำลายล้างโลกทั้งใบ

“จี๊ด?”

อากวงพองขนของมันชี้ชันทั่วลำตัวจนมีสภาพไม่ต่างจากเม่นยักษ์สีเงินตัวหนึ่ง

และเจ้าหนูก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความลังเลใจ

เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความดุร้าย

หลายคนเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ต่างก็พากันเข้าใจโดยทันทีว่า…

เจ้าหนูผู้น่ารักไม่อยากจะต่อสู้ มันหันไปมองหน้าเจ้านายเพื่อขอความเห็นใจ ทว่า เจ้านายกลับพยักหน้าส่งมันออกไปตายด้วยความอำมหิต

และอินทรีอสูรปีกมรกตตัวนั้นก็ไม่เปิดโอกาสรอดให้แก่เจ้าหนูเลย

ครืน!

เสียงมวลอากาศปั่นป่วน

พญาอินทรีมรณะเปลี่ยนกายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งเข้าหาอากวงด้วยความเร็วสูงสุด!

แล้วแรงระเบิดก็เกิดขึ้นราวกับพายุหมุน

ปรากฏว่าอินทรีอสูรกลับลอยกระเด็นไปกระแทกกับม่านพลังของสังเวียนประลองอย่างแรง

อากวงยังยืนอยู่ที่เดิม

บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความตื่นตะลึง

บังเกิดเสียงกรีดร้องจากอัฒจันทร์โดยรอบ

คนดูจำนวนมากต้องยกมือขึ้นมาปิดตา เพราะไม่อยากเห็นภาพเจ้าหนูผู้น่ารักถูกอินทรียักษ์ฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ…

แต่ขณะนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจแล้ว

เนื่องจากอากวงอยู่ในท่วงท่าที่ขาซ้ายขยับออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ตัวของมันย่อต่ำลง กำปั้นข้างหนึ่งยังคงยื่นออกมาข้างหน้า

เป็นกระบวนท่าต่อยหมัดที่เรียบง่าย

ดูมีความเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง

แต่ผลลัพธ์นั้น…

เปรี้ยง!