คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายออกมาจากสังเวียนเฟิงอวิ๋น
เวทีประลองสั่นไหวตลอดเวลา
เนื่องจากเจ้านกอินทรียักษ์ถูกหมัดของอากวงกระแทกเข้าใส่
ไม่มีภาพของเจ้าหนูที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ
แต่กลับมีภาพของอินทรีอสูรปีกมรกตที่กระแทกเข้ากับม่านพลังของสังเวียนประลอง ก่อนที่มันจะกระเด้งลงมากระแทกกับพื้นเวทีอีกครั้งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ขนสีเขียวปลิวกระจายในอากาศ
ทุกคนได้แต่เบิกตาโต
นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ก็ใครเล่าจะไปคิดว่ายอดสัตว์อสูรแห่งทะเลทรายน้ำแข็งอย่างอินทรีอสูรตัวนี้ กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่หนูตัวหนึ่งด้วยกระบวนท่าเดียว?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ขนนกยังคงปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
เจ้านกยักษ์นอนขาชี้ฟ้าอยู่บนพื้นเวที ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกแล้ว
“จี๊ด?”
อากวงยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมต่อไปอีกเล็กน้อย
นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอมากเกินไป
เทียบกับเซียวปิงไม่ได้เลยสักนิด
มันหันหน้าไปมองที่หลินเป่ยเฉินอย่างขอความคิดเห็น
คล้ายกับต้องการถามว่า
นายท่าน ข้าน้อยหนักมือมากเกินไปหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยการยกนิ้วโป้งชื่นชม
ประเสริฐ
มีความแข็งแกร่ง สมแล้วที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา
อากวงเข้าใจความหมายของเจ้านายเป็นอย่างดี
มันจึงยกมือตบหน้าอกตนเองอย่างวางมาด
จากนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
ภายใต้การจ้องมองของผู้คนนับไม่ถ้วน เจ้าหนูยักษ์ก็ใช้แขนที่ทรงพลังของมันหยิบกระดานชนวนออกมาจากถุงเก็บของที่แขวนอยู่ข้างเอวและเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง
เอ๋?
หนูตัวนี้สามารถเขียนหนังสือได้ด้วยหรือ?
มันกำลังจะเขียนอะไรออกมา?
ทุกคนได้แต่คิดด้วยความสงสัย
อากวงที่เพิ่งเผด็จศึกคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว กลายเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความสนใจบนเวทีประลองไปเสียแล้ว
หลังจากเขียนขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง อากวงก็หันกระดานไปให้อวี้ซือไป๋ดู
สายตาของผู้คนบนอัฒจันทร์จ้องมองไปที่ข้อความบนกระดาน
พวกเขาเห็นข้อความหนึ่งประโยคว่า…
‘มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ?’
นับเป็นตัวอักษรที่เขียนออกมาได้อย่างสวยงามยิ่ง
ตั้งแต่ตัวอักษรแรกถึงตัวอักษรสุดท้าย ไม่ต่างไปจากเป็นการเขียนโดยนักคัดลอกตัวอักษรระดับปรมาจารย์
แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความหมายของประโยคนี้ต่างหาก
หลังความเงียบงันครอบคลุมบรรยากาศ เสียงหัวเราะก็ดังกังวานไปทั่วสังเวียนเฟิงอวิ๋น
กลุ่มคนดูที่เมื่อสักครู่ยังวิตกกังวล ขณะนี้ พวกเขากลับหัวเราะออกมาได้แล้ว
ตอนแรก ทุกคนล้วนเข้าใจว่าอินทรีอสูรปีกมรกตคงสามารถสังหารเจ้าหนูตัวนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงถูกเจ้าหนูต่อยไปหมัดเดียวเท่านั้น นกอินทรียักษ์กลับนอนสลบเหมือด ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้มีสภาพเป็นหรือตาย
สถานการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้คือเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ?
ประโยคคำถามที่คล้ายกับเป็นประโยคเหยียดหยามมากกว่าประโยคที่ต้องการคำตอบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ร้อนระอุมากกว่าเดิม
ครืด ครืด
อากวงเริ่มเขียนอะไรบางอย่างบนกระดานอีกครั้ง
‘แม่นาง นกเขาของท่านไม่ขันเสียแล้ว’
มันชูข้อความบนกระดานให้อวี้ซือไป๋อ่านอีกครั้ง
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาวโรจน์ราวกับคมมีด
เสียงหัวเราะจากผู้คนบนอัฒจันทร์ยิ่งดังกังวานมากขึ้นและมากขึ้น
เจ้าหนูตัวนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว
ถึงกับรู้จักใช้ถ้อยคำสองแง่สองง่ามด้วย
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินตบหัวอากวงอีกครั้ง
“เขียนอะไรออกมา เจ้าคิดบ้างหรือไม่? ฮะ?” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “นางเป็นสตรี จะไปมีนกเขาได้อย่างไร?”
อากวงรีบก้มหน้าต่ำยอมรับความผิด
เสียงหัวเราะดังกระหึ่มจากผู้คนบนอัฒจันทร์อีกครั้ง
…
ในห้องรับรองแขกระดับสูง
ที่นี่กำลังกึกก้องด้วยเสียงโห่ร้อง
ย่อมเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นของขุนนางใหญ่ชาวเป่ยไห่
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจั่วเซียง หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาคลี่คลายลงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เสี่ยวเย่ เสี่ยวเจิน และเสี่ยวเทียน ต่างก็กระโดดกอดกันและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ
องค์ชายเจ็ดไม่รักษาภาพลักษณ์ขององค์ชายผู้สูงส่งอีกแล้ว เขาโยนบุตรสาวในอ้อมแขนขึ้นไปในอากาศ ทำเอาบุตรสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ…
ส่วนทางด้านผู้คนของจักรวรรดิจี้กวงล้วนอยู่ในความตกตะลึง
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
องค์ชายอวี่มีสีหน้าตื่นตะลึงจนเกือบจะลุกยืนขึ้นมา
นี่คืออินทรีอสูรปีกมรกต ยอดนักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลทรายน้ำแข็งเชียวนะ
ในดินแดนอันกว้างใหญ่ของจักรวรรดิจี้กวง ไม่รู้เลยว่าต้องมียอดมือธนูมากมายขนาดไหนที่เสียชีวิตภายใต้กรงเล็บของนกอินทรีตัวนี้
ดังนั้น กว่าที่อวี้ซือไป๋จะสามารถนำมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
เป็นระยะเวลาหลายปีที่อินทรีอสูรปีกมรกตตัวนี้ ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดสัตว์อสูรของจักรวรรดิจี้กวง
แล้วเหตุไฉนมันถึงมาพ่ายแพ้ให้แก่หนูยักษ์ตัวหนึ่งอย่างราบคาบ?
เว่ยชงเฟิงและมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าหันมองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก ในใจรู้สึกตกตะลึงเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
โดยเฉพาะมือสังหารถัวป่า
เขารู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าผู้ใด
ตอนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ถัวป่าเคยเห็นเจ้าหนูอากวงตัวนี้มาแล้ว
ตอนแรก เขาจำมันไม่ได้ว่าเจ้าหนูอสูรหางกุดตัวนี้ คือตัวเดียวกับที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
ในตอนนั้น สัตว์เลี้ยงคู่ใจของหลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหนูตัวเล็ก ๆ ที่เพียงจ้องมองด้วยแววตาอาฆาต มันก็คงหัวใจวายตายแล้ว
แต่บัดนี้เล่า…
มันกลับกลายเป็นหนูยักษ์
ถัวป่ารู้สึกขนลุก
บัดนี้ อย่าว่าแต่จะให้เขาไปสู้กับหลินเป่ยเฉินเลย ต่อให้ไปรับมือกับเพลงหมัดของเจ้าหนูตัวนี้ เขาก็คงไม่สามารถต้านทานมันได้ด้วยซ้ำ
เหตุไฉนทั้งคนทั้งหนูถึงได้มีฝีมือแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วขนาดนี้?
ทันใดนั้น ห้วงคิดของมือสังหารธารน้ำแข็งก็ถูกสลายลงไปด้วยเสียงพูดที่สดใสว่า “โอ้โห เจ้าหนูตัวนี้น่ารักจัง ข้าอยากได้มันเป็นสัตว์เลี้ยง เอาไว้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงเมื่อไหร่ ข้าจะให้ท่านป้าเสี่ยวไป๋จับมันมาให้กับข้า…”
อวี่เค่อปรบมือและส่งเสียงพูดอย่างไร้เดียงสา
คำพูดของนางทำให้ผู้เป็นบิดากลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง
จริงด้วยสินะ
นี่เป็นแค่การต่อสู้ระหว่างสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเจ้านายสักหน่อย
อวี้ซือไป๋มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้อยู่ในมือ ต่อให้หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับสัตว์เลี้ยงของตนเองรุมโจมตีนาง พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ซือไป๋อยู่ดี
และที่โต๊ะใหญ่ใจกลางห้องรับรอง
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าเล็กน้อย
…
อวี้ซือไป๋รีบเข้าไปตรวจสอบสัตว์เลี้ยงของตนเอง และพบว่ามันยังไม่ตาย เพียงแต่หมดสติ ไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ”
อวี้ซือไป๋รีบสงบจิตใจ สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด ๆ อีก นางจ้องมองอากวงด้วยความสงสัย ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอยู่นานสองนาน แล้วถามว่า “เจ้าเลี้ยงสัตว์อสูรชนิดใด?”
“ก็แค่หนูไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยชา แต่ในใจจริงกำลังลิงโลดด้วยความยินดียิ่ง
“น่าสนใจ”
อวี้ซือไป๋ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าเคยบอกเจ้าว่าการประลองในวันนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยลูกธนูดอกเดียว…ข้าเคยอยากให้โอกาสเจ้าได้เป็นฝ่ายชักกระบี่โจมตีก่อน แต่บัดนี้ ข้าต้องรีบนำตัวอินทรีของข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้น ข้าจึงต้องรีบส่งเจ้าลงนรกโดยเร็วที่สุดเสียแล้ว”
คันธนูเทพเจ้าร่ำให้ปรากฏแสงสว่างเรืองรอง
พลังลมปราณถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของอวี้ซือไป๋อย่างรุนแรง
เกล็ดน้ำแข็งและเกล็ดหิมะจากการระเบิดตัวของพลังปราณธาตุโปรยปรายในอากาศสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพียงพริบตาเดียว พวกมันก็รวมตัวกลายเป็นพายุหมุน บนท้องฟ้าเหนือสังเวียนประลองปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆดำ บ่งบอกถึงการมาเยือนของพายุหิมะลูกใหญ่…
บนสังเวียนเฟิงอวิ๋นในขณะนี้ พื้นเวทีเริ่มจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งขยายอาณาเขตกว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
อวี้ซือไป๋ยกมือทำท่ารั้งสายธนู
และสิ่งที่รัดพันอยู่บนข้อมือของนางก็ระเบิดประกายเจิดจ้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นสายธนูเส้นหนึ่ง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงลมหายใจแห่งความตาย
พลังอันตรายกดดันถาโถมเข้ามา
โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด เด็กหนุ่มเปิดการใช้งานแอปพลิเคชันกางอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์
“ยินดีต้อนรับแม่นางผู้ใจร้าย…เข้าสู่ห้องเชือดของข้า”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งร่ายคาถา
เสียงคำรามของเขาดังกังวานไปทั่วเวที
แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินกับอวี้ซือไป๋ก็หายวับไปจากสายตาของทุกคนอย่างน่าพิศวง
“นี่มันอะไรกัน?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้คนหายไปไหนแล้ว?”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นรอบทิศทาง
ดวงตาของทุกคนเบิกโตอีกครั้ง