บทที่ 937 เบิกตาโต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายออกมาจากสังเวียนเฟิงอวิ๋น

เวทีประลองสั่นไหวตลอดเวลา

เนื่องจากเจ้านกอินทรียักษ์ถูกหมัดของอากวงกระแทกเข้าใส่

ไม่มีภาพของเจ้าหนูที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ

แต่กลับมีภาพของอินทรีอสูรปีกมรกตที่กระแทกเข้ากับม่านพลังของสังเวียนประลอง ก่อนที่มันจะกระเด้งลงมากระแทกกับพื้นเวทีอีกครั้งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ขนสีเขียวปลิวกระจายในอากาศ

ทุกคนได้แต่เบิกตาโต

นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ก็ใครเล่าจะไปคิดว่ายอดสัตว์อสูรแห่งทะเลทรายน้ำแข็งอย่างอินทรีอสูรตัวนี้ กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่หนูตัวหนึ่งด้วยกระบวนท่าเดียว?

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

ขนนกยังคงปลิวว่อนอยู่ในอากาศ

เจ้านกยักษ์นอนขาชี้ฟ้าอยู่บนพื้นเวที ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกแล้ว

“จี๊ด?”

อากวงยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมต่อไปอีกเล็กน้อย

นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอมากเกินไป

เทียบกับเซียวปิงไม่ได้เลยสักนิด

มันหันหน้าไปมองที่หลินเป่ยเฉินอย่างขอความคิดเห็น

คล้ายกับต้องการถามว่า

นายท่าน ข้าน้อยหนักมือมากเกินไปหรือไม่?

หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยการยกนิ้วโป้งชื่นชม

ประเสริฐ

มีความแข็งแกร่ง สมแล้วที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา

อากวงเข้าใจความหมายของเจ้านายเป็นอย่างดี

มันจึงยกมือตบหน้าอกตนเองอย่างวางมาด

จากนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

ภายใต้การจ้องมองของผู้คนนับไม่ถ้วน เจ้าหนูยักษ์ก็ใช้แขนที่ทรงพลังของมันหยิบกระดานชนวนออกมาจากถุงเก็บของที่แขวนอยู่ข้างเอวและเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง

เอ๋?

หนูตัวนี้สามารถเขียนหนังสือได้ด้วยหรือ?

มันกำลังจะเขียนอะไรออกมา?

ทุกคนได้แต่คิดด้วยความสงสัย

อากวงที่เพิ่งเผด็จศึกคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว กลายเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความสนใจบนเวทีประลองไปเสียแล้ว

หลังจากเขียนขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง อากวงก็หันกระดานไปให้อวี้ซือไป๋ดู

สายตาของผู้คนบนอัฒจันทร์จ้องมองไปที่ข้อความบนกระดาน

พวกเขาเห็นข้อความหนึ่งประโยคว่า…

‘มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ?’

นับเป็นตัวอักษรที่เขียนออกมาได้อย่างสวยงามยิ่ง

ตั้งแต่ตัวอักษรแรกถึงตัวอักษรสุดท้าย ไม่ต่างไปจากเป็นการเขียนโดยนักคัดลอกตัวอักษรระดับปรมาจารย์

แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความหมายของประโยคนี้ต่างหาก

หลังความเงียบงันครอบคลุมบรรยากาศ เสียงหัวเราะก็ดังกังวานไปทั่วสังเวียนเฟิงอวิ๋น

กลุ่มคนดูที่เมื่อสักครู่ยังวิตกกังวล ขณะนี้ พวกเขากลับหัวเราะออกมาได้แล้ว

ตอนแรก ทุกคนล้วนเข้าใจว่าอินทรีอสูรปีกมรกตคงสามารถสังหารเจ้าหนูตัวนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงถูกเจ้าหนูต่อยไปหมัดเดียวเท่านั้น นกอินทรียักษ์กลับนอนสลบเหมือด ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้มีสภาพเป็นหรือตาย

สถานการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้คือเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง

มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ?

ประโยคคำถามที่คล้ายกับเป็นประโยคเหยียดหยามมากกว่าประโยคที่ต้องการคำตอบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ร้อนระอุมากกว่าเดิม

ครืด ครืด

อากวงเริ่มเขียนอะไรบางอย่างบนกระดานอีกครั้ง

‘แม่นาง นกเขาของท่านไม่ขันเสียแล้ว’

มันชูข้อความบนกระดานให้อวี้ซือไป๋อ่านอีกครั้ง

ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาวโรจน์ราวกับคมมีด

เสียงหัวเราะจากผู้คนบนอัฒจันทร์ยิ่งดังกังวานมากขึ้นและมากขึ้น

เจ้าหนูตัวนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว

ถึงกับรู้จักใช้ถ้อยคำสองแง่สองง่ามด้วย

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินตบหัวอากวงอีกครั้ง

“เขียนอะไรออกมา เจ้าคิดบ้างหรือไม่? ฮะ?” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “นางเป็นสตรี จะไปมีนกเขาได้อย่างไร?”

อากวงรีบก้มหน้าต่ำยอมรับความผิด

เสียงหัวเราะดังกระหึ่มจากผู้คนบนอัฒจันทร์อีกครั้ง

ในห้องรับรองแขกระดับสูง

ที่นี่กำลังกึกก้องด้วยเสียงโห่ร้อง

ย่อมเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นของขุนนางใหญ่ชาวเป่ยไห่

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจั่วเซียง หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาคลี่คลายลงเล็กน้อย

ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เสี่ยวเย่ เสี่ยวเจิน และเสี่ยวเทียน ต่างก็กระโดดกอดกันและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ

องค์ชายเจ็ดไม่รักษาภาพลักษณ์ขององค์ชายผู้สูงส่งอีกแล้ว เขาโยนบุตรสาวในอ้อมแขนขึ้นไปในอากาศ ทำเอาบุตรสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ…

ส่วนทางด้านผู้คนของจักรวรรดิจี้กวงล้วนอยู่ในความตกตะลึง

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”

องค์ชายอวี่มีสีหน้าตื่นตะลึงจนเกือบจะลุกยืนขึ้นมา

นี่คืออินทรีอสูรปีกมรกต ยอดนักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลทรายน้ำแข็งเชียวนะ

ในดินแดนอันกว้างใหญ่ของจักรวรรดิจี้กวง ไม่รู้เลยว่าต้องมียอดมือธนูมากมายขนาดไหนที่เสียชีวิตภายใต้กรงเล็บของนกอินทรีตัวนี้

ดังนั้น กว่าที่อวี้ซือไป๋จะสามารถนำมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

เป็นระยะเวลาหลายปีที่อินทรีอสูรปีกมรกตตัวนี้ ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดสัตว์อสูรของจักรวรรดิจี้กวง

แล้วเหตุไฉนมันถึงมาพ่ายแพ้ให้แก่หนูยักษ์ตัวหนึ่งอย่างราบคาบ?

เว่ยชงเฟิงและมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าหันมองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก ในใจรู้สึกตกตะลึงเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

โดยเฉพาะมือสังหารถัวป่า

เขารู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าผู้ใด

ตอนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ถัวป่าเคยเห็นเจ้าหนูอากวงตัวนี้มาแล้ว

ตอนแรก เขาจำมันไม่ได้ว่าเจ้าหนูอสูรหางกุดตัวนี้ คือตัวเดียวกับที่เขาเคยพบเจอมาก่อน

ในตอนนั้น สัตว์เลี้ยงคู่ใจของหลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหนูตัวเล็ก ๆ ที่เพียงจ้องมองด้วยแววตาอาฆาต มันก็คงหัวใจวายตายแล้ว

แต่บัดนี้เล่า…

มันกลับกลายเป็นหนูยักษ์

ถัวป่ารู้สึกขนลุก

บัดนี้ อย่าว่าแต่จะให้เขาไปสู้กับหลินเป่ยเฉินเลย ต่อให้ไปรับมือกับเพลงหมัดของเจ้าหนูตัวนี้ เขาก็คงไม่สามารถต้านทานมันได้ด้วยซ้ำ

เหตุไฉนทั้งคนทั้งหนูถึงได้มีฝีมือแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วขนาดนี้?

ทันใดนั้น ห้วงคิดของมือสังหารธารน้ำแข็งก็ถูกสลายลงไปด้วยเสียงพูดที่สดใสว่า “โอ้โห เจ้าหนูตัวนี้น่ารักจัง ข้าอยากได้มันเป็นสัตว์เลี้ยง เอาไว้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงเมื่อไหร่ ข้าจะให้ท่านป้าเสี่ยวไป๋จับมันมาให้กับข้า…”

อวี่เค่อปรบมือและส่งเสียงพูดอย่างไร้เดียงสา

คำพูดของนางทำให้ผู้เป็นบิดากลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง

จริงด้วยสินะ

นี่เป็นแค่การต่อสู้ระหว่างสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเจ้านายสักหน่อย

อวี้ซือไป๋มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้อยู่ในมือ ต่อให้หลินเป่ยเฉินร่วมมือกับสัตว์เลี้ยงของตนเองรุมโจมตีนาง พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ซือไป๋อยู่ดี

และที่โต๊ะใหญ่ใจกลางห้องรับรอง

เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าเล็กน้อย

อวี้ซือไป๋รีบเข้าไปตรวจสอบสัตว์เลี้ยงของตนเอง และพบว่ามันยังไม่ตาย เพียงแต่หมดสติ ไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกแล้ว

“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ”

อวี้ซือไป๋รีบสงบจิตใจ สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด ๆ อีก นางจ้องมองอากวงด้วยความสงสัย ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอยู่นานสองนาน แล้วถามว่า “เจ้าเลี้ยงสัตว์อสูรชนิดใด?”

“ก็แค่หนูไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยชา แต่ในใจจริงกำลังลิงโลดด้วยความยินดียิ่ง

“น่าสนใจ”

อวี้ซือไป๋ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าเคยบอกเจ้าว่าการประลองในวันนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยลูกธนูดอกเดียว…ข้าเคยอยากให้โอกาสเจ้าได้เป็นฝ่ายชักกระบี่โจมตีก่อน แต่บัดนี้ ข้าต้องรีบนำตัวอินทรีของข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้น ข้าจึงต้องรีบส่งเจ้าลงนรกโดยเร็วที่สุดเสียแล้ว”

คันธนูเทพเจ้าร่ำให้ปรากฏแสงสว่างเรืองรอง

พลังลมปราณถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของอวี้ซือไป๋อย่างรุนแรง

เกล็ดน้ำแข็งและเกล็ดหิมะจากการระเบิดตัวของพลังปราณธาตุโปรยปรายในอากาศสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เพียงพริบตาเดียว พวกมันก็รวมตัวกลายเป็นพายุหมุน บนท้องฟ้าเหนือสังเวียนประลองปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆดำ บ่งบอกถึงการมาเยือนของพายุหิมะลูกใหญ่…

บนสังเวียนเฟิงอวิ๋นในขณะนี้ พื้นเวทีเริ่มจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งขยายอาณาเขตกว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

อวี้ซือไป๋ยกมือทำท่ารั้งสายธนู

และสิ่งที่รัดพันอยู่บนข้อมือของนางก็ระเบิดประกายเจิดจ้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นสายธนูเส้นหนึ่ง

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงลมหายใจแห่งความตาย

พลังอันตรายกดดันถาโถมเข้ามา

โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด เด็กหนุ่มเปิดการใช้งานแอปพลิเคชันกางอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์

“ยินดีต้อนรับแม่นางผู้ใจร้าย…เข้าสู่ห้องเชือดของข้า”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งร่ายคาถา

เสียงคำรามของเขาดังกังวานไปทั่วเวที

แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินกับอวี้ซือไป๋ก็หายวับไปจากสายตาของทุกคนอย่างน่าพิศวง

“นี่มันอะไรกัน?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ผู้คนหายไปไหนแล้ว?”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นรอบทิศทาง

ดวงตาของทุกคนเบิกโตอีกครั้ง