“ที่นี่คือที่ไหน?”
อวี้ซือไป๋คำรามด้วยน้ำเสียงดุร้าย ในมือกำคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้แนบแน่น
นางไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในสถานที่มืดมิดแห่งนี้เสียแล้ว
ปรากฏดวงไฟดวงเล็กดวงน้อยราวกับดวงวิญญาณภูตผีลอยอยู่ในอากาศ
บนพื้นเต็มไปด้วยหมอกควันสีเทา
หมอกควันเหล่านั้นลอยตลบอบอวล ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมา
สายตาสามารถกวาดมองรอบตัวได้ไม่ไกล
นี่คือดินแดนที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่า…
นี่จะเป็นโลกหลังความตาย
เหตุไฉนนางถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นบนสังเวียนเฟิงอวิ๋น
นอกจากนั้น…
หลินเป่ยเฉินก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย?
“ว่าอย่างไร แม่นาง”
เสียงที่เย็นเยียบดังขึ้นด้านหลังอวี้ซือไป๋
“ขอต้อนรับสู่ห้องเชือดของข้า เจ้ากำลังมองหาข้าอยู่ใช่หรือไม่? ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มชั่วร้ายเดินออกมาจากหลังม่านหมอกขาว
“ที่นี่คือที่ไหน?”
อวี้ซือไป๋ถามด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
สายตาที่นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากลูกธนูดอกหนึ่งที่หมายมั่นเอาชีวิต
นับตั้งแต่ขึ้นมาอยู่ในขอบเขตพลังขั้นเซียน ไม่เคยมีครั้งใดที่อวี้ซือไป๋จะรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นนี้มาก่อน
ครั้งสุดท้ายที่นางรู้สึกเช่นนี้ ก็คือตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปในทะเลทรายน้ำแข็งเป็นครั้งแรกและถูกอินทรีอสูรปีกมรกตจ้องมองด้วยความดุร้าย
ตอนนั้น นางแทบเอาชีวิตไม่รอด
“ที่นี่ก็คือพื้นที่ในแอป… เอ๊ย พื้นที่ในอาณาเขตลับของข้า”
หลินเป่ยเฉินควงกระบี่สีเขียวมรกตในมือเล่นพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ซึ่งมันมีไว้ฆ่าคนโดยเฉพาะ!”
อวี้ซือไป๋พูดอะไรไม่ออก
อาณาเขตลับคืออะไร?
ฟังดูไม่ชอบมาพากล
“เจ้าใช้ค่ายอาคมชนิดใด? หรือเจ้าใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นไหน?”
อวี้ซือไป๋รีบคิดหาความเป็นไปได้อื่น ๆ
จังหวะนี้ หลินเป่ยเฉินก็นำลำโพงบลูทูธที่เขาซื้อมาจากแอป Taobao มาเปิดใช้งานโดยไม่ลังเล
เมื่อจัดการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือเรียบร้อย เสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้นมา
นี่คือเพลงประกอบภาพยนตร์แนวกำลังภายในเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า
ในภาพยนตร์เรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้าฉบับปี 1997 มันเป็นเพลงประจำตัวของเฉียวฟงหัวหน้าพรรคกระยาจกในเรื่องซึ่งโด่งดังมากในปีนั้น
เวลาที่เพลงนี้เปิดขึ้นมาในฉาก หัวหน้าพรรคกระยาจกไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงดาวน์โหลดเพลงนี้มาเก็บเอาไว้ในแอป NetEase Cloud Music
เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับอวี้ซือไป๋ในวันนี้ให้มากที่สุด หลินเป่ยเฉินถึงกับยอมเสียเงินจำนวนไม่น้อย
เพราะชีวิตย่อมสำคัญกว่าเงินทอง
เงินทองหมดแล้วย่อมสามารถหาใหม่ได้ แต่ชีวิตคนเมื่อตายแล้วก็ไม่สามารถกลับคืนมาได้อีก เพราะฉะนั้น แอป NetEase Cloud Music จึงถูกเปิดใช้งานอยู่ในขณะนี้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเลือดลมในร่างกายเดือดพล่าน พลังลมปราณของเขาพุ่งกระฉูด ระดับพลังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นเซียนระดับสอง และภายใต้การส่งเสริมพลังจากเพลงที่เล่นอยู่ในพื้นหลัง มวลพลังของเขาก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ…
“นี่เจ้าปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตนเองมาตลอดเลยหรือ?”
อวี้ซือไป๋เลิกคิ้วขึ้นสูง
ความรู้สึกโกรธแค้นเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ
นับว่าหลินเป่ยเฉินมีความร้ายกาจอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มถึงกับยอมแสดงละครตบตามาตลอดก่อนการประลองในวันนี้?
“ข้ายังมีเรื่องให้เจ้าประหลาดใจอีกเยอะ!”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
เขาใช้ฟังก์ชันการแสดงภาพ 4 มิติจากโทรศัพท์มือถือ
ดังนั้น ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ขณะนี้จึงมีร่างแยกของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นหลายสิบร่าง จนเป็นเรื่องยากที่จะสามารถแยกแยะได้อีกแล้ว ว่าร่างไหนคือร่างจริงและร่างไหนคือร่างปลอม
“แม่นางรู้สึกไหมว่าพลังของเจ้าลดน้อยลง?”
หลินเป่ยเฉินหลายสิบคนนั้นพูดออกมาพร้อมกัน
ราวกับว่าทุกร่างคือตัวจริง
หลังจากโทรศัพท์มือถือได้รับการอัปเกรดอุปกรณ์ ความสามารถในการฉายภาพ 4 มิติก็พัฒนามากขึ้น นอกจากร่างแยกของหลินเป่ยเฉินจะมีหน้าตาเหมือนกับตัวจริงทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด การขยับร่างกาย หรือแม้แต่จังหวะหายใจก็ถอดแบบมาจากตัวจริงอีกด้วย ขาดไปก็แต่เพียงพลังในการต่อสู้เท่านั้น
อวี้ซือไป๋ถึงกับตกตะลึงสุดขีดแล้วจริง ๆ
นางแยกไม่ออกอีกแล้วว่าร่างไหนคือหลินเป่ยเฉินตัวจริง
และนี่ก็ถือเป็นอุปสรรคสำหรับมือธนู
ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวยังพบว่าพลังปราณธาตุน้ำแข็งของตนเองลดน้อยลง และดูเหมือนว่าระดับพลังในร่างกายจะหายไปประมาณ 20 ส่วน
อาณาเขตผีสางแห่งนี้ทำให้ระดับพลังในการต่อสู้ลดลงอย่างนั้นหรือ?
หรือว่ามันจะทำให้พลังของนางลดลงเรื่อย ๆ ตลอดเวลา?
สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด
และในขณะนี้ เด็กหนุ่มก็ได้ใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายในมือของเขาออกมาแล้ว
วิชาโลหิตกระชากวิญญาณ…
นี่คือวิชาลับในยุทธภพ เมื่อผู้ที่มีพลังในขั้นเซียนใช้วิชานี้ มันก็จะช่วยเพิ่มพลังในร่างกายได้อีกถึงสิบส่วน
ถึงอาจจะเป็นจำนวนที่ไม่มาก
แต่อย่างน้อยก็มีพลังเพิ่มขึ้นมา
ทำให้มีโอกาสคว้าชัยชนะมากขึ้น
“กระบวนท่ากระบี่ปราณธาตุทองคำคว่ำพสุธา!”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาเสียงดัง
และเริ่มโคจรพลังปราณธาตุทองคำลงไปที่กระบี่ในมือ
อวี้ซือไป๋ก็ระเบิดพลังลมปราณของนางออกมาเช่นกัน
“ศรดับเทวะ!”
เสียงคำรามแผดก้อง นิ้วมือของนางดึงสายธนูไปด้านหลัง บังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าราวกับแสงของดวงจันทร์ ก่อนที่พลังปราณธาตุน้ำแข็งและหิมะจะไหลรินเข้าสู่คันธนูเทพเจ้าร่ำไห้
ตอนที่เอาชนะเกาเฉิงฮั่นครั้งที่แล้ว นางใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
แต่บัดนี้ ลูกศรดอกนี้ อวี้ซือไป๋ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่นางมีอยู่ในชีวิตนี้ออกมาแล้ว!
…
สังเวียนเฟิงอวิ๋น
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างก็สงสัยเหมือนกัน
เนื่องจากคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายอยู่ดี ๆ ก็หายตัวไปจากเวทีประลอง
ในห้องรับรองแขกระดับสูง ทุกคนต่างก็สงสัยใจยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นอัครเสนาบดีจั่วเซียง ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเย่ องค์ชายเจ็ด หรือองค์ชายอวี่ มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่า องค์หญิงอวี่เค่อ…
และแม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสามท่านจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอย่างจีหวูชวง ลู่ซินและชาซานถง ก็ไม่เข้าใจอีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจได้ทั้งสิ้น
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
ใครคนหนึ่งร้องอุทานออกมาขณะชี้มือไปที่เวทีประลอง และเห็นเงาร่างสองสายกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดจนกลายเป็นภาพพร่ามัว
แต่ไม่มีใครทราบว่ามันคืออะไร
การต่อสู้จบลงแล้วใช่หรือไม่?
หรือว่ายังไม่จบ?
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร?
ผู้คนทั้งสองฝ่ายต่างก็มึนงงสงสัย
มีแต่เพียงอากวงเท่านั้นที่ยังยืนอยู่บนเวทีได้อย่างเยือกเย็น
เนื่องจากมันเคยเข้าไปเป็นคู่ซ้อมให้นายท่านในอาณาเขตแห่งนั้นมาก่อน อากวงจึงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนายท่านและคู่ต่อสู้เข้าไปอยู่ในนั้น
นายท่านสามารถลากนางเข้าไปได้สำเร็จจริง ๆ
นายท่านย่อมชนะแน่นอน
เจ้าหนูคิดด้วยความมั่นใจ
มันเอียงลำคอเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งของอินทรีอสูรปีกมรกต
‘ขาของนกตัวนี้น่ารับประทานกว่าน่องไก่อีกนะเนี่ย’
อากวงไตร่ตรองและมั่นใจว่าเซียวปิงจะต้องย่างมันออกมาได้อร่อยแน่
เอากลับไปเป็นของขวัญให้เจ้าเด็กอ้วนดีกว่า
ดังนั้น มันจึงเงื้อหมัดของตนเองขึ้นหมายสังหารอินทรียักษ์
แต่ในพริบตานั้น ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
บนเวทีประลองเกิดแสงสว่างวูบ
แล้วร่างสองร่างก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ
หนึ่งนั้นคือร่างของหลินเป่ยเฉินในชุดขาว หน้าอกขวาของเขามีลูกธนูปักติด ร่างกายครึ่งหนึ่งกลายเป็นน้ำแข็ง พลังลมปราณร่อยหรอ
ส่วนอีกร่างย่อมต้องเป็นมือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋ ดูเหมือนนางจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่จังหวะที่ทิ้งตัวลงมายืนบนเวที มือธนูหญิงก็ล้มลงนอนแน่นิ่ง ในร่างกายไม่เหลือพลังลมปราณอยู่อีกแล้ว
“จี๊ด?”
เมื่ออากวงตั้งสติได้ มันก็รีบวิ่งไปประคองหลินเป่ยเฉิน
“ข้าไม่เป็นไร”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
อวี้ซือไป๋มีความแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวสมคำเล่าลือ
ขนาดลากเข้าไปอยู่ในห้องเชือดแล้วแท้ ๆ แต่นางยังเกือบฆ่าเขาได้สำเร็จ
สมแล้วที่เป็นจอมยุทธ์ระดับแนวหน้าของจักรวรรดิจี้กวง
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคุณชายหลินก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าอยู่ดี เขาย่อมไม่ขึ้นมายืนอยู่บนเวทีแห่งนี้อยู่แล้ว หากมีโอกาสที่ตนเองจะพ่ายแพ้แม้เพียงนิดเดียว
สุดท้าย
หลินเป่ยเฉินก็ชนะ!
บัดนี้ ทุกคนที่รับชมการต่อสู้ล้วนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก