ตอนที่ 939 พวกเราชนะแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?
“ดูเหมือนจะชนะแล้ว… ใช่หรือไม่?”
“ที่นอนอยู่นั่นคืออวี้ซือไป๋ใช่ไหม? ข้าไม่ได้ตาฝาดไปเองหรอกนะ?”
“ไม่… นั่นคือนางจริง ๆ”
“ถ้าอย่างนั้น… การประลองก็จบแล้วสิ?”
“พวกเราชนะแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?”
ผู้คนบนอัฒจันทร์ได้แต่กระซิบกระซาบถามไถ่กันและกัน
บรรยากาศในขณะนี้ไม่ต่างไปจากนักศึกษาในห้องสอบที่แอบถามคำตอบจากกัน และทุกคนก็หวาดกลัวว่าผู้คุมสอบอาจจะจับตนเองได้
ในห้องรับรองแขกระดับสูง
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ท่านเอกอัครราชทูตแห่งจักรวรรดิจี้กวงเว่ยชงเฟิงรู้สึกว่าสมองของตนเองถูกแช่แข็ง และสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์แยกแยะไปหมดสิ้น
“เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง…”
มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าหัวใจเต้นดั่งกลองตี รู้สึกเวียนหัวตาลาย คล้ายจะเป็นลม
องค์ชายอวี่ลุกขึ้นยืนแล้ว
ใบหน้าของเขาซีดเซียวขณะยกมือชี้ไปที่เวทีประลอง ริมฝีปากสั่นระริก ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ…
ดวงตาขององค์หญิงอวี่เค่อเบิกโต สีหน้าย่ำแย่ราวกับเด็กน้อยที่ถูกผู้ปกครองจับได้ว่ากระทำความผิด ตุ๊กตาหมีที่โอบกอดอยู่ในอ้อมแขนร่วงหล่นลงไปบนพื้นโดยที่นางไม่รู้ตัว…
ในห้องรับรองมีผู้คนจากจักรวรรดิจี้กวงไม่มากนัก
ขณะนี้ ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี เงียบงันราวกับเป็นคนตาย
ส่วนขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ แน่นอนว่าต้องมีอารมณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“พวกเรา… ชนะแล้วสินะ?”
“อวี้ซือไป๋ดูเหมือนจะไม่รอดชีวิตเสียแล้ว?”
“เร็วเข้า เจ้ารีบแทงข้าที…”
“สวบ!”
“โอ๊ย! เจ้าแทงจริง ๆ ด้วย เจ็บเหลือเกิน เลือดไหลออกมาแล้ว…”
“งั้นหมายความว่านี่คือความจริง พวกเราไม่ได้ฝันไป”
เสียงกระซิบกระซาบของกลุ่มคนดูบนอัฒจันทร์เริ่มกลับกลายเป็นเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจ เช่นเดียวกับผู้คนในห้องรับรองแขกระดับสูง
“อุ๊วะ ฮ่า ๆๆ!”
“หลินเป่ยเฉินชนะแล้ว ข้าก็ชนะเหมือนกัน!”
“เจ้าชนะอะไรไม่ทราบ?”
“ข้าเดิมพันไว้ที่บ่อนหรู่อี้ในตัวเมือง พนันว่าเขาต้องเป็นฝ่ายชนะน่ะสิ อัตราการต่อรองคือแทง 1 ได้ 100 ข้ากำลังจะรวยแล้ว… ข้ารักหลินเป่ยเฉิน!!”
“ว่าไงนะ? นี่เจ้าไปพนันด้วยหรือ?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ?”
“นี่ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าม้าแข่งของพวกเราจะวิ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ… ฮ่า ๆๆ ช่างสนุกเหลือเกิน”
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจจากคนดู เสี่ยวเย่กับองค์ชายเจ็ดก็มีความตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาก็ถึงกับโห่ร้องออกมาด้วยความลืมตัว
เนื่องจากพวกเขาเองก็ได้ไปแทงพนันเอาไว้เช่นกัน
เพื่อเป็นการให้กำลังใจหลินเป่ยเฉิน
ใครเลยจะไปคิดว่า…
โชคจะเข้าข้างพวกเขาแล้ว
โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ด
องค์ชายหนุ่มผู้รับตำแหน่งอ๋องผู้สืบทอดบัลลังก์หัวเราะร่วน ในสมองกำลังคำนวณอัตราส่วนด่วนจี๋ เงินที่เขาได้จากการแทงพนันในครั้งนี้ ดูเหมือนจะทำให้เขาสามารถล้างหนี้สินหนึ่งล้านเหรียญทองคำที่ติดค้างอยู่กับหลินเป่ยเฉินได้หมดสิ้นแล้วสินะ?
อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็มีความสุขเช่นกัน
แต่ก็ยังมีขุนนางคนอื่น ๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่รักษาท่าที ไม่กล้าแสดงความดีใจออกมามากเกินไป
เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้แปลกประหลาดมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากมองโลกในแง่ดีมากเกินไป
หากสถานการณ์พลิกกลับตาลปัตรเล่า?
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็จ้องมองไปที่สังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินกำลังใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง
แต่น่าเสียดายที่อิทธิฤทธิ์ของวงแหวนวารีไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บจากอาวุธวิเศษของฝ่ายตรงข้าม มันเพียงทำให้เลือดของเด็กหนุ่มไหลออกมาช้าลง และป้องกันไม่ให้เขาหมดสติลงไปเท่านั้นเอง
ครั้งนี้ ถือว่าหลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสมากที่สุดแล้วนับตั้งแต่ทะลุมิติมาที่นี่
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้คนจำนวนมาก หลินเป่ยเฉินก็อยากจะเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นผู้แข็งแกร่ง
เขายกมือขึ้นจับลูกธนูที่ปักติดอยู่บนหน้าอกฝั่งขวา เตรียมกระชากมันออกมาพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะร้องตะโกนว่า ‘อุ๊วะฮ่า ๆๆ ก็ไม่เห็นเท่าไหร่เลยนี่นา!’
แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสกับลูกธนูเท่านั้น ความเจ็บปวดจากบาดแผลก็แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย มันเจ็บปวดลงไปถึงระดับจิตวิญญาณ และนี่คือความเจ็บปวดในชนิดที่แม้แต่คนวิกลจริตก็ทนรับไม่ได้
มันเจ็บปวดมากเกินไป
อย่าดีกว่า
ตอนนี้การเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด
เรื่องภาพลักษณ์ไว้ทีหลังก็ได้
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงปล่อยมือจากลูกธนูแล้ว
“ช่วยพาข้าไปตรงนั้นหน่อย”
หลินเป่ยเฉินกระซิบบอกอากวง
เจ้าหนูผู้ซื่อสัตย์ช่วยประคองเด็กหนุ่มมายืนอยู่ข้างร่างที่นอนแน่นิ่งของอวี้ซือไป๋
“ค้นตัวนาง เอาของมีค่ามาให้หมด”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะที่ทุกคนยังตั้งตัวไม่ทัน เริ่มทำประเพณีเก่าแก่ของตนเองทันที
ความจริง เขาอยากจะค้นตัวอวี้ซือไป๋ด้วยตนเอง
แต่ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บ ทุกครั้งที่ขยับตัวย่อมเกิดความเจ็บปวด อีกอย่าง เมื่อนึกได้ว่าหากทุกคนเห็นเขาเที่ยวลูบคลำเรือนร่างสตรีในที่สาธารณะ มีหวังได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตแน่ ๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสั่งให้อากวงเป็นฝ่ายรับถ้อยคำเหล่านั้นไปแทน
เจ้าหนูอากวงไม่ขัดคำสั่งผู้เป็นเจ้านาย มันใช้มือของตนเองค้นไปทั่วร่างกายของอวี้ซือไป๋ทุกซอกทุกมุม ได้ออกมาทั้งแหวนเก็บสมบัติ กำไลเก็บสมบัติ ผ้าเช็ดหน้าปักลาย ชุดชั้นใน…
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าตนเองคิดผิดถนัดที่ให้อากวงไปค้นตัวอวี้ซือไป๋
เห็นได้ชัดว่าอดีตราชันย์หนูอสูรไม่เข้าใจคำสั่งแม้แต่น้อย มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งใดที่เรียกว่าของมีค่า
ชุดชั้นในของผู้อื่นจะมีประโยชน์อะไร?
จบสิ้นกัน
ในสายตาของผู้คน พวกเขาต้องเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนออกคำสั่งแน่ ๆ
นี่มันชั่วร้ายมากเกินไปแล้ว
เลิกดีกว่า
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเรียกเจ้าหนูกลับมา
แต่โชคดีที่จังหวะสุดท้าย อากวงก็พบคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้พร้อมกับสายรัดข้อมือที่เป็นสายธนูเงิน มันส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะยื่นอาวุธวิเศษนั้นมาให้หลินเป่ยเฉิน…
เมื่อเห็นภาพนี้ เสียงโห่ร้องจากผู้คนบนอัฒจันทร์ก็ยิ่งดังกังวานมากกว่าเดิม
แม้แต่ผู้ที่ยังไม่แน่ใจมากที่สุด บัดนี้ พวกเขาก็สามารถแน่ใจได้สองอย่างแล้วว่า…
หลินเป่ยเฉินชนะแล้วจริง ๆ!
อวี้ซือไป๋ตายแล้วจริง ๆ!!
มิเช่นนั้น นางจะปล่อยให้หนูอสูรตัวนี้ค้นตัวนางได้อย่างไร
“หยุดนะ!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธแค้นดังขึ้น “นั่นคืออาวุธประจำชาติจี้กวง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงไปแตะต้อง?”
ตู้ม!
ผนังห้องรับรองที่เพิ่งจะซ่อมแซมได้ไม่นานถูกผู้คนทะลวงออกไปอีกครั้ง
คราวนี้เป็นองค์ชายอวี่ที่พุ่งทะลวงออกไป
วูบ!
ร่างขององค์ชายใหญ่พุ่งเป็นลำแสงไปยังทิศทางของเวทีประลอง
ในเวลาเดียวกันนี้…
“หยุดยั้งเขา”
“ปกป้องวีรบุรุษของพวกเรา”
วูบวูบวูบ!
บังเกิดลำแสงพุ่งวาบออกจากห้องรับรอง
ขณะนี้ ผู้คนจำนวนหลายสิบชีวิตทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองเฟิงอวิ๋น ซึ่งเมื่อการประลองจบลง ม่านพลังก็ถูกสลายลงไปแล้ว
อัครเสนาบดีจั่วเซียง ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนและคนอื่น ๆ ต่างก็ยืนล้อมรอบหลินเป่ยเฉินอยู่ตรงกลาง
องค์ชายอวี่ลอยอยู่ในอากาศ เขาปะทะฝีมือกับผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนอยู่สามกระบวนท่า ความเร็วจึงได้เชื่องช้าลง และในที่สุดก็ต้องทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนเวทีห่างออกไปหลายวา
มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าก็ลงมือเช่นกัน
แต่เขาก็เผชิญหน้าเข้ากับกระบี่ในมือของอัครเสนาบดีจั่วเซียง ส่งผลให้มือสังหารฉกรรจ์ใบหน้าแดงก่ำ ต้องซวนเซถอยหลังกลับไป
จั่วเซียงมีระดับฝีมือสูงล้ำมากกว่าที่ทุกคนคิด
ทุกชีวิตที่ขึ้นมาอยู่บนสังเวียนในขณะนี้ล้วนชักกระบี่ออกมาแล้ว