“หลานเยวี่ยหลี เจ้ากลับมาหาข้า ต้องมีหนทางอื่น เจ้ากลับมา” ซูจิ่นซีกล่าวอย่างร้อนใจ
ทว่ารอยยิ้มมุมปากของหลานเยวี่ยหลียิ่งลึกซึ้งและเด่นชัดมากขึ้น
ซูจิ่นซีพยายามรวบรวมพลังภายในของนางเพื่อดึงหลานเยวี่ยหลีกลับมา ตงหลิงหวงก็ได้พยายามทุกวิถีทางเช่นเดียวกับซูจิ่นซี ทว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังต่างๆ ในร่างของหลานเยวี่ยหลีค่อยๆ มลายหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
สัตว์ประหลาดควันสีดำยกยิ้มอย่างเย็นชาและน่าสะพรึงกลัว มันดูดเลือดของหลานเยวี่ยหลีอย่างต่อเนื่อง เสียงหัวเราะนั้นชวนขนหัวลุก ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจและความโลภที่ไม่รู้จักพอ
“หลานเยวี่ยหลี เจ้ากลับมาเถิด หากเจ้าตายไปแล้ว ผู้นำซูจะทำอย่างไร? เขาจะต้องเสียใจมากเพียงใด! หลานเยวี่ยหลี เจ้ากลับมาหาข้า กลับมา กลับมา เจ้าบ้าไปแล้ว หากเจ้ากล้าตายไป ชาติภพหน้าต่อให้ข้าพบเจ้าอีก ข้าจะอยู่ให้ห่างจากเจ้าและไม่สนใจเจ้าอีก หลานเยวี่ยหลีกลับมาหาข้า… ”
ถังเสวี่ยยังคงร้องไห้อยู่ตลอด
หลานเยวี่ยหลีค่อยๆ หันศีรษะมามองถังเสวี่ยพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา จนแทบมองไม่เห็นร่างของถังเสวี่ย
“ถังเสวี่ย… ”
นางพูดเพียงชื่อของถังเสวี่ยอย่างแผ่วเบา ร่างสั่นสะท้านจนแทบไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ และไม่ได้พูดประโยคอันใดต่อจากนั้นอีกเลย
ดวงตาของนางค่อยๆ มองผ่านไปยังซูจิ่นซีและตงหลิงหวงด้วยแววตาที่ซับซ้อนลึกซึ้งอย่างมาก
ความตื้นตัน ความคิดถึง อาลัยอาวรณ์ ความปวดใจ ความเจ็บปวด… เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก
ในที่สุด หลานเยวี่ยหลีก็กลายเป็นควันสีน้ำเงินและเลือนหายไป
“อ้าก… ” ถังเสวี่ยตะโกนอย่างควบคุมไม่ได้ นางทรุดตัวร้องไห้อยู่บนพื้น
นางไม่คิดเลยว่า เมื่อเห็นหลานเยวี่ยหลีสลายหายไปต่อหน้าต่อตา นางจะเจ็บปวดมากมายเช่นนี้
แม่นางผู้ที่เงียบสงบและใสซื่อ สะอาดราวกับสายน้ำ ทั้งยังรุ่นราวคราวเดียวกับนาง แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน ทว่าได้ผ่านความเป็นตายมาด้วยกันหลายครั้ง และเป็นคนที่ผ่านความทุกข์ด้วยกันมา
แม้ปากไม่พูดสิ่งใด ทว่าในใจของนาง นางเห็นหลานเยวี่ยหลีเป็นน้องสาวร่วมเป็นตายนานแล้ว
“แม่นางถัง… ”
“ถังเสวี่ย… ”
“แม่นางถังเสวี่ย… ”
เสียงของหลานเยวี่ยหลีที่เคยร้องเรียกนางดังอยู่ข้างใบหูอย่างต่อเนื่อง คนที่อยู่จวนเป่ยอี้อ๋องและลืมทุกอย่าง คิดเพียงว่าตนเองคือเป่ยถังหลีที่เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ทว่ายังคงมีท่าทีเป็นมิตร
“หลานเยวี่ยหลี… ” เสียงพูดแผ่วเบา และอาการเดินโซเซจนแทบจะล้มลง
ตงหลิงหวงรีบประคองซูจิ่นซี “พระชายาโยวอ๋อง โปรดระวังด้วย ”
ซูจิ่นซีจิตใจล่องลอย ดวงตาเหม่อมองไปยังทิศทางที่หลานเยวี่ยหลีหายตัวไป
“จะให้ข้ากลับไปอธิบายเรื่องนี้กับอวี้เอ๋อร์อย่างไร? จะอธิบายกับสกุลหลานอย่างไร! ” ความรู้สึกหนักใจอัดแน่นอยู่ในอกจนซูจิ่นซีแทบขาดลมหายใจ
แม้ซูอวี้จะไม่พูดออกมา ทว่าในใจซูจิ่นซีรู้ดีว่า ในโลกนี้ ผู้ที่หลานเยวี่ยหลีใกล้ชิดที่สุดก็คือซูอวี้ แม้ซูอวี้ไม่ชอบหลานเยวี่ยหลี แต่ยังคงปฏิบัติกับหลานเยวี่ยหลีเหมือนคนในครอบครัว มิฉะนั้น เขาคงไม่เดินทางนับพันลี้ตามหลานเยวี่ยหลีจากแคว้นจงหนิงมาถึงแคว้นเป่ยอี้ และละทิ้งงานของสกุลซูอย่างไม่ลังเล ใช้สถานะคนรับใช้อย่าง ‘เจ้าทึ่ม’ เพื่อติดตามดูแลหลานเยวี่ยหลีตลอดมา
สำหรับสกุลหลาน ไม่ว่าอย่างไร หลานเยวี่ยหลีก็เป็นสายเลือดของหลานเสวียนหมิง ในฐานะผู้นำ นางมีหน้าที่ปกป้องหลานเยวี่ยหลีแทนหลานเสวียนหมิง
ตอนนี้ซูจิ่นซีกลับมองนางจากไปโดยไม่อาจช่วยอันใดได้
ทันใดนั้น บริเวณท้องก็เกิดอาการเจ็บปวด ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
ตงหลิงหวงรีบจับข้อมือของซูจิ่นซี ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ขมวดคิ้วอย่างแรง
“พระชายาโยวอ๋องรักษาสุขภาพด้วย แม้ท่านไม่คิดถึงตนเองก็ควรคิดถึงท่านอ๋องน้อย หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าอาจกระทบถึงเด็กได้”
ซูจิ่นซีเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ทว่านางก็เป็นคนมีเลือดเนื้อและหัวใจ จะไม่ให้นางเสียใจได้อย่างไร?
นางไม่เคยคาดคิดว่า ชั้นที่ห้าของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง หากจะผ่านด่านนี้ไปได้ต้องสังเวยชีวิตแก่ท่านเทพแห่งเผ่าเม้ย หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้น ต่อให้พวกนางตายก็ไม่มีวันเข้ามาในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นแน่
ซูจิ่นซีจับมือตงหลิงหวงอย่างอ่อนแรง “ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับคนที่มีชีวิตอยู่อย่างไร? ”
ตงหลิงหวงเงียบไปครู่หนึ่งและโน้มน้าวว่า “หากพวกเขาเข้าใจเหตุผลและเรื่องราว พวกเขาต้องรู้สึกภูมิใจในตัวของแม่นางเยวี่ยหลีอย่างแน่นอน และจะไม่กล่าวโทษพระชายาโยวอ๋องแน่ อย่างไรก็ตาม ความตายในโลกนี้มีหลายประเภท บางคนเบากว่าขนนก และบางคนหนักอึ้งกว่าขุนเขาไท่ซาน แม่นางเยวี่ยหลีไม่ได้ตายแทนพวกเรา ทว่าเพื่อคนที่มีชีวิตบนโลกนี้ การตายของนางช่างมีเกียรติยิ่งนัก! ”
ในใจของซูจิ่นซีรู้ดีว่า นี่เป็นคำพูดปลอบใจตนเองเท่านั้น ต่อให้ผู้อื่นพูดบิดเบือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้นางคงต้องปล่อยผ่านไปก่อน
แม้ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จะตกอยู่ในสภาวะเศร้าโศกจากการสังเวยชีวิตของหลานเยวี่ยหลีให้กับท่านเทพแห่งเผ่าเม้ย จนไม่อาจทำใจได้ ทว่าการผ่านด่านเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงยังคงต้องดำเนินต่อไป
เข้าสู่ด่านที่หกอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง
ทว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ไม่คาดคิดก็คือ หลังเข้าสู่ด่านที่หก พวกนางก็พบกับเยี่ยโยวเหยา อู๋จุน และซูอวี้ ทั้งสามคน
“แม่นางพิษน้อย! ” อู๋จุนตะโกนเรียกก่อน
“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
ใบหน้าของซูจิ่นซีแสดงออกอย่างเหลือเชื่อ ท่าทางการแสดงออกของตงหลิงหวงและถังเสวี่ยไม่ได้ดีไปกว่าซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เดินมายังข้างกายของซูจิ่นซี และเอามือลูบแก้มนาง
ซูจิ่นซีพูดเบาๆ “เยี่ยโยวเหยา ท่านสบายดีหรือ? เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่? ”
“หลังจากพวกเราออกมาจากมิติมายาในด่านที่สาม ก็มายังที่แห่งนี้”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงถามว่า “นี่คือด่านที่เท่าใด? ”
“ด่านที่หก ด่านสุดท้าย”
“บัดซบ! ” อู๋จุนสบถอย่างรุนแรง “ข้าบอกแล้วว่าเจดีย์แห่งนี้ร้ายกาจ พวกเจ้ายังไม่เชื่อ โชคดีที่พวกเราทุกคนสบายดี”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด อู๋จุนก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติเล็กน้อย
“ทำหน้าเศร้าอันใดกันหรือ? ทุกคนปลอดภัยดี ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรือ? พวกเจ้าดูสิว่าดอกบัวเปล่งประกายแวววาวเพียงใด พวกเราใช้มันเฉลิมฉลอง”
อู๋จุนพูดพลางชี้ไปที่ดอกบัวขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายอยู่ข้างๆ ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงพูด ใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป
“ไม่ใช่ว่ายังมีเด็กสาวหลานเยวี่ยหลีอีกคนหรือ? ” อู๋จุนพูดพลางมองไปที่ตงหลิงหวง “รัชทายาทตงเฉินปล่อยแม่นางหลานเยวี่ยหลีออกจากแหวนเก้ามังกรเถิด นางอยู่ในนั้นคนเดียวคงจะเบื่อน่าดู! อย่าปล่อยให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ นักพรตจื่ออินผู้นั้นรังแกนาง”
ตงหลิงหวงเหลือบมองอู๋จุน นางอยากจะพูด ทว่าไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
“เกิดอันใดขึ้นหรือ? ” รอยยิ้มบนใบหน้าของอู๋จุนชะงักลงเล็กน้อย “เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่? ”
อู๋จุนพูดพลางเหลือบมองซูอวี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาของซูอวี้เต็มไปด้วยเศร้าโศก เขาเดินโซเซไปสองก้าวอย่างสิ้นหวังและค่อยๆ เงยหน้ามองซูจิ่นซี
เขาเปิดปากเหมือนต้องการถามบางอย่างกับซูจิ่นซี ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ถามอันใด