“ตอนอยู่ด่านที่ห้า แม่นางเยวี่ยหลีเสียสละชีวิตเพื่อสังเวยท่านเทพแห่งเผ่าเม้ย” ซูจิ่นซีกำลังจะพูด ทว่าตงหลิงหวงกลับพูดขึ้นก่อน
นางรู้ดีว่า การให้ซูจิ่นซีบอกกับซูอวี้ด้วยตนเองเป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณ นางจึงตัดสินใจพูดเอง
“อันใดนะ? ” อู๋จุนถามด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก
ซูอวี้เดินโซเซไปสองก้าว จากนั้นจึงมองซูจิ่นซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
คำพูดผู้อื่น เขาไม่กล้าเชื่อ เขาเชื่อเพียงคำพูดของซูจิ่นซีเท่านั้น
ในใจของซูจิ่นซีเจ็บปวดอย่างมากเช่นกัน ทว่าในที่สุดยังต้องฝืนทนต่อความเจ็บปวดและพูดว่า “ตอนที่หลานเยวี่ยหลีอยู่ด่านที่สาม นางจำเรื่องทุกอย่างได้ นางจดจำได้ว่าตนเองเป็นผู้ใด และจำได้ว่าเคยผ่านเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างในอดีต”
น่าเสียดายที่ไม่อาจพบหน้าซูอวี้เป็นครั้งสุดท้ายได้
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดจะโหดร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
“อวี้เอ๋อร์”
ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินไปข้างกายซูอวี้แล้วตบไหล่ของซูอวี้เบาๆ
เห็นได้ชัดว่าซูอวี้เจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส ทว่ากลับเงยหน้าขึ้น เขาซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้และพูดกับซูจิ่นซีว่า “คุณหนูเยวี่ยหลีเป็นคนดี เป็นแม่นางที่มีคุณธรรมจริงๆ ทว่าเสียดายที่อายุของนางยังไม่ถึงวัยแรกแย้มสิบห้าสิบหกปีก็จากไปอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายยิ่งนัก”
ซูจิ่นซีไม่อาจสัมผัสได้ว่าซูอวี้กำลังคิดอันใดในขณะนี้ คนอื่นก็ยิ่งไม่เข้าใจ
คำพูดทั้งหมดที่ซูจิ่นซีต้องการพูด ต้องการปลอบใจ หลังจากได้ฟังคำพูดของซูอวี้แล้ว นางกลับกลืนมันลงไป แล้วตบไหล่เขา
“นางคือวีรสตรีของแคว้นจงหนิง หากภายภาคหน้างานใหญ่ของท่านอ๋องสำเร็จ ชื่อของนางจะต้องจารึกไว้ตลอดไป และเป็นที่ชื่นชมของคนรุ่นหลัง”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ทว่ายอมรับการตัดสินใจของซูจิ่นซี
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซูอวี้จึงกล่าวว่า “ท่านพี่ นี่เป็นด่านสุดท้ายของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง เชื่อว่าหากฝ่าด่านนี้ไปได้ก็เห็นอนาคตที่สดใส หากพวกเรายังชักช้าอยู่ที่นี่จะยิ่งอันตรายมากขึ้น ทุกคนรีบฝ่าด่านนี้ออกไปก่อนเถิด”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเห็นด้วยและไม่มีผู้ใดคัดค้าน
“พวกเราวิเคราะห์สถานที่นี่อยู่นานแล้ว” อู๋จุนกล่าว “กลับไม่พบสิ่งใดเลย นอกจากดอกบัวที่เปล่งแสงแวววาวดอกนี้ ดอกบัวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการฝ่าด่านนี้”
ทุกคนมองไปในทิศทางที่อู๋จุนชี้ไป ตรงนั้นมีแท่นสูง มีดอกบัวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูง
ดอกบัวขนาดใหญ่ประมาณห้าคนโอบ มีทั้งหมด 5 กลีบ ทว่าแต่ละกลีบมีสีสันต่างกัน ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีขาว และสีม่วง
เมื่อซูจิ่นซีมองไปก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งใด นางจึงเดินไปรอบๆ ทว่ายังไม่พบสิ่งใดแม้แต่น้อย
“ที่นี่ไม่มีผู้พิทักษ์หรือ? ”
“ไม่มี! ” เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ
หากมีคงออกมาตั้งนานแล้ว
เช่นนั้น กุญแจสำคัญที่จะฝ่าด่านนี้ไปต้องอยู่เหนือดอกบัวห้าสีอย่างไม่ต้องสงสัย
ดอกบัวห้าสี…
ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดบางอย่าง และมองไปที่เยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับดอกบัวห้าสีนี้จากที่ใดสักแห่ง ท่านพอจะจดจำได้บ้างหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ
ซูจิ่นซีมองคนอื่นอีกครั้ง คนที่เหลือต่างก็ส่ายศีรษะ
ตงหลิงหวงกล่าวว่า “จะเกี่ยวกับเผ่าเม้ยหรือไม่? ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่า เจ้ามีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างต่อเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง ปรากฏว่าที่นี่กลับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเม้ย ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี่คงเกี่ยวข้องกับเผ่าเม้ยใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีค่อยๆ ขมวดคิ้ว ทว่าไม่พูดสิ่งใด
“เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าเม้ยหรือ? ” อู๋จุนถามด้วยความประหลาดใจ
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดสิ่งใด ตงหลิงหวงจึงอธิบายสิ่งที่ตนเองคาดเดาและได้ยินให้อู๋จุนฟัง แม้ไม่ละเอียดมากนัก ทว่าอู๋จุนก็เข้าใจอยู่พอสมควร
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ถามตงหลิงหวงว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใด? ”
ตงหลิงหวงตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่า ตอนที่เจ้าผ่านด่านที่สี่ เจ้าได้บอกว่าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้”
“ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคก่อนหน้านี้”
“เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเม้ย”
“ไม่ใช่ประโยคนี้เช่นกัน เป็นประโยคที่เกี่ยวกับดอกบัวนี้ ”
ตงหลิงหวงคิดย้อนกลับไปแล้วกล่าวว่า “ข้าพูดว่า ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวข้องกับเผ่าเม้ยใช่หรือไม่? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเปล่งประกายแล้วพูดว่า “ใช่ ประโยคนี้ เจ้าพูดว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์… ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสี! ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าคิดอันใดได้หรือ? ” อู๋จุนถามด้วยความสงสัย
เยี่ยโยวเหยาและคนที่เหลือมองซูจิ่นซีอย่างมีความหวัง
ซูจิ่นซีพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าเห็นสิ่งนี้ที่ใด ทว่าข้าจำได้เลือนรางว่า ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเหมือนจะสร้างจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่เหลือทิ้งไว้ในตอนที่เทพหนี่ว์วาผนึกฟ้ากอบกู้แผ่นดิน ต่อมาตกลงมาที่สระบัว ใต้พระที่นั่งขององค์เทพซีหวังหมู่ที่วิหารเทพซีหวังหมู่ และแยกออกเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าดอก หลังจากเทพซีหวังหมู่หวนคืนสู่ดินแดนหุ้นตุ้น สระบัวเหือดแห้ง ดอกบัวห้าสีหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
ซูจิ่นซีพูดพลางดวงตายิ่งเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น นางค่อยๆ สังเกตดอกบัวห้าสีรอบๆ
ตงหลิงหวงอธิบายว่า “หากไม่ผิด นี่คงเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่เทพซีหวังหมู่เลี้ยงดูอยู่ใต้พระที่นั่งในสระบัวกระมัง? ทว่าเหตุใดตอนนี้จึงอยู่ที่เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงได้? ”
ซูจิ่นซีคาดเดาต่อไปว่า “เดิมทีเผ่าเม้ยเกี่ยวข้องกับวิหารเทพซีหวังหมู่ จึงไม่น่าแปลกใจหากดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีมาอยู่ที่นี่”
เมื่อหลายปีก่อน นางรับคำสั่งจากเทพซีหวังหมู่ให้มาที่เผ่าเม้ย เพื่อปกป้องจิ่นอีโหวแห่งราชวงศ์โจว ซูจิ่นซีจำเรื่องนี้ได้ชัดเจนมาก
“หากเป็นเช่นนี้จริง ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิหารเทพซีหวังหมู่หรือไม่? หรือว่า… อาศัยมันก็สามารถตามหาวิหารเทพซีหวังหมู่ได้โดยตรงใช่หรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาคาดเดาอย่างกล้าหาญ
แววตาสดใสของซูจิ่นซีสบสายตากับเยี่ยโยวเหยา และทั้งคู่ก็เห็นคำตอบอย่างมั่นใจจากดวงตาของกันและกัน
ทันใดนั้น อู๋จุนก็กระโดดไปที่ม้านั่งหินข้างๆ และนั่งไขว้ขา “แม่นางพิษน้อย เรื่องที่ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์เช่นนี้ต้องมอบให้เจ้าเท่านั้น องค์เทพซีหวังหมู่อันใด และดอกบัวศักดิ์สิทธิ์อันใดเหล่านั้นเป็นเรื่องในตำนาน พี่จุนอย่างข้าจะมองเห็นได้อย่างไร ช่วยอันใดเจ้าไม่ได้เลย”
“ถูกต้อง ซูจิ่นซี ต้องอาศัยเจ้าเท่านั้น” ขณะที่พูด ใบหน้าของถังเสวี่ยพลันซีดขาว เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บครั้งก่อนยังไม่หายดีเท่าที่ควร
เมื่ออู๋จุนเห็นจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ขาและเท้าดีขึ้นบ้างหรือ? เริ่มกระโดดโลดเต้นแล้ว กลับเข้าไปในแหวนเก้ามังกรเถิด! ”
ถังเสวี่ยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาถูกต่อว่า สีหน้าแสดงถึงความคับข้องใจ “เหตุใดเจ้าถึงดุกับข้าเช่นนี้! ข้าไม่ได้คุยกับเจ้าเสียหน่อย? ”
“เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า ช่างน่ารำคาญเสียจริง กลับไป! ”
“ข้าไม่กลับ! ”
“กลับไป ข้าไม่พูดเป็นครั้งที่สาม! ”
“ข้า… ”
คำว่า ‘ไม่’ ของถังเสวี่ยยังไม่ทันออกมาจากปาก อู๋จุนก็ใช้กำลังภายในบังคับถังเสวี่ยไปทางตงหลิงหวงและใส่เข้าไปในแหวนเก้ามังกร
“เฮ้อ… ” อู๋จุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะปรบมือและตวัดไปที่ใบหู “ในที่สุดก็เงียบสงบแล้ว”
ตงหลิงหวงมองท่าทางของอู๋จุน ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ทว่ายังคงไม่พูดสิ่งใดกับอู๋จุน
อย่างไรก็ตาม นางพูดกับถังเสวี่ยในแหวนเก้ามังกรว่า “แม่นางถังเสวี่ย เจ้าได้รับบาดเจ็บ อย่ากังวลกับเรื่องด้านนอกเลย ด้านนอกมีพวกเราอยู่! เมื่อมีข่าวอันใดจะรีบบอกเจ้าทันที หากเจ้าหิวก็หาของกินที่อยู่ด้านใน ในห้องที่อยู่ข้างๆ เจ้า มีของกิน เจ้าอยากกินสิ่งใดก็กินได้ตามใจชอบเลย”
“…”
ถังเสวี่ยไม่พูดสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
เมื่อต้องเป็นคนกลาง ตงหลิงหวงจึงทำตัวไม่ถูก นางไม่วุ่นวายกับเรื่องนี้อีกและเดินไปข้างหน้าเพื่อวิเคราะห์ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีกับซูจิ่นซี