ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 15 ประวัติศาสตร์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 15 ประวัติศาสตร์

กายของเจ้าแห่งแดนฝันหายไปในที่สุด

ซูเฉินนั่งนิ่งอยู่ในห้อง

สิบปี!

จำนวนอันน้อยนิดนี้ทำให้หัวใจของซูเฉินสั่นระรัว

เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้า แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเวลาช่างไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย

หลังจากนั่งอยู่ในความเงียบงันมาครู่ใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ยืนขึ้นและเรียกม้าน้ำพลังสูญมา

“พาข้าไปที่อารามยมทูต” เขาออกคำสั่ง

ม้าน้ำพลังสูญก้มหน้าอย่างเชื่อฟังและอนุญาตให้ซูเฉินขึ้นไปนั่งบนหลัง ร่างของม้าน้ำพลังสูญนั้นเข้ากับสภาพในมิติสูญได้ดีกว่าซูเฉิน ทำให้มันสามารถแหวกว่ายไปได้ไวกว่าชายหนุ่ม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังต้องการการปกป้องจากซูเฉินเพื่อที่จะอยู่รอดในมิติสูญเพราะตัวมันเองยังไม่บรรลุกฎแห่งพลังสูญ ดังนั้นเมื่อทั้งสองเดินทางร่วมกันจึงทำให้สามารถมุ่งหน้าไปได้ไกลและรวดเร็วกว่า ซึ่งทำให้เดินทางได้ไกลถึงสองพันลี้ในอึดใจเดียว

หนึ่งก้านธูปต่อมา ซูเฉินก็ปรากฏกายอยู่เหนืออารามยมทูต

แม้ว่าอาณาเขตนี้จะเป็นของมนุษย์แล้ว แต่สภาพแวดล้อมของมันก็ยังเลวร้ายอย่างเดิม ทำให้มีเพียงไม่กี่ชีวิตเท่านั้นที่อาศัยอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังถือเป็นดินแดนที่รกร้างและว่างเปล่า มีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปักหลักอยู่ที่นี่

ที่ด้านในอารามที่เคยเป็นของชาวเผ่าวิญญาณมาก่อน

ศิษย์จำนวนหนึ่งยืนคุ้มกันด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

ซูเฉินเดินตรงเข้าไป ศิษย์เหล่านั้นตรงเข้ามาราวกับว่าจะหยุดชายหนุ่มเอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นซูเฉิน พวกเขาก็ทรุดนั่งลงด้วยความตกใจ

ซูเฉินมุ่งหน้าไปยังชั้นใต้ดินของอารามและหยุดลงตรงที่หน้ารูปปั้นยมทูตเจียหลัว

“เจียหลัว! ข้าต้องการรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญานิรันดร์กาลกับปราการพระเจ้า” ซูเฉินบอกสิ่งที่ต้องการอย่างไม่อ้อมค้อม

รูปปั้นหัวเราะคิกคัก

หมอกสีทะมึนหลั่งไหลและเคลื่อนไปเป็นวงกลมพร้อมกับเสียงอันน่าขนลุกของเจียหลัวที่ดังขึ้น “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมาขออะไรจากข้าแน่”

“นี่ไม่ใช่การขอ” ซูเฉินตอบกลับ

เจียหลัวหัวเราะ “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมองว่ามันคืออะไร ข้าเองก็มีความทรงจำเกี่ยวกับสนธิสัญญานิรันดร์กาลอยู่บ้าง ถ้าเจ้าต้องการรู้ความลับพวกนั้น ก็ไม่ยากเลย… มอบชาวเผ่าวิญญาณให้กับข้าสิ”

“เผ่าวิญญาณถูกข้ากำจัดไปหมดแล้ว”

“อย่าคิดว่าข้าโง่นะ!” เจียหลัวร้องขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสังหารเผ่าวิญญาณได้ทั้งหมดจริง ๆ พวกรักสันโดษที่จองหองนั่นไม่จับกลุ่มอยู่ด้วยกันหรอก พวกนั้นกระจายตัวกันอยู่ทั่วทั้งทวีป เจ้าอาจทำลายรากฐานของพวกนั้นได้ก็จริง แต่ไม่มีทางเลยที่เจ้าจะกำจัดพวกมันทั้งหมดได้! ที่สำคัญไปกว่านั้น…. เจ้ายังมีเผ่าจิตวิญญาณทมิฬอยู่ในควบคุมอีกด้วย มีพวกนั้นแล้ว แปลว่าเจ้าก็สามารถสร้างเผ่าวิญญาณขึ้นมาได้ไม่จำกัด มอบพวกมันให้ข้า! ถ้าเจ้าต้องการให้ความทรงจำของข้ากลับมา และจะได้ตอบคำถามของเจ้าได้ เจ้าก็ต้องมอบเผ่าวิญญาณให้ข้ากิน!!!”

หมอกดำเคลื่อนไปตามเสียงอันดังก้องของยมทูตเจียหลัว จนกระทั่งมันกระจายตัวออกไปทั่วทั้งถ้ำ

“ต้องการเท่าไรกัน?” ซูเฉินถามในที่สุด

เจียหลัวหัวเราะ “ต้องอย่างนั้นสิ แต่บอกตามตรงนะ ข้าเองก็ไม่รู้หรอก อาจจะน้อย หรืออาจจะมาก ใครจะไปรู้ว่าข้าต้องกินเข้าไปเท่าไรถึงจะได้ความทรงจำกลับคืนมา มันอาจกลับมาตั้งแต่ร่างแรกที่ข้ากินเข้าไป หรือข้าอาจต้องกินมันไปเรื่อย ๆ ก็ได้…”

“แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไรกัน ถ้าท่านได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วแต่ปิดบังมันจากข้าล่ะ ต่อให้ท่านจำเรื่องราวได้ แต่ท่านอาจจะเงียบไว้ก็ได้นี่”

เจียหลัวตอบกลับด้วยความมั่นใจ “ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ก็ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสนธิสัญญานิรันดร์กาลอะไรนั่นเลย”

“ถ้าท่านไม่รู้ แล้วทำไมท่านไม่เห็นจะถามข้าสักครั้งเลยล่ะว่าข้าหมายถึงอะไร”

เจียหลัวเงียบ

ซูเฉินหัวเราะ “เห็นไหมล่ะ ท่านรู้อยู่แล้ว แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น แล้วข้าจะเชื่อใจท่านได้อย่างไร”

เจียหลัวรีบตอบทันที “เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ข้ารู้เกี่ยวกับสนธิสัญญานิรันดร์กาลแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น… ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกข้ามาหน่อยว่ามันคือสนธิสัญญาเกี่ยวกับอะไร”

เจียหลัวตอบตามตรง “มันคือข้อตกลงระหว่างเทพเจ้า”

“ไร้ประโยชน์เสียจริง” ซูเฉินไม่พอใจ “เรื่องนั้นน่ะแค่ได้ยินชื่อของมันไม่ว่าใครก็รู้ได้แล้ว ข้าต้องการจะรู้ว่ามันมีเงื่อนไขอะไรบ้าง มันมีไว้เพื่ออะไร และพวกเทพเจ้าไปเกี่ยวข้องกับมันได้อย่างไร!”

“เรื่องพวกนั้น ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ”

“อย่ามาลีลากับข้านะเจียหลัว!” ซูเฉินคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้าไม่ร่วมมือ ก็อย่าได้คิดเชียวว่าจะได้อะไรจากข้า”

“ข้าต้องการชาวเผ่าวิญญาณ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตอบคำถามข้ามา หนึ่งคำถามต่อหนึ่งร่างของเผ่าวิญญาณ” ซูเฉินตอบพร้อมกับไขกุญแจกรงที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งในนั้นมีเผ่าวิญญาณถูกจับไว้จำนวนมากเพื่อเตรียมการไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนกับเจียหลัว

เจียหลัวมองอย่างไม่ละสายตาและตกลงในที่สุด “ก็ได้ แต่เจ้าก็ควรถามในสิ่งที่ข้ารู้นะ”

“เนื้อหาของ สนธิสัญญานิรันดร์กาลกล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง”

“ข้าไม่รู้”

“สนธิสัญญานิรันดร์กาลเกิดขึ้นเพราะอะไร”

“ข้าไม่รู้”

“แล้วมันมีประโยชน์อะไร”

“ข้าไม่รู้”

“แล้วท่านรู้อะไรบ้างล่ะ”

“ข้ารู้เพียงว่าสนธิสัญญานิรันดร์กาลมีความเกี่ยวข้องกับข้อตกลงหนึ่งที่เทพเจ้าสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้”

“เรื่องนั้นข้าก็รู้”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเทพเจ้าบางส่วนที่หาทางหลบเข้ามาจนได้” เจียหลัวกล่าวต่อ

ข้อมูลใหม่นี้ทำให้ซูเฉินต้องตกใจ

เจียหลัวพูดต่อ “พระแม่ของเผ่าปักษาก็เป็นหนึ่งในนั้น และข้าก็ด้วย”

“แล้วชายคนนั้น…” ซูเฉินพึมพำ

เขานึกถึงขอทานชราคนนั้นอีกครั้ง

หลังจากชะงักไปแล้วซูเฉินก็ถามขึ้น “เงื่อนไขของเทพเจ้าที่ต้องการจะมายังโลกนี้คืออะไรกัน”

“พลังอย่างไรล่ะ” เจียหลัวตอบโดยไม่ลังเล “เมื่อเทพเจ้าฝ่าฝืนสนธิสัญญาและผ่านปราการพระเจ้าไป ก็มีราคาที่พวกเขาจะต้องจ่าย ยิ่งผู้นั้นแข็งแกร่งมาก ก็ยิ่งต้องจ่ายแพงมากขึ้นด้วย ในตอนแรกข้าเองก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนั้น แต่ข้าจำเป็นต้องสละร่างกายและความทรงจำส่วนมากเพื่อให้ผ่านปราการมาได้ สุดท้ายแล้วก็มีเพียงเจตจำนงส่วนเล็ก ๆ ของข้าเท่านั้นที่เดินทางมายังโลกใบนี้ได้สำเร็จ”

“ถ้าเช่นนั้น แม้เจ้าแห่งแดนฝันกับพระแม่ของเผ่าปักษาก็สามารถส่งเจตจำนงของพวกเขาเข้ามาที่นี่ได้ พวกเขาแค่ไม่กล้าพอเพราะกลัวว่าจะเสียพลังมากเกินไป…” ซูเฉินพึมพำขึ้นอีก จากนั้นเขาจึงถามต่อ “แล้วต้องจ่ายเท่าไรอย่างไรบ้างหรือ และสนธิสัญญานิรันดร์กาลกับปราการพระเจ้ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร”

“ข้าตอบคำถามเจ้าแล้วหนึ่งข้อ ถ้าอยากได้คำตอบมากกว่านี้ก็ส่งเผ่าวิญญาณมาให้ข้า!”

ซูเฉินคว้าเอาร่างชาวเผ่าวิญญาณขึ้นมาร่างหนึ่งและโยนมันให้กับเจียหลัว

“ฮ่า ๆๆๆ!” หมอกดำเคลื่อนไปและห่อหุ้มร่างนั้นเอาไว้ ชาวเผ่าวิญญาณนั้นเป็นร่างที่เกิดขึ้นจากพลังจิตล้วน ๆ ทว่าในตอนนี้ร่างนั้นกลับกำลังละลายและหลอมรวมเข้ากับหมอกสีทะมึนเสียอย่างนั้น ขณะเดียวกันนั้น ชิ้นส่วนวิญญาณของเจียหลัวก็ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อยด้วย

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ! นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้าได้รับรสที่อร่อยถึงเพียงนี้!” เจียหลัวพอใจยิ่งนัก

“ทีนี้ก็บอกข้ามาว่าสนธิสัญญานิรันดร์กาลกับปราการพระเจ้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

“โอ……” เจียหลัวเงียบไปและครุ่นคิดอยู่นาน

จากนั้นจึงตอบคำถามซูเฉิน “ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย แต่ข้ามีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่ด้านนอกปราการอยู่เรื่องหนึ่ง ถ้าเจ้าสนใจ……”

“ว่ามา”

“ส่งเผ่าวิญญาณมาก่อน”

“ก็ได้ พูดมา”

“ผ่านปราการนั่นไปจะพบกับพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาล มากมายกว่าที่นี่เสียอีก พลังที่นั่นหนาแน่นถึงขั้นที่มันหลั่งไหลเหมือนกระแสน้ำและมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้สามารถใช้พลังนั่นได้ตามต้องการ”

ซูเฉินผงะ “ทะเลพลังต้นกำเนิดหรือ?”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าทะเลพลังต้นกำเนิดคืออะไร แต่ดินแดนนั้นห่อหุ้มไปด้วยมหาสมุทรขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังต้นกำเนิดอันเข้มข้นจริง ๆ”

ซูเฉินเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่

ดูเหมือนว่าเทพเจ้าจะอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีทะเลพลังต้นกำเนิด และที่ใจกลางของมหาสมุทรนั้นก็มีพื้นดินอยู่

น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!

ชายหนุ่มรีบถามต่อไปทันที “หากพลังต้นกำเนิดมีอยู่มากถึงเพียงนั้น แล้วทำไมเทพเจ้าถึงพยายามจะกลับมายังทวีปต้นกำเนิดล่ะ”

เจียหลัวตอบอย่างใจเย็น “นั่นเป็นคำถามที่สามนะ เอามาให้ข้าอีกคนหนึ่ง”

ซูเฉินส่งอีกร่างหนึ่งไปให้ตามคำขอ

เจียหลัวกินเข้าไป หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ… ดูดซึมมันเข้าไป จากนั้นรูปปั้นก็ดีดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถาม “ก็เพราะที่นั่นไม่มีชีวิตอยู่เลยอย่างไรล่ะ”

ไม่มีชีวิตหรือ? โลกที่เต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดกลับไม่มีชีวิตอย่างนั้นหรือ?

เป็นไปได้อย่างไรกัน….แล้วทำไมเทพเจ้าถึงต้องการชีวิตด้วย?

คำถามที่สองทำให้ซูเฉินนึกขึ้นได้ถึงการสละชีพให้แก่เทพแห่งดวงจันทร์

หากพลังศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นจากความตายของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น การที่เทพเจ้าต้องการชีวิตจำนวนมากก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

และในทะเลพลังต้นกำเนิดก็ไม่มีชีวิตอื่นใดอีกแล้วนอกจากเหล่าเทพเจ้าเองเท่านั้น

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการเข้ามาแทรกแซงในทวีปต้นกำเนิดนั่นเอง

ไม่ใช่เพราะเรื่องของอาณาเขต

แต่เป็นเพราะชีวิตต่างหาก!

ซูเฉินขนลุกซู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

หากนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องกลับมาจริง ๆ ดังนั้นการกลับมาในครั้งนี้จะต้องนำหายนะครั้งใหญ่มาด้วยอย่างแน่นอน

ซูเฉินโยนร่างเผ่าวิญญาณไปให้เจียหลัวและถามต่อไป “หากมีดินแดนอยู่ที่ใจกลางของทะเลพลังต้นกำเนิดและที่นั่นเต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดด้วย แล้วเทพเจ้าทั้งหลายอาศัยอยู่ที่ไหนกัน ทำไมที่นั่นถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่อีก”

เจียหลัวหัวเราะ “ที่นั่นเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ”

“แล้วพวกนั้นไปไหนเสียล่ะ”

“มาที่นี่อย่างไรล่ะ”

พวกนั้นมาที่นี่!

พวกเขามาที่นี่!

คำพูดนั้นสะท้อนอยู่ในหูของชายหนุ่มราวกับสายฟ้าทำให้เขารู้สึกเคว้ง

“เทพอสูรบรรพกาล!” เขาโพล่งขึ้น.

อสูรกายขนาดยักษ์พวกนั้นไม่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้

ทำไมกัน

ทำไมพวกนั้นถึงถูกปฏิเสธจากโลกนี้ และทำไมถึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ชีวิตไปกับการจำศีล

ตอนนั้นเองซูเฉินก็เข้าใจในที่สุด

นั่นแปลว่าเทพอสูรบรรพกาลกับเทพอสูรทั้งหลายนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทวีปต้นกำเนิดมาตั้งแต่แรก

อันที่จริงแล้วพวกมันมาจากทะเลพลังต้นกำเนิด

“แต่ตำนานบอกไว้ว่า…”

เจียหลัวขัดขึ้นอย่างใจเย็น “เจ้าก็รู้พอ ๆ กับข้านั่นแหละว่าตำนานก็คือตำนาน ตำนานกล่าวไว้ว่าเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมาเป็นลำดับแรก จากนั้นที่ตามมาก็คือเทพอสูรบรรพกาล แล้วสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปเมื่อเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดหายไปและเทพอสูรบรรพกาลเข้าสู่สภาวะจำศีล… แต่หากเจ้าลองรวมกับสิ่งที่ได้รู้ในตอนนี้ แล้วเจ้าจะได้ข้อสรุปว่าอย่างไรกัน”

ซูเฉินสูดหายใจยาว “แปลว่าเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดก็คือเทพเจ้า และในฐานะเทพเจ้า พวกเขาจึงควบคุมเผ่าพันธุ์อัจฉริยะและใช้ชีวิตพวกนั้นในการรักษาและคงชีวิตของตัวเองไว้! นี่คือสาเหตุที่พวกเขามีตัวตนมาก่อนเทพอสูรบรรพกาล แต่หลังจากนั้น ด้วยเหตุผลอะไรไม่มีใครทราบได้ เทพเจ้าและเทพอสูรบรรพกาลก็เริ่มต่อสู้กัน…จากนั้นฝ่ายเทพอสูรบรรพกาลก็มายังทวีปต้นกำเนิดในขณะที่เทพเจ้าก็ไปยังดินแดนทะเลพลังต้นกำเนิด ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในที่ที่ตัวเองอยู่ได้ ฝ่ายเทพเจ้านั้นเสียแหล่งอาหารไป ส่วนเทพอสูรบรรพกาลก็ตกอยู่ในสภาวะจำศีล”

เจียหลัวถอนใจ “ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนวิญญาณของข้าจะบอกว่าสิ่งที่เจ้าพูดน่ะใกล้เคียงกับความจริงมากทีเดียว”

“ยังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกหรือ”

“ข้าบอกไม่ได้ ต้องมีความทรงจำมากกว่านี้ก่อน”

เจียหลัวกำลังส่งสัญญาณบอกซูเฉินว่าต้องให้อาหารเขาเพิ่มอีก

“วันนี้ข้าให้ท่านแค่นี้” ซูเฉินกล่าวและกันหลังจากไป

“แต่เจ้าจะกลับมาใช่ไหม” เจียหลัวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “เจ้าอยากรู้ความลับเกี่ยวกับเทพเจ้ามากกว่านี้ และเจ้าก็ไม่มีทางอื่นนอกจากมาหาข้า เจ้าต้องการต่อกรกับเทพเจ้า แปลว่าเจ้าต้องมาหาข้าอีก ต่อให้เจ้าต้องการทำลายล้างเหล่าเทพเจ้าพวกนั้น เจ้าก็ยังต้องกลับมาหาข้าอีกอยู่ดี! ซูเฉินถ้าเจ้าเกรงกลัวแม้กระทั่งชิ้นส่วนวิญญาณชั้นต่ำเช่นนี้ แล้วเจ้าจะยืนหยัดต่อกรกับเทพเจ้าได้อย่างไร”

ซูเฉินหยุดและหันกลับมา

เขาหยุดไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้า “ท่านพูดถูกแล้วเจียหลัว หากข้ายังไม่มีแม้กระทั่งความมั่นใจที่จะต่อต้านกับความต้องการของท่าน แล้วข้าจะต่อกรกับเทพเจ้าได้อย่างไรกัน ก็อย่างที่ท่านว่านั่นแหละ ไม่ช้าข้าจะกลับมาอีก”

สิ้นคำนั้นชายหนุ่มก็ก้าวออกไปจากชั้นใต้ดิน

เจียหลัวมองดูร่างของซูเฉินเดินจากไปก่อนจะระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่า ๆๆๆ อิสระ! ข้าจะได้อิสระกลับคืนมาแล้ว!”

ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง “วันที่ได้อิสระกลับคืนมา อาจเป็นวันเดียวกันกับที่ท่านต้องตายก็ได้”

เจียหลัวได้ยินสิ่งที่ซูเฉินกล่าว แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย “ข้าเป็นยมทูต! ข้าจะต้องกลัวความตายไปทำไมกัน?”