ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 16 อสูรกายตอบโต้ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 16 อสูรกายตอบโต้ (1)

ไม่ว่าจะเคยเกิดอะไรขึ้นในอดีต การต่อสู้ในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินต่อ

มนุษย์และปักษาบุกรุดหน้าเข้าแดนสัตว์อสูรแล้ว เหลือเพียงร่องรอยยาวไว้บนพื้น มุ่งหน้าตรงเข้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง

นับว่าดุร้ายอันตรายอย่างยิ่ง

สัตว์อสูรที่อยู่ไม่ไกลยังไม่ถูกกำจัดทั้งหมด แต่กลับสามารถยึดครองดินแดนขนาดใหญ่ได้แล้ว

การรุดหน้าเข้าทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งอันรวดเร็วทำให้เสี่ยงจะถูกล้อม ไม่ว่าศัตรูจะปรากฏตัวหลังจากถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งแล้วหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้

แม้ว่าทั้งสองเผ่าจะตกลงให้ผู้สังเกตการณ์ของแต่ละฝั่งติดตามไปด้วย แต่จะเชื่อถือได้หรือ? หากถูกติดสินบนหรือถูกหลอกขึ้นมาเล่า?

หรือหากมีฝั่งหนึ่งเปลี่ยนทิศทางในจังหวะสุดท้าย ปล่อยให้อีกฝั่งเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร แล้วตนเองลอบหาโอกาสโจมตีเล่า?

เช่นนี้มีความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันมากเกินไป

อย่างไรสงครามทางทหารล้วนเป็นการหลอกลวง กลวิธีใดก็ตามที่นำมาใช้หลอกอีกฝ่ายได้นับว่ายุติธรรมทั้งสิ้น

ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่ากระดาษแผ่นเดียวไม่สามารถผูกมัดซูเฉินหรือหยงเยี่ยหลิวกวงได้

ทว่าผู้นำทั้งสองนี้ดูเหมือนจะมีเกียรติศักดิ์ศรีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างรุดหน้าเข้าไปยังจุดหมายที่ตกลงไว้อย่างรวดเร็ว

ภายในป่ารกร้าง ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป

พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้า ส่องต้นไม้เบื้องล่างจนเกิดเงาขนาดใหญ่

เมืองล่องนภาเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ

ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประหยัดพลังงาน แต่เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรโดยรอบต่างหาก

ปักษาจำนวนมากบินเข้าออกเมืองล่องนภาอยู่ทุกขณะ เก็บเกี่ยวทรัพยากรที่อยู่โดยรอบประหนึ่งเป็นผึ้งงาน

และยังมีเมืองลอยฟ้าอีกสามแห่งติดตามมาไม่ไกลจากเมืองล่องนภา

เมืองหนึ่งหน้าตาเหมือนเรือมังกรขนาดใหญ่ สยายปีกยักษ์ออกสองข้าง ขอบทั้งสองด้านมีพายนับพันยื่นออกมา ทุกคราที่กระพือปีกส่งแรงลมมหาศาลซัดออกทั่วทิศ ด้านหน้าสุดของเรือคือใบหน้าเหี้ยมเกรียมของสัตว์อสูร

มันคือหอคอยพลังปีศาจ

หอคอยพลังปีศาจเป็นจุดลอยที่ 4 ที่สร้าง มันสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรบรรพกาล และเทพอสูรบรรพกาลนี้รู้จักกันในนามอสรพิษคลั่ง งูยักษ์บินได้ขนาดใหญ่ มีลำตัวเป็นมังกร เสียงคำรามของมันดังสนั่นดั่งฟ้าร้อง มีดวงตาดวงเดียว

โครงกระดูกของมันจึงควบคุมอากาศได้ ปักษาใช้กระดูกของมันสร้างแก่นหอคอยพลังปีศาจขึ้นมา

แห่งที่ 2 คือจุดลอยรูปดวงดาว

มันเรียกว่าเมืองดาราแห่งปักษา จุดลอยที่สองได้ปักษาเป็นผู้ออกแบบ และเป็นเพียงจุดลอยเดียวที่สร้างขึ้นโดยความพยายามของปักษาเอง

จุดลอยแท้จริงคือค่ายกลยักษ์ที่มีปักษากว่าสามพันอาศัยอยู่ด้านในเพื่อให้ค่ายกลทำงานได้

เมืองดาราแห่งปักษาไม่เหมือนกับจุดลอยแห่งอื่น ๆ ไม่ได้พึ่งพาแก่นเพียงอย่างเดียว แต่เผ่าปักษารวมกำลังส่งพลังให้มัน ส่งผลให้ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก ปักษาเสียปรมาจารย์อาคาร์น่าระดับตำนานไปถึง 2 คนเพื่อสร้างจุดลอยนี้ขึ้นมา

นับเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงที่สุดที่ปักษาต้องจ่าย เป็นประสบการณ์เลวร้ายของพวกเขา พวกหัวรุนแรงบางตนเชื่อว่าการสร้างเมืองดาราแห่งปักษานับเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดที่ปักษาเคยกระทำ ทำให้เผ่าพันธุ์ต้องหยุดเจริญรุ่งเรืองนานไปถึงพันปี

แต่กระนั้นก็ยังตั้งชื่อเช่นนี้ขึ้นมา

และด้วยเหตุนี้ ปักษาจึงไม่คิดสร้างจุดลอยเช่นนี้อีก

จุดลอยที่ 3 แข็งแกร่งกว่ามาก

มันดูเหมือนแมลงยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไปช้า ๆ ทว่าทั่วร่างมีแต่รู ดวงตาถูกล้วงออก ปักษานับไม่ถ้วนบินเข้าออกจากรูพวกนั้นดูราวกับเป็นฝูงผึ้งบิน

มันคือนางพญาที่ปักษาได้จากเมืองนภาลัยราบ

หลังจากฟูมฟักมา 20 ปี นางพญาก็มีขนาดใหญ่หลายพันจั้ง แม้ว่าจะดูพองเช่นนั้น แต่กลับจุพลทหารได้นับล้านทีเดียว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงตั้งชื่อให้มันว่ากีฏมารดา

จริง ๆ แล้วกีฏมารดายังไม่สมบูรณ์ดี แม้ปักษาจะเลี้ยงดูฟูมฟักมานานถึง 20 ปีก็ตาม

พวกเขานำมันออกมาก่อนหน้าเพราะที่นี่มีทรัพยากรมากมายให้ปักษาใช้ป้อนนางพญาได้ อีกทั้งเมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนที่ได้แล้ว กีฏมารดาจึงมีความสำคัญน้อยลงมาก หากต้องใช้เวลานับร้อยปีในการเลี้ยงดูคงเป็นไปไม่ได้ ฉวยโอกาสนี้เลี้ยงดูมันให้สมบูรณ์เป็นการดีที่สุด

จุดลอยทั้งสามลอยขนาบข้างเมืองล่องนภา ทำหน้าที่ทั้งป้องกันและเพิ่มพลังไปพร้อมกัน

เมื่อต้องเผชิญกับการวางทัพเช่นนี้ อสูรกายทรงพลังก็ได้แต่ถอย

แต่ก็ไม่ใช่ถอยอย่างเดียว เพราะอสูรกายก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน

ภายในวังแสงตะวันชั่วกาล

กูเทียนเยวี่ยรีบรุดเข้ามา หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังนั่งจัดการธุระจิปาถะอยู่

“ฝ่าบาท”

“ว่ามา” หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ชอบเสียเวลายามต้องทำงาน

กูเทียนเยวี่ยรู้นิสัยอีกฝ่ายดี เอ่ยขึ้นตามตรง “อสูรกายมาแล้วขอรับ”

“หืม?” หยงเยี่ยหลิวกวงหยุดมือ “มากันหมดแล้วหรือ?”

“เราเห็นแค่ 4 ตัวเท่านั้น จักรพรรดิเพลิง จักรพรรดิอำพัน จักรพรรดิสี่หน้า และจักรพรรดิวิหคแสง ไม่รู้ว่าจักรพรรดิขู่ฉาไปที่ใด”

“ขู่ฉาหายไปหรือ?” หยงเยี่ยหลิวกวงมุ่นคิ้ว

นามว่าขู่ฉานั้นไม่น่าตื่นตาเท่าไหร่ แต่ก็เป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่อายุมากที่สุดในหมู่ 10 ราชันที่ยังมีชีวิตอยู่ และราชันตัวนี้ยังเกิดมาจากต้นชารสขมอายุหมื่นปี เป็นราชันตัวเดียวที่ไม่ใช่สัตว์อสูร มีพลังสูงส่ง ลือกันว่ามันทะลวงด่านเหนือจักรพรรดิอสูรกายไปแล้ว ทำให้มีกำลังเทียบเท่าเทพอสูรทีเดียว

หยงเยี่ยหลิวกวงสงสัยในเรื่องนี้

เทพอสูรไม่อาจอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งตายเร็ว หากขู่ฉาแกร่งเช่นนั้นจริง หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด แต่หากยังไม่ใช่เทพอสูร ก็จะไม่ถูกสภาพแวดล้อมทำลาย เช่นนั้นเป็นปัญหาหนักกว่าเสียอีก

การหายตัวไปของขู่ฉาทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่การที่ราชันถึง 4 ตัวเตรียมพร้อมรับศึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายจริงจังกับการศึกแค่ไหน

คิดครู่หนึ่งแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงพยักหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ว่าขู่ฉามีแผนการใด พอพวกเราจัดการราชันย์ทั้งหลายได้เมื่อไหร่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก”

“ฝ่าบาทฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” กูเทียนเยวี่ยเอ่ยชมได้จังหวะเหมาะ

“เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ยเสียงเบา

ไม่มีการตัดสินใจใดเกิดขึ้นปุบปับ นับตั้งแต่เดินทางเข้าทุ่งหญ้าโบราณนี้มา พวกเขาก็ต่อสู้มาโดยตลอด มีแต่ว่าจะต่อสู้หนักหรือเบาเท่านั้น

เสียงสัญญาณเริ่มดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

ปักษาที่ออกไปเก็บทรัพยากรกลับคืนสู่จุดประจำการหลังได้ยินเสียงเตือน การรักษาเมืองและทหารราบเมืองล่องนภาพากันเข้าประจำจุดที่กำแพง ปรมาจารย์อาร์คาน่าเข้าประจำในปราการอาร์คาน่า จุดลอยทั้งหลายก็ลอยเข้าใกล้กันกว่าเดิม

ที่ไกล ๆ นั่นเห็นเป็นทัพอสูรกายกำลังบุกเข้ามา

พวกมันมากันมืดฟ้ามัวดิน รุดหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน มีกันจำนวนนับไม่ถ้วน

นอกจากราชันจักรพรรดิทั้งสี่ก็ยังมีจักรพรรดิอสูรกายอีกสามร้อย ราชันอสูรกายอีกสี่พัน เจ้าอสูรกายอีกหนึ่งแสน พร้อมกองกำลังอีกจำนวนมาก ไม่ด้อยกว่ากองทัพราชันจักรพรรดิในหุบเหวเลย

สัตว์อสูรรวมตัวกันได้ยาก ไร้ความมีระเบียบ แม้จะเป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่เป็นผู้ออกคำสั่งโดยแท้จริง ก็มีกองทัพอสูรกายแค่หนึ่งถึงสองแสนตัวเท่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามีจำนวนเพียงเท่านั้น หากว่าถูกรุกราน สัตว์อสูรก็จะรวมตัวกันจนกลายเป็นขบวนสัตว์อสูรอันน่าเกรงขาม

การรวมพลังอันน่าเกรงขามเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

ตัวเลขจำนวนมากเช่นนี้เป็นสาเหตุหลักที่อสูรกายสามารถครอบครองทวีปต้นกำเนิดมาเนิ่นนาน

แม้จะต้องเผชิญกับเมืองล่องนภาที่เคลื่อนที่ได้แล้ว ก็ใช่ว่าสัตว์อสูรจะไร้ทางสู้

วันนี้พวกมันจะทำให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเห็นดีว่าโอหังแล้วจะพบจุดจบเช่นไร

พระราชวังลอยขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งค่อย ๆ เคลื่อนอยู่เหนือกองกำลังสัตว์อสูร

หลังหนึ่งเต็มไปด้วยหมอกดำปกคลุม มีใบหน้าคร่ำครวญโหยหวนนับพันปรากฏขึ้นและเลือนหายไปในม่านหมอก กำแพงวังมีใบหน้าบิดเบี้ยวสลักไว้อีกด้วย

อีกหลังมีหน้าตาเหมือนเตาดินเผาขนาดยักษ์ แต่ตัวเตามีไฟเป็นองค์ประกอบ นับเป็นวังที่เป็นตัวแทนของธาตุไฟได้เป็นอย่างดี

อีกหลังหนึ่งมีเนื้อเกลี้ยงเกลา รูปร่างกลมเหมือนไข่ ระยะทางเข้าออก แต่ ‘เปลือกไข่’ จะเรืองแสงอ่อน ๆ ดูวาววับออกมาในบางครั้ง

วังแห่งสุดท้ายไม่สามารถระบุได้ เพราะมันส่องแสงสว่างจ้ามากจนไม่สามารถเห็นรูปร่างมันได้เลย ที่เห็นเพียงอย่างเดียวคือเหมือนจะมีรูบางอย่างที่แสงจ้าบดบังเอาไว้อยู่

พระราชวังราชันทั้งสี่!

ถัดจากพระราชวังราชันทั้งสี่คือวังจักรพรรดิอสูรกายขนาดเล็กกว่าหลายร้อยแห่ง จักรพรรดิอสูรกายมีพลังและอำนาจรองลงมาจากราชันจักรพรรดิ

ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ที่สุดของกำลังเก่าแก่ก็เริ่มโต้กลับบ้างแล้ว

“โจมตี!”

“ทำลายเมืองล่องนภาแล้วจับตัวหยงเยี่ยหลิวกวง!”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากเหล่าสัตว์อสูร พวกมันบุกเข้ามาราวกับเป็นคลื่นยักษ์

แม้ว่าจะรอศึกเช่นนี้มาเนิ่นนาน แต่ทหารปักษาในเมืองล่องนภาก็อดรู้สึกสั่นเมื่อเห็นกองกำลังที่บุกเข้ามาไม่ได้

กลุ่มแรกที่โจมตีคือสิ่งมีชีวิตที่บินบนฟ้า

กองบินนี้ประกอบด้วยแร้งเพลิงสีเลือด อินทรีย์ปีกขาว เหยี่ยวสามตา และอสรพิษร้าย เป็นต้น พวกมันนำหน้ามาเข้าโจมตี ปราการเมืองล่องนภาส่องกะพริบเมื่อถูกโจมตีใส่

กูเทียนเยวี่ยสั่งให้ยิงศร ห่าศรร่วงหล่นจากฟ้า หยาดเลือดแรกสาดกระเซ็น

จังหวะเดียวกันนั้น ขบวนสัตว์อสูรที่เหลือก็เข้าประชิด สัตว์อสูรดุร้ายกระโจนเข้ามาดั่งคลื่นสมุทรสูงกว่าร้อยจั้ง ยามปะทะเข้ากับเกราะเมืองก็มีความรุนแรงไม่น้อยกว่าคลื่นทะเลขนาดใหญ่ กระแสน้ำสาดซัดไปทั่ว

มันคือกระแสเลือดที่ซัดสาดนั่นเอง!