บทที่ 17 อสูรกายตอบโต้ (2)
“ไม่แปลกใจที่พวกมันครอบครองพื้นทวีปนี้”
เล่อเฟิงเหลือบมองคลื่นสัตว์อสูรที่สาดเข้ามาพลางเหินร่างขึ้นเหนือเมืองล่องนภา
กำลังที่แท้จริงของอสูรกายซึ่งทำให้ครอบครองทวีปกว่าครึ่งได้ ในที่สุดก็เผยให้เห็น แค่กองกำลังครึ่งหนึ่งของมันก็มีจักรพรรดิอสูรกายถึงสามร้อยตน อันเป็นพละกำลังที่ห้าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะไม่สามารถเทียบเทียมได้แม้จะรวมพลังทั้งหมดเข้าด้วยกันก็ตาม
แต่นั่นเป็นเพราะอสูรกายมีกำลังกายเป็นจุดได้เปรียบมากที่สุด เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเองก็ไม่ได้ใช้ด่านมหาราชันสู้ศึกเพียงอย่างเดียว แต่ใช้กลการศึก เช่น ค่ายกล หุ่นเชิด เครื่องมือต้นกำเนิด ป้อมปราการ ยา ยันต์พลัง และพลังภายนอกอื่น ๆ ร่วมด้วย ตอนนี้ปักษาเหลือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 ไม่ถึงสามสิบ ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานเหลือเพียงสามคนเท่านั้น แต่ได้เปรียบเพราะมีเมืองล่องนภา บีบให้อสูรกายบุกเข้าโจมตีพร้อมกันเพื่อเอาชีวิตรอด
นี่คือการปะทะกันระหว่างพลังดิบ พลังดั้งเดิม และสติคิดคำนวณ สัตว์อสูรนับล้านบุกเข้าปะทะเมืองล่องนภาและจุดลอยทั้งสาม ศึกนองเลือดเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อเริ่มการสังหาร สัตว์อสูร ไฟ และกำมะถันก็พากันร่วงหล่นจากฟ้าเป็นการตอบโต้ วิชาอาร์คาน่าถูกใช้อยู่ทั่วทั้งสนามศึก ตรงแนวหน้าที่ทหารปะทะอสูร อาวุธและกรงเล็บเข้าห้ำหั่นมิหยุดหย่อน ใครได้เห็นเป็นต้องรู้สึกเลือดเดือดพล่าน
เล่อเฟิงและสหายเป็นคนกลุ่มเดียวที่ยังนิ่งสงบไม่ลงมือ
ในฐานะผู้สังเกตการณ์ หน้าที่พวกเขามีเพียงเฝ้าจับตา ไม่ใช่ร่วมการต่อสู้
พวกเขาไม่เพียงต้องสังเกตอสูรกาย แต่ต้องคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเมืองล่องนภาด้วย
ศึกนี้เป็นโอกาสดีในการล้วงความลับเกราะป้องกันเมืองล่องนภา สังเกตดูว่ามีจุดบกพร่องใดหรือไม่ แม้เทพอสูรคางคกพันพิษเคยสำแดงให้ดูมาแล้ว ก็มีซูเฉินได้เห็นเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเห็นในระยะจำกัด ตอนนี้หลายปีผ่านไป เมืองล่องนภาเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง ใครจะรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?
ตอนนี้เกราะป้องกันเมืองล่องนภาเปิดใช้เต็มที่ ปืนใหญ่ทลายสุริยันและรถศึกพิฆาตอสูรกระหน่ำยิงโจมตี ห่าศรร่วงลงจากฟ้า ปรมาจารย์อาร์คาน่าใช้วิชาอาร์คาน่าราวกับว่าจะไม่ได้ใช้อีก คอยสนับสนุนทหารราบภาคพื้นดินและช่วยป้องกันให้พวกเขา
เมืองล่องนภาแข็งแกร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน กำแพงแกร่งดั่งเหล็ก พลังต้นกำเนิดไหลท่วมท้น เกิดเป็นบ่อพลังหมุนรุนแรง สังหารศัตรูเลือดกระเซ็น
สายตาพินิจพิเคราะห์ของเล่อเฟิงกวาดไปทั่วทุกมุมของสนามต่อสู้
บุคคลที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้สังเกตการณ์ อันดับแรกขึ้นอยู่กับความภักดี อันดับสองตามความสามารถในการรับรู้สิ่งรอบกาย
ในอดีต เล่อเฟิงเคยสังหารอินทรีทองตาม่วง จากนั้นนำร่างมันมาทำเป็นลักษณ์ และได้พลังของมันมา ทำให้ดวงตาส่องประกายแสงสีม่วงจาง ๆ เมื่อเปิดใช้ความสามารถ
มันช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นให้เล่อเฟิงมองผ่านวิชาลับทั้งหลายได้
ขณะที่เขาใช้สายตาจนถึงขีดจำกัด สถานการณ์ในเมืองล่องนภาก็แจ่มชัด เล่อเฟิงสังเกตการณ์เงียบเชียบ จำทุกสิ่งอย่างไว้ในใจ ใช้เครื่องมือพิเศษที่นิกายมอบให้เพื่อบันทึกทุกสิ่งอย่างที่เห็นไว้
ปักษาสองตนติดตามเขามาเพื่อบันทึกด้วยเช่นกัน แต่ไม่คิดว่ามันแปลกอย่างไร
นี่เป็นเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน มนุษย์สังเกตการณ์ปักษาได้ ปักษาก็ทำได้เช่นกัน
แน่นอนว่าผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สังเกตการณ์ของแต่ละฝ่าย
อสูรกายระลอกแรกใกล้จะถูกทำลายสิ้นแล้ว แต่กองทัพก็ยังดูมีจำนวนมาก ความสูญเสียเท่านี้เป็นเหมือนน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร
สัตว์อสูรในแนวหน้ายังไม่ถูกกำจัดจนหมด คลื่นสัตว์อสูรลอกใหม่ก็รุดหน้าเข้ามาแล้ว
ครั้งนี้มีแรดเกราะเหล็กเป็นฝ่ายจู่โจม
แรดเหล่านี้เป็นทหารราบที่ดีที่สุดในการจัดศึก พลังป้องกันสูงส่งและพลังบุกทำลายที่ไม่อาจหยุดยั้งย่อมสามารถทำให้เมืองล่องนภาเสียทรัพยากร แม้จะไม่ได้รับความเสียหายใดแท้จริงก็ตามแต่
เมื่อเจ้าแรดพุ่งเข้ามา เกราะเมืองล่องนภาเริ่มเกิดแสงกระพริบและเกิดความผันผวนขึ้น
ปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 แห่งเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ช่วยสนับสนุนส่งกำลังให้เกราะ ปรมาจารย์อาร์คาน่าที่อยู่ภายในคอยใช้วิชาอาร์คาน่าช่วยเหลือเช่นกัน
เมื่อได้พลังเสริมจากปรมาจารย์อาร์คาน่า เกราะเมืองล่องนภาจึงต้านรับพลังเจ้าแรดได้ ปรมาจารย์อาร์คาน่าที่อ่อนกำลังแล้วจะมีตัวแทนที่พร้อมจะสลับสับเปลี่ยนอยู่ทุกเมื่อ
แสงที่ออกมาจากปราการอาร์คาน่าเริ่มขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นเดียวกันกับแสงที่แผ่ออกจากเกราะ บางครั้งเกราะก็ดูบางเหมือนแผ่นกระดาษ ส่งผลให้แรดเกราะเหล็กฉวยโอกาสโจมตี
หากเป็นเช่นนั้น ทหารราบปักษาที่อยู่ใกล้ก็จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดสัตว์อสูรให้ได้ ส่งผลให้เกิดการนองเลือดขึ้นอีกครั้ง
“แม้เกราะหลายชั้นของเมืองล่องนภาจะหมายความว่าแม้จะเกิดจุดเปราะบางขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเมืองก็จะไม่แตก แต่ก็ยังหมายความว่าเมืองล่องนภาไม่ใช่อยู่ยงคงกระพัน หากศัตรูมุ่งโจมตีในจุดเดียว ไม่นานก็จะสามารถเอาชนะเกราะตรงจุดนั้นได้ และก็จะสามารถเข้าไปในเมืองได้” เล่อเฟิงออกความเห็น
ปักษาคนหนึ่งที่ยืนรักษาการณ์อยู่ใกล้ ๆ ไม่สนใจ แม้ได้ยินแล้วจะไม่พอใจก็ตาม เพราะได้รับคำสั่งไม่ให้รบกวนหรือโต้เถียงกับเล่อเฟิง
ทหารปักษาหนุ่มที่ติดตามมาด้วยกลับเป็นฝ่ายที่ใจร้อนมากกว่า อารมณ์ขึ้นทันที พ่นลมออกจากจมูกแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้แล้วมันอย่างไร? ตราบเท่าที่รากฐานค่ายกลเรายังอยู่ดี เกราะป้องกันก็จะฟื้นฟูกำลังขึ้นได้เอง”
“ชิงเยี่ย!” ปักษาคนแรกไม่ใส่ใจเอ่ยขึ้นเสียงโกรธ
เล่อเฟิงหัวเราะสบาย ๆ “อย่ากังวลไปเลย เจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือ? ท่านเจ้านิกายของเราได้เห็นการต่อสู้ของเมืองนี้กับเทพอสูรมาก่อนหน้า เขาจะไม่รู้เรื่องรากฐานพลังของค่ายกลได้อย่างไร? เขายังต้องยืมพลังจักรพรรดิอสูรกายเซินหลานจือเหยียนเพื่อทำลายกำแพงส่วนหนึ่งและตัวค่ายกลอยู่เลย”
“นั่นมันเรื่องในอดีต!” ครั้งนี้เมื่อทั้งคู่ได้ยิน ก็ไม่มีใครหยุดปากไว้ได้ “ใช้วิธีเดิมหยุดค่ายกลได้อีกต่อไป!”
“เป็นเพราะรากฐานค่ายกลได้รับการยกระดับแล้วหรือ?” เล่อเฟิงหัวเราะถาม
ทั้งสองพลันชะงัก
แต่เล่อเฟิงได้คำตอบแล้ว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเล่อเฟิง และไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือน่าปวดหัวสำหรับปักษาเช่นกัน ซูเฉินหลอกใช้เซินหลานจือเหยียนทำร้ายปักษาสาหัสเอาการ หลังจากเรื่องราวผ่านไปแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงสั่งให้ทำการยกระดับค่ายกลป้องกันของปักษาเสีย
แน่นอนว่าการเสริมแรงนี้มีราคา แต่ตอนนี้ฐานค่ายกลจะได้รับการปกป้องดียิ่งขึ้น แต่ก็ต้องขยายโครงข่ายที่ใช้อยู่ในค่ายกล ซึ่งหมายถึงต้องใช้พลังมากขึ้นเช่นกัน
ทว่าสำหรับปักษา ก็ยังเป็นเรื่องที่คุ้มค่าอยู่ดี
เล่อเฟิงเมื่อรู้ว่าตนพูดได้ตรงจุด จากนั้นหยิบบันทึกขึ้นมา จดบันทึกลงไปอย่างมั่นใจ “ฐานการป้องกันในตอนนี้ใช้พลังงานมากกว่าแต่ก่อน”
การต่อสู้เบื้องล่างยังดำเนินต่อ ไร้ความเปลี่ยนแปลงใหญ่อะไร ทั้งสองฝ่ายล้วนสูญเสียทหารไป แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายสัตว์อสูรนั้นเสียหายหนักกว่า
แต่อย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ยังแค่ส่งทหารเดนตายมาสู้ ยังไม่ได้ส่งผู้มีพลังของจริงลงสนาม
ทว่าเล่อเฟิงไม่ใส่ใจจะจับตาดูการต่อสู้อีกต่อไป เขาหันไปมองวังแสงตะวันชั่วกาลแทน
ที่ด้านในสุดของวัง มีกลุ่มควันสีขาวเล็ก ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ
เล่อเฟิงรู้ว่ารอยควันสีขาวนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาใช้แกนพลังงานแห่งซาร์คจนถึงขีดสุด
ซูเฉินไม่เคยเห็นแกนพลังงานแห่งซาร์คมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามีลักษณะเฉพาะหรือมีการทำงานอย่างไร แต่หลังจากได้พิมพ์เขียวในการสร้างมาครอง ความเข้าใจในองค์ประกอบต่าง ๆ ของมันก็เพิ่มขึ้น ทำให้เล่อเฟิงรู้ว่าควันนี้มาจากแกนพลังงานแห่งซาร์ค เนื่องจากมันต้องใช้พลังต้นกำเนิดดิบไหลผ่านแกนพลังงานแห่งซาร์ค อย่างไรก็ยังมีพลังต้นกำเนิดส่วนน้อยที่ยังไม่ถูกแปลงเหลืออยู่ ควันที่ลอยออกมาก็คือพลังเหล่านี้นั่นเอง
ดูเหมือนจะมีเรื่องผิดปกติอยู่
ท่านเจ้านิกายได้บอกไว้ว่าเมื่อใช้แกนพลังงานแห่งซาร์คจนถึงขีดสุด มันจะปล่อยควันหนาออกมา ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมควันสายนี้ถึงดูเบาบางนัก?
ถึงแม้เล่อเฟิงอาจมีการประเมินสถานการณ์ที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับซูเฉิน แต่เล่อเฟิงก็ยังมั่นใจว่าซูเฉินคงไม่เรียกควันน้อยสายนี้ว่า ‘หนาและไม่อาจแทรกผ่าน’ ได้แน่นอน
เล่อเฟิงก้มหน้าลงครุ่นคิด จากนั้นเหลือบมองควันสีขาวเล็กน้อย คำพูดซูเฉินดังสะท้อนขึ้นอีกครั้ง ‘ในอดีต เมืองล่องนภาเคลื่อนไหวไม่ได้เพราะพวกเขาทอดสมอลงทะเลพลังต้นกำเนิด ทำให้ได้รับพลังไร้ขีดจำกัด แม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ก็มีพลังต้นกำเนิดให้ใช้ในการป้องกันไม่จำกัด ตอนนี้หากต้องการเคลื่อนเมืองย่อมต้องเก็บสมอ หรือก็คือไม่มีพลังให้ใช้เต็มที่อีกต่อไป แต่ก็ยังสามารถทอดสมอได้ใหม่ กลับมาเชื่อมต่อกับทะเลพลังต้นกำเนิดได้อีก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า หากจำเป็นก็สามารถทอดสมอลงในทะเลพลังต้นกำเนิดได้ เรื่องนี้เจ้าต้องตรวจสอบให้ข้า ไปดูมาว่าพวกเขาเตรียมการทำเช่นนั้นหรือไม่ หากการทอดสมอต้องใช้เวลามาก ทักษะในการสังเกตการณ์ของเจ้าทำให้เราค้นพบความลับนั้นได้’
คำสั่งจากซูเฉินดังก้องอยู่ในหู เล่อเฟิงเริ่มตรวจสอบพื้นที่รอบข้างอย่างสงบนิ่ง
หากถอนสมอออก เมืองล่องนภาจะไม่สามารถใช้พลังจากทะเลพลังต้นกำเนิดโดยตรงได้อีก แกนพลังงานแห่งซาร์คได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแก้ปัญหานี้ ดังนั้นหมอกหนาจึงกลายเป็นหมอกบางอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว…
ก็เป็นไปได้ว่าเกราะเมืองล่องนภาคงรั้งอยู่ได้อีกไม่นาน เล่อเฟิงวิเคราะห์อยู่ในใจ
แต่เขาก็ยังรอดูเงียบเชียบ รอให้จังหวะนั้นมาถึง
ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าการโจมตีอันดุเดือดของสัตว์อสูรจะสามารถบีบให้เมืองล่องนภาเผยไพ่ลับที่ซ่อนไว้ออกมาบ้าง
โดยเฉพาะเมื่อถึงจังหวะที่เมืองล่องนภาไม่สามารถต้านรับการโจมตีรุนแรงได้อีกต่อไปจนถึงขั้นที่ต้องเชื่อมกับทะเลพลังต้นกำเนิดอีกครั้ง
เขารอไปวันแล้ววันเล่า
ทัพอสูรกายมีนับไม่ถ้วน โจมตีเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า
กระแสเลือดกระจายไปทั่วพื้นเบื้องล่างเมืองล่องนภา แต่คลื่นสัตว์อสูรก็ยังรุดหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน การโจมตีมีแต่ทรงพลังขึ้น เจ้าอสูรกายเริ่มลงมาทำการต่อสู้เองแล้ว
ทหารปักษาที่ปกป้องเมืองทำการเปลี่ยนชุดไป 2 ครั้งแล้ว ตอนนี้ทหารจากนิกายแห่งพระแม่กำลังทำการต่อสู้ ในขณะที่ทหารหลวงกำลังพักผ่อน ด้านหลังมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทุกคนต่างคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
จังหวะที่เล่อเฟิงกำลังรอไม่มาถึง แต่เมื่อเขาเห็นอาวุธใหม่หลายชิ้นของปักษา ดวงตาเขาก็เป็นประกาย ทำการจดบันทึกลงไป
ปักษาทั้งสองรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อเห็นกลอุบายการต่อสู้ที่ซ่อนเร้นไว้เผยต่อหน้าศัตรู แต่ด้วยทำข้อตกลงไว้ว่าหากผู้สังเกตการณ์ไม่รั้นจะเข้าไปยังเขตหวงห้าม เห็นอะไรก็สามารถบันทึกลงไปได้ ดังนั้นปักษาทั้งสองจึงได้แต่อดทนไม่อาจทำอะไรได้
สุดท้ายเมื่อตกกลางคืน สถานการณ์การต่อสู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาไม่ได้ทำการลงสมอ แต่เมืองล่องนภาจู่ ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว
เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
ตูม!!!
เมืองล่องนภาค่อย ๆ ฟื้นคืนชีพ เริ่มขยับไปอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง
การรุดหน้าครั้งนี้กล้าหาญนัก!
เมืองขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน ในตอนนี้มันพุ่งออกไปด้วยความรุนแรงราวกับค้อนศึกแห่งเทพสงคราม
เมืองล่องนภารออยู่ทั้งวันเพื่อฉวยโอกาสนี้ลงมือ เมื่อตกกลางคืน ศัตรูมองไม่ชัดเจน จึงใช้จังหวะนี้พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ความเปลี่ยนแปลง ‘เล็กน้อย’ นี้ก่อเกิดรอยลากเป็นทางยาว สัตว์อสูรที่อยู่ระหว่างทางถูกเมืองชนจนเละเป็นชิ้น ๆ
เมื่อไร้สมอเหนี่ยวรั้งไว้ เมืองล่องนภาจึงพุ่งออกไปโจมตีได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะหยุดก็ต่อเมื่อไร้ศัตรูให้พุ่งชนแล้วเท่านั้น
การพุ่งชนครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้สัตว์อสูร ทหารชั้นเลวถูกทำลายหนักหน่วง จักรพรรดิอสูรกาย 3 ตัว และราชันอสูรกาย 12 ตัวยังถูกเมืองเหยียบตาย สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิราชันถูกสังหารไปโดยไร้ทางสู้กลับด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเกราะเมืองล่องนภาสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลานั้น
แต่การกระทำต่อมาของปักษาก็แสดงให้เห็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างไร
ด้านหลังวังแสงตะวันชั่วกาลก่อเกิดควันมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่เสียงกระทบกันของสมอที่ลดต่ำลงได้ยินดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
เมืองล่องนภาปล่อยสมอลงแล้ว