ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 18 เข้าถึงโดยไร้คำอนุญาต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 เข้าถึงโดยไร้คำอนุญาต

หลังจากที่เมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง มันก็กลายเป็นปราการสองรูปร่างไป

หนึ่งคือปราการเกราะเบาสามารถเคลื่อนที่ได้ และอีกร่างเป็นป้อมปราการหุ้มเกราะหนาอยู่กับที่

อย่างแรกทำให้เมืองล่องนภาเคลื่อนที่ได้ อย่างหลังทำให้แข็งแกร่งที่สุดยามต่อสู้

เมื่อสมอทะเลลึกทอดลงในทะเลพลังต้นกำเนิด เมืองล่องนภาก็จะเชื่อมต่อกับพลังต้นกำเนิดไร้ขีดจำกัดอีกครั้ง ทั่วทั้งเมืองส่องแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางฟ้ามืด ดูราวกับเป็นตะวันดวงหนึ่ง

มุกยิงตะวัน 99 เครื่องตั้งอยู่บนยอดปราการอาร์คาน่า ส่องประกายระยับ ขณะที่พลังต้นกำเนิดพุ่งเข้าไป ปรมาจารย์อาร์คาน่ารับภาระน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้พลังการยิงของเมืองล่องนภาจะรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า

เกราะป้องกันที่เคยสั่นสะท้าน ตอนนี้มั่นคงขึ้น ยังไม่เท่านั้น ตอนนี้มันยังมีหลายสีอีกด้วย มีค่ายกลและปืนใหญ่พลังต้นกำเนิดปรากฏล้อมรอบ

ในเวลาเดียวกันนั้น พายุฝนพลันคะนองลงสนามศึก ซัดสายฟ้าเส้นขาวลงบนพื้น พลังทำลายล้างสูงเกินกว่าจะบรรยาย

มันคือค่ายกลดับสวรรค์

แม้ค่ายกลนั้นไม่ได้พิเศษอะไร แต่ก็หาได้ยากที่จะสามารถส่งผลระยะได้ไกลหลายร้อยลี้เช่นนี้ ไม่ว่าจะใช้พลังมากเท่าไหร่ก็จะเฉลี่ยพลังการโจมตีออกไปเท่ากัน แต่ระยะโจมตีจะขึ้นอยู่กับพลังงานที่ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นค่ายกลที่ใช้รับมือกับกองทัพใหญ่ศัตรูได้ดีที่สุดค่ายกลหนึ่ง ปักษาไม่ได้ใช้มันต่อสู้กับคางคกพันพิษเพราะเป็นศัตรูตัวเดียว เปิดใช้ค่ายกลไปเพราะการนั้นก็เป็นการเสียพลังต้นกำเนิดไปเปล่า แม้ว่าเมืองล่องนภาจะมีพลังไร้ขีดจำกัด แต่การรักษาค่ายกลนี้ก็ยังเป็นภาระหนักของปรมาจารย์อาร์คาน่าไม่น้อยเช่นกัน

แต่เมื่อต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรนับล้านเช่นนี้ ใช้ค่ายกลนี้เข้าสู้จึงนับว่าดียิ่ง

พายุฝนฟ้าคะนองแผ่กระจายไปทั่วสนามรบ แม้ว่าอสูรกายเบื้องล่างจะส่งเสียงคำรามขัดขืนไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถหยุดการโจมตีอันโหดร้ายได้

สายฟ้าคลั่งยังซัดใส่สัตว์อสูรอย่างไร้ปรานี

สายฟ้าเหล่านี้ไม่สามารถสังหารเจ้าอสูรกายได้ในคราวเดียว แต่สามารถกำจัดทหารเดนตายได้เป็นจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง

แม้ว่าสัตว์อสูรชั้นต่ำเหล่านี้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก แต่ศัตรูก็ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นไปได้ สัตว์อสูรจะไม่ปล่อยให้ทหารเดนตายเหล่านี้ถูกสังหารสิ้นในคราวเดียว

ทันทีที่พายุฝนฟ้าคะนองปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ลำแสงสี่เส้นก็พุ่งออกมาใส่มันด้วยความรวดเร็ว ราชันจักรพรรดิอสูรทั้งสี่ตนเริ่มลงมือแล้ว

หลังจากนั้น อสูรกายจำนวนนับไม่ถ้วน จักรพรรดิอสูรกายอีกนับร้อยก็ลงมือเช่นกัน ปล่อยการโจมตีเป็นระลอกออกมาพร้อมกันขึ้นท้องฟ้า พลังจำนวนมากระเบิดพุ่งออกไป ขัดขวางเมฆฟ้าคะนองและค่ายกล

การทำลายค่ายกลด้วยการโจมตีโดยตรงเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่แปลกที่ค่ายกลดับสวรรค์จะรั้งอยู่ได้ไม่นาน และมันก็ไม่จำเป็นด้วย เพราะก่อนหน้านั้นสามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้แล้ว สัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่าถูกห่าสายฟ้าจนเหลือแต่เถ้าธุลี

เล่อเฟิงเห็นดังนั้นก็หนังตากระตุก

หากปักษากำลังต่อสู้อยู่กับนิกาย จะเกิดอะไรขึ้นกัน?

ภายใต้อำนาจของราชันจักรพรรดิอสูรทั้งหลาย ค่ายกลดับสวรรค์ก็แตกกระจายออกอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาจากนั้น เมฆเถ้าร้อนก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

เป็นค่ายกลน่าเกรงขามอีกหนึ่งที่กำลังเริ่มทำงาน

เล่อเฟิงเคยได้ยินมาว่าเมืองล่องนภามีค่ายกลทรงพลังอยู่หลายร้อยค่ายกล บางค่ายกลแกร่งเสียจนนับว่าเป็นค่ายกลระดับต้องห้ามทีเดียว

ค่ายกลดับสวรรค์เมื่อก่อนหน้าเป็นค่ายกลระดับต้องห้าม และค่ายกลที่กำลังก่อให้เกิดเมฆเถ้านี้ก็เช่นกัน

เมืองล่องนภาใช้ขุมพลังไร้จำกัดในการดึงเอาพลังเกินต้านทานของมันออกมา นับว่าเป็นป้อมปราการที่ทรงพลังที่สุดทั่วทั้งทวีปอย่างแท้จริง

ไฟหลอมเหลวตกลงมาจากฟากฟ้า เปล่งประกายเจิดจรัสราวกับดาวตกร่วงจากนภา ราวกับภาพโลกกำลังถล่มอย่างไรอย่างนั้น ราชันจักรพรรดิอสูรจึงต้องลงมืออีกครั้ง

พวกมันต้องทำลายเมฆสีกำมะถันนั่นให้ได้

“กรรรร!!!”

เสียงคำรามลั่นดังขึ้น มีชีวิตขนาดใหญ่กระโจนเข้ากลางสนามรบ มันสูงกว่าร้อยจั้ง นับว่าสูงเสียดฟ้า มันปล่อยหมัดเข้าใส่เมฆดำทันทีไม่รั้งรอ

มันคือจักรพรรดิอสูรกายหินเถื่อน นับว่ามีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จักรพรรดิอสูรกาย ใบหน้าใหญ่ยักษ์ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ตามตำนานเล่าขาน ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมมันได้ในเรื่องกำลังเลย

หมัดดั่งค้อนของจักรพรรดิอสูรกายหินเถื่อนทะลวงผ่านฟ้า ฉีกเมฆก้อนใหญ่ออกจากกัน

แต่ครู่ต่อมา เงาร่างขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากสายฟ้าก็ปรากฏขึ้น

ยักษ์สายฟ้าตนนี้เงื้อหอกสายฟ้าไปด้านหลัง จากนั้นซัดใส่จักรพรรดิอสูรกายหินเถื่อนจนร่างแตกสลาย

แต่แม้จักรพรรดิอสูรกายหินเถื่อนจะพ่ายแพ้ ก็ยังมีสัตว์อสูรอีกสองตัวปรากฏขึ้นสมทบ คือสิงห์เพลิงทองและอสูรลายแตก พวกมันเงื้อกรงเล็บกระโจนจ้วง ทำลายยักษ์สายฟ้าภายในคราวเดียว

พริบตาหลังจากนั้น มังกรลมก็ปรากฏ มันเคลื่อนตัวเข้าหาสัตว์อสูรทั้งสอง ครั้งนี้จักรพรรดิอสูรกายทั้งสี่แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า เข้าปะทะกับมันเอง

จักรพรรดิอสูรกายและมังกรลมเข้าปะทะกันรุนแรง ในเวลาเดียวกันนั้น สัตว์อสูรที่อยู่เบื้องล่างก็ปะทะเข้ากับเกราะแกร่งของเมืองล่องนภา สุดท้ายก็มีแต่ล้มตายเพิ่มขึ้น หากเป็นเช่นนี้ กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายยังมีพลังไม่มากพอจะต่อกร

ตอนนี้ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เล่อเฟิงจึงละสายตาจากสนามรบ กลับมาดูควันที่ลอยออกจากเมืองล่องนภา

ชั่วอึดใจหนึ่ง สมอจึงเริ่มส่งเสียงเคร้งและหยุดการเคลื่อนไหว

ทว่าเล่อเฟิงสงสัยว่าเสียง ‘เคร้ง’ นั่นแท้จริงแล้วเพื่อทำให้เขาสับสนมากกว่า

เพราะการปล่อยสมอลงทะเลพลังต้นกำเนิดไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กว่าเมืองล่องนภาจะทอดสมอทะเลลึกสำเร็จเป็นครั้งแรกก็ใช้เวลาถึง 2 ปี นั่นก็เพราะต้องการนำไปใช้ต่อในอนาคตด้วย

แต่กระนั้นเมื่อสถานการณ์บีบบังคับ การปรับใช้สมอทะเลลึกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่จำเป็นต้องรีบทำให้เสร็จภายในชั่วอึดใจเช่นนั้น

แต่จากเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้า ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

เล่อเฟิงสงสัยอยู่บ้าง แต่ทำทีเป็นไม่มีอะไรผิดปกติ ทำเป็นเดินเตร่รอบวังแสงตะวันชั่วกาลแทน

ทหารปักษาทั้งสองนายมองทุกการกระทำของเขาอย่างเป็นกังวล กลัวว่าหากเข้าใกล้เกินไปจะค้นพบความลับได้

โชคร้ายที่แม้จะมีลักษณ์อินทรีทองตาม่วงของเล่อเฟิง แต่ก็ยังไม่อาจสังเกตเมืองจากภายนอกได้ ทำให้เล่อเฟิงไม่พอใจอยู่บ้าง

เป็นจังหวะนั้นเองที่เกวียนบรรทุกขนาดใหญ่ลากผ่านเล่อเฟิง มุ่งหน้าไปยังวังแสงตะวันชั่วกาล

เขาเคยเห็นเกวียนแบบนี้มาก่อน นับตั้งแต่เมืองล่องนภาถอนสมอและเคลื่อนไหวได้ เกวียนพวกนี้ก็เคลื่อนที่เข้าออกวังแสงตะวันชั่วกาลไม่หยุดหย่อน เล่อเฟิงเชื่อว่ามันคงเกี่ยวข้องกับท้องสมุทรโศกาเป็นแน่

แต่จะสังเกตการณ์ให้ดีกว่านี้ได้อย่างไรกัน?

เกวียนลากเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เล่อเฟิงจึงยอมเสี่ยง ฉวยจังหวะนี้ไว้

ตอนที่มันกำลังจะเคลื่อนผ่านเขา เขาก็ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง

ซึ่งก็ตรงจังหวะพอดิบพอดี พาร่างเขาเข้าไปขวางทางเกวียนเคลื่อน เขาเดินเข้ามาอย่างปุบปับเสียจนมันหยุดไม่ได้และชนเขาเข้า น่าแปลกที่ตัวเกวียนกลับเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า มันแตกกระจาย กล่องเก็บของแยกออกเป็นชิ้น หินพลังต้นกำเนิดจำนวนมากไหลออกมา

หินพลังต้นกำเนิด?

เล่อเฟิงตกตะลึงกับการค้นพบนี้

หินพลังต้นกำเนิดเป็นของเสริมพลังขั้นพื้นฐานของผู้ใช้พลังทั่วไป ทำไมวังแสงตะวันชั่วกาลที่มีพลังต้นกำเนิดให้ใช้ได้ไม่จำกัดจึงต้องการมันด้วยเล่า?

ความเป็นไปได้มากมายแล่นผ่านสมองเล่อเฟิง จนกระทั่งทหารปักษาทั้งสองนายร้องด่าปักษาที่ขับเกวียนมาเสียงดัง “นี่! ระวังหน่อยสิ? มองทางให้มันดี ๆ!”

“ไม่เป็นไร เขาไม่ได้ตั้งใจ” เล่อเฟิงหัวเราะเอ่ย พยายามคลี่คลายสถานการณ์

พูดจบเขาก็ช่วยปักษาที่ขับเกวียนมาเก็บหินพลังต้นกำเนิดที่ร่วงลงกับพื้น

ในเมื่อหินพลังต้นกำเนิดเหล่านี้ไม่ใช่ของมีค่ามากมายอะไร ปักษาจึงไม่ใส่ใจเขานัก ที่สำคัญ ในฐานะทหารคุ้มกันเล่อเฟิง ความลับทั้งหลายพวกเขาจึงไม่ได้รับรู้ด้วย เพราะจะได้ไม่เผลอเผยความลับโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นย่อมไม่รู้เรื่องสมอทะเลลึกอยู่แล้ว

หากไม่ได้รู้ถึงความลับ ก็ไม่อาจเผยความลับได้ แต่ก็หมายความว่าพวกเขาไม่รู้เช่นกันว่าความลับเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว

เช่นเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นตัวอย่าง

ในสายตาปักษาทั้งสอง หินพลังต้นกำเนิดธรรมดาเหล่านี้ไม่ควรค่าให้ใส่ใจ แต่การที่มันถูกส่งไปยังวังแสงตะวันชั่วกาลทำให้เล่อเฟิงเกิดความสงสัย

ทว่าไม่แปลกที่ปักษาทั้งสองจะไม่รู้ความอะไรเลย

เล่อเฟิงยังคงช่วยคนขับเกวียนเก็บหินพลังต้นกำเนิดลงกล่องต่อไป

คนขับเกวียนเองก็ไม่รู้เลยว่าของเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร หลังจากรีบขอบคุณเล่อเฟิงแล้ว ก็กลับขึ้นเกวียนแล้วขับไปจนถึงวังแสงตะวันชั่วกาล

เล่อเฟิงมองเงาร่างคนขับเกวียนหายเข้าไปในประตูวังแล้วหัวเราะ จากนั้นจึงพูดคำแปลก ๆ หลายคำ ก่อนจะกระซิบประโยคอีกหลายประโยคใส่กล่องสื่อสาร

ปักษาทั้งสองไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด และไม่รู้สึกว่ามันแปลกอะไร เพราะเล่อเฟิงทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว

ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดไปมีความสำคัญขนาดไหน

หลังจากเกวียนเข้าไปในวังแสงตะวันชั่วกาล มันก็เลี้ยวอีก 7-8 รอบ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องเก็บของเพื่อรอคำสั่งต่อไป

เกวียนอีกหลายเล่มที่เต็มไปด้วยหินพลังต้นกำเนิดก็จอดอยู่ที่นี่เช่นกัน

บางครั้งจะมีทหารปักษาเข้ามา เปิดดูของในเกวียน เทของทั้งหมดออก จากนั้นนำหินพลังต้นกำเนิดใส่เข้าไปในศูนย์กลางค่ายกลขนาดใหญ่ หลังจากเกิดแสงสว่างวาบขึ้น หินพลังก็จะถูกใช้งานจนกลายเป็นผง จากนั้นพวกเขาก็จะนำหินพลังก้อนอื่นใส่เข้าไปทันที

ตามทางเดินที่ทอดยาวออกจากค่ายกลคือพื้นที่เปิดขนาดใหญ่ ศูนย์กลางมีเครื่องมือขนาดยักษ์ตั้งอยู่ หน้าตาเหมือนหม้อต้มยาขนาดใหญ่ ด้านใต้มีเพลิงไหม้แรง มันส่งเสียงดังพอสมควร เป็นแหล่งให้พลังงานแก่เมืองส่วนที่เหลือ

นี่คือแกนพลังงานแห่งซาร์ค แก่นแห่งเมืองล่องนภา

พลังจากการแปลงหินพลังต้นกำเนิดถูกส่งมาที่นี่

นี่คือส่วนที่น่าสนใจที่สุดในกระบวนการ แหล่งพลังงานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งชื่อแกนพลังงานแห่งซาร์คกลับยังต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดงั้นหรือ?

หากเล่อเฟิงได้เห็นมันกับตาก็คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่คือเหตุเบื้องหลังการที่สามารถทอดสมอทะเลลึกภายในชั่วอึดใจได้นั่นเอง

เครื่องยนต์เมืองล่องนภาทำงานอยู่ตลอด แผ่ความร้อนออกไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อการต่อสู้ด้านนอกวุ่นวายถึงขั้นสูงสุด พลังงานจากเครื่องยนต์ภายในเมืองล่องนภาเองก็จะถึงขีดสุดเช่นกัน

“เร่งมือเข้า! ค่ายกลถูกทำลายไปอีกหนึ่งแล้ว เร่งเติมพลังงานเร็วเข้า เตรียมเปลี่ยนไปใช้ค่ายกลสะบัดแสง!” ผู้ดูแลแกนพลังงานแห่งซาร์คตะโกน น้ำเสียงดังก้องไปทั่ว

“เพิ่ม? เพิ่มด้วยอะไรอีก? สมอทะเลลึกเพิ่งจะถึงชายเขตแดน เพิ่งจะลงไปได้ยังไม่ถึงห้าส่วนในร้อยเลย!” เผ่าช่างฝีมือเอ่ยเสียงโกรธ “ตอนนี้เรารอดมาได้เพราะพลังงานเสริมจากหินพลังต้นกำเนิด”

“เช่นนั้นก็เพิ่มอัตราการใส่หินพลังต้นกำเนิด! แนวหน้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ใครพลาดย่อมเป็นฝ่ายสูญเสีย!”

ปักษาคนหนึ่งวิ่งเข้ามาร้องบอก “เร็วเข้า! เติมหินพลังต้นกำเนิดให้มากขึ้นอีก!”

เกวียนขนหินพลังต้นกำเนิดอีกหลายเล่มเข็นเข้ามาเทหินลงในค่ายกล

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีเลือดหยดหนึ่งหยดลงบนหินพลังต้นกำเนิดที่ซ่อนอยู่ในเกวียน พริบตาต่อมา หินก้อนนั้นก็ถูกกัดกินไปพร้อมกับแสงที่สว่างจ้าขึ้น