บ้าแล้ว! ในเมื่อเป็นเกมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ควรจะใช้คนละชื่อ! ทำแบบนี้ก็เข้าใจผิดกันไปใหญ่!
เห็นชายหนุ่มไม่นั่งสักที สุดท้ายชายชราก็เงยหน้าขึ้นตั้งคำถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “มีอะไร?”
“ผู้อาวุโส ขอเวลาผมสักครู่ได้ไหม? สำหรับผม หมากรุกไม่ได้เป็นแค่งานอดิเรก แต่เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ผมเคารพการเดินหมากรุกทุกตา เพราะฉะนั้น…จะต้องใช้เวลาปรับสภาวะจิตและเตรียมตัวสักครู่หนึ่ง” จางเซวียนพูดโดยไม่แสดงความกระอักกระอ่วนสักนิด
ชายชราตาโตเมื่อได้ยิน
เซียนหมากรุกตัวจริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจความลึกซึ้งของเกมหมากรุกและให้ความเคารพสูงสุด
แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็น่าชื่นชมที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับสิ่งที่คนอื่นๆมองว่าเป็นแค่เกม
จางเซวียนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ จากนั้นก็หลับตาและสูดหายใจลึก ท่าทีสงบสุขุมของเขาดูไม่ต่างอะไรกับบรมครูตัวจริง
แต่เรื่องจริงก็คือจางเซวียนกำลังส่งโทรจิตหาฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยอย่างเอาเป็นเอาตาย
“พวกคุณรู้กติกาของเกมหมากรุกชนิดนี้ไหม?”
“ฮะ?” ฉีหลิงเอ๋อกับจางเจี้ยถึงกับตกตะลึง
ทั้งสองเพิ่งได้ยินกับหูว่าชายหนุ่มคุยโม้เรื่องทักษะการเล่นหมากรุกของเขา แต่ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้แม้แต่กติกาของมัน!
พี่ชาย*…ไม่สายไปหน่อยหรือที่จะมาถามเรื่องกฎกติกากับพวกเราในเวลานี้?*
โดยเฉพาะจางเจี้ย มันงงเสียจนยืนตัวแข็งราวกับรูปปั้น
ตอนที่เจ้านายคุยโวเรื่องความเก่งกาจในศิลปะการเล่นหมากรุกของเขาที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ มันก็รู้สึกว่าเจ้านายคือผู้มีความสามารถหลากหลายด้าน หากเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ก็คงไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
ไม่มีคำไหนจะบรรยายความตกตะลึงของมันได้เมื่อได้ยินเจ้านายถามว่ามันรู้กติกาของเกมนี้ไหม?
คุณคงไม่คิดว่าจะเอาชนะบรมครูหมากรุกตัวจริงได้ด้วยการเรียนรู้แค่กฎกติกาหรอกนะ*?*
ถึงมันจะเป็นแค่อสูรสวรรค์ แต่ก็เคยศึกษาวิธีการเล่นเกมนี้ในสมัยที่มันปลอมตัวเป็นมนุษย์เดินท่องไปตามถนนสายต่างๆของเมืองตะวันรอน บางครั้ง เมื่อรู้สึกเบื่อมากๆขณะที่อยู่ในถ้ำ ก็จะศึกษากลวิธีการเล่นหมากรุกด้วยความใฝ่รู้
หมากรุกที่นักรบสามเคราเล่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘หมากรุกของเทพธิดาหลัวแห่งสรวงสวรรค์’ เป็นหมากรุกที่ซับซ้อนกว่าโกะ
กติกานั้นเรียบง่ายและไม่มีอะไรมาก แต่จำนวนรูปแบบของความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นทำให้การจะเชี่ยวชาญเกมชนิดนี้เป็นไปได้ยาก มันคือเกมที่ใช้ทดสอบความยืดหยุ่นของความคิดและไหวพริบของผู้เล่น
คนจำนวนหนึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตจมดิ่งอยู่กับหมากรุกชนิดนี้ แต่ก็ประสบความสำเร็จไม่มากนัก อันที่จริง ขนาดราชันย์เทพเจ้าหลายคนก็เป็นแฟนตัวยงของเกมหมากรุก แต่ฝีมือก็ถือว่าธรรมดา
การที่ชายชราปราบผู้เชี่ยวชาญทุกคนในเมืองได้ก็แปลว่าเขาคือบรมครูด้านหมากรุกตัวจริง
จางเจี้ยรู้สึกว่านี่คือความหุนหันพลันแล่นอย่างหนักของเจ้านายที่ท้าทายชายชราและวางเดิมพันใหญ่โตทั้งที่ไม่รู้แม้แต่กติกาการเล่น
นายท่าน เราหยุดแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายเสียทีได้ไหม*? ผมรู้สึกว่าหัวใจผมคงอัดแน่นจนระเบิดเหมือนลูกโป่งเข้าสักวัน…*
หลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดฉีหลิงเอ๋อก็เริ่มตอบคำถามของจางเซวียน “กติกาของเกมนี้คือ…”
ไม่นานเธอก็พูดจบ
หัวใจของเกมหมากรุกไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของกติกา แต่เป็นความสามารถในการทำนายและคาดเดาการเดินหมากของคู่ต่อสู้ หากทั้งสองฝ่ายอ่านใจของกันและกันได้ล่วงหน้าหลายขั้น ก็จะกลายเป็นการประลองสติปัญญาอย่างแท้จริง เกิดเป็นความพิเศษที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ
ส่วนใครก็ตามที่ทำไม่ได้ถึงระดับนั้นก็ย่อมลงเอยด้วยการเป็นมดที่ถูกยักษ์ปักหลั่นเหยียบย่ำ
“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากได้ฟังกติกาทั้งหมด
โชคดีที่กติกาไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นปัญหาใหญ่หากเขาต้องคอยขบคิดมันระหว่างที่เกมกำลังดำเนินไป
เมื่อชายชราเห็นว่าในที่สุดจางเซวียนก็ลืมตา เขาตั้งคำถาม “เราจะเริ่มกันได้หรือยัง?”
“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะทรุดตัวลงนั่ง เขาใช้มือซ้ายหยิบตัวหมากและผายมือไปที่กระดานหมากรุก “เชิญ”
นักรบสามเคราไม่พูดไม่จา เขาหยิบตัวหมากรุกขึ้นมาตัวหนึ่งและวางลงไป
จางเซวียนยิ้มน้อยๆ เขาเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏ
สิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือคือรายละเอียดของกระดานหมากรุก รวมทั้งข้อบกพร่องและตำแหน่งการวางหมากจุดต่างๆบนกระดานแผ่นนั้น
ทุกตำแหน่งบนกระดานหมากรุกมีข้อบกพร่องของมัน บางจุดมีมากกว่าจุดอื่นๆ และมีเพียงจุดเดียวที่ไม่มีข้อบกพร่องเลย
ใช้การได้จริงๆ จางเซวียนคิดอย่างยินดีปรีดา
หลังจากได้เรียนรู้กติกา เขาก็ประมวลความรู้ที่ได้เข้ากับรายละเอียดของกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้า ด้วยเหตุนี้ จึงค้นพบข้อบกพร่องทุกข้อของการเดินหมากทุกตา ขอแค่ทำตามการคิดคำนวณอันแม่นยำไร้ที่ติของหอสมุดเทียบฟ้า ก็น่าจะได้ผลลัพธ์อย่างงาม
“การเดินหมากตานั้น…ดูดีทีเดียว”
จางเจี้ยกับฉีหลิงเอ๋อเฝ้ามองการเดินหมากของจางเซวียนอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่
พูดตามตรง ทั้งคู่หมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้วหลังจากได้ยินจางเซวียนถามเรื่องกติกาเมื่อครู่ก่อน ทั้งหมดที่พอหวังได้ก็คือหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าจนเกินไป
แม้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะเดินหมากกันไปเพียงคนละตาเดียว แต่มันคือการเคลื่อนไหวที่ก่อเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของค่ายกล เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่มือใหม่
การเดินหมาก 2-3 ตาแรกคือการตั้งต้นวางโครงสร้างของค่ายกลบนกระดานหมากรุก จึงไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญมากมาย เพียงแค่ประสบการณ์ก็เกินพอจะช่วยให้ผู้นั้นตัดสินใจได้แล้วว่าควรเดินหมากไปทางไหน
นักรบสามเคราวางหมากตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็ว มีจางเซวียนตามไปติดๆ ดูเหมือนทั้งคู่เล่นหมากรุกด้วยสัญชาตญาณ แทบไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิดใดๆ
ภายใน 5 นาที ทั้งสองก็เดินหมากไปคนละ 30 ตา
“เอ่อ…”
จางเจี้ยกับฉีหลิงเอ๋อจับตามองสถานการณ์บนกระดานหมากรุกอย่างใกล้ชิด ทั้งคู่ผงะไปเล็กน้อย
การเดินหมากของจางเซวียนเรียบง่ายและเป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป ไม่ต่างกับมือสมัครเล่น ไม่มีกลยุทธที่ซับซ้อนหรือการวางกับดักเพื่อล่อฝ่ายตรงข้ามให้ตกหลุมพราง แต่การเล่นแบบเรียบง่ายนี้กลับสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้กับผู้ที่ต้องรับมือ
การเดินหมากแต่ละตาของเขาดูจะผ่านการคิดคำนวณอย่างไร้ที่ติเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดและสูญเสียน้อยที่สุด ลงท้าย ตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามจึงจนมุม หาทางออกไม่ได้
ในฐานะคู่ต่อสู้ของจางเซวียน นักรบสามเครางุนงงจนทำอะไรไม่ถูก
ทำไมถึงไม่มีทางออกให้เขาเลย?
แม้เกมจะเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่เขาก็ดูออกว่านี่คือเกมที่สร้างความปั่นป่วนใจได้มากที่สุดเกมหนึ่งตั้งแต่ที่เคยเล่นมา
เกมนี้ไม่มีแผนการซับซ้อนหรือยุทธศาสตร์น่าทึ่งใดๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออีกฝ่ายคำนวณทุกอย่างได้อย่างแม่นยำและสกัดกั้นการเดินหมากของเขาได้ทุกตา
ถ้าเปรียบเทียบหมากรุกนัดนี้เป็นสนามรบและพวกเขาคือแม่ทัพที่นำกองกำลังเข้าต่อสู้ ก็บอกได้เลยว่าค่ายกลและยุทธศาสตร์ของเขาถูกอีกฝ่ายมองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามทำอะไรก็จะถูกสกัดไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้ ทั้งตัวเขาและกองกำลังจึงค่อยๆหมดสภาพไป
และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือแม้เขาจะมองเห็นทุกอย่าง แต่ก็ทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้เลย!
นักรบสามเคราเริ่มเหงื่อตก เขารีบเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้ซับซ้อนและเหนือชั้นกว่าเดิม พยายามงัดเอาทุกกลวิธีที่เคยใช้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกมาใช้ ซึ่งหากเป็นคู่ต่อสู้คนอื่น การเปลี่ยนสไตล์การเล่นอย่างปุบปับแบบนี้จะต้องทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ชายหนุ่มกลับวางหมากตัวแล้วตัวเล่าด้วยทีท่าที่ดูเหมือนไม่ได้ใช้ความคิดอะไร
ราวกับเขากำลังเล่นหมากรุกกับหุ่นกระบอก ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ!
บ่อยครั้งที่นักรบสามเครารู้สึกว่าทิศทางการวางหมากของชายหนุ่มออกจะสิ้นคิดและไม่ส่งผลดี แต่อีกสามตาต่อมา ก็กลับกลายเป็นว่าการวางหมากของอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งที่ชาญฉลาดเสียจนต้อนเขาให้จนมุมได้
เขารู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ กลืนไม่ได้ คายก็ไม่ออก ทำให้คับอกคับใจอย่างหนัก
แบบนี้เป็นไปไม่ได้*…*
ชายชราเริ่มใช้นิ้วเคาะม้าหินอย่างหมดความอดทน
เขามั่นใจเต็มเปี่ยมในทักษะการเล่นหมากรุกของตัวเอง เขาคือผู้ที่ไม่มีใครปราบได้ทั่วทั้งเมืองแสงสนธยา หรือต่อให้เป็นเมืองหลวง ก็มีเซียนหมากรุกไม่ถึงหยิบมือที่สู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!
แม้บรมครูหมากรุกผู้โด่งดังเหล่านั้นจะเอาชนะเขาได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องเดินหมากอย่างน้อยกว่าร้อยตา นี่เขาเพิ่งเล่นกับชายหนุ่มไปเพียง 40 ตาเท่านั้น แต่ก็จนมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาจนปัญญาขนาดนี้
แต่สิ่งที่ทำให้นักรบสามเคราสิ้นหวังยิ่งกว่าก็คือเขามองไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะการดวลหมากรุกนัดนี้ได้เลย
คู่ต่อสู้ของเขาไม่เปิดช่องใดๆทั้งสิ้น การเดินหมากทุกครั้งมีแต่จะทำให้เขาเข้าใกล้หน้าผามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะร่วงลงไปได้ทุกขณะและหมดทางเลือก
นักรบสามเคราปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วเดินหมากต่อไปอีกสองสามตา
ซึ่งก็เหมือนเดิม จางเซวียนยังคงวางหมากต่อไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
ไม่นาน การวางหมากของนักรบสามเคราก็ช้าลงเรื่อยๆ เขาใช้เวลานานขึ้นกว่าจะเดินหมากได้แต่ละครั้ง
แบบนี้ไม่ดี*…แบบนั้นก็ไม่ได้…*
นักรบสามเคราถือตัวหมากไว้ในมือและเริ่มลังเล ไม่รู้ว่าควรวางหมากต่อไปหรือไม่
“ฝีมือการเล่นหมากรุกของนายน้อย…”
ถึงจางเจี้ยจะไม่ได้เชี่ยวชาญหมากรุกเท่าไหร่ แต่ก็ดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันสบตาฉีหลิงเอ๋อ เห็นอีกฝ่ายตาโตจนแทบทะลุออกจากเบ้า
มันคิดว่านายน้อยคงสร้างหายนะแน่เพราะเพิ่งจะเรียนรู้กฎกติกาไปเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนมันจะประเมินความสามารถของนายน้อยต่ำไป
การวางหมากทุกตาของเขาดูเหมือนผ่านการใคร่ครวญมาแล้วหลายครั้งจนแน่ใจว่าไม่เหลือจุดอ่อนใดๆให้คู่ต่อสู้เล่นงานได้ แม้นักรบสามเคราจะช่ำชองเกมหมากรุก แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ถูก
“เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีเล่นหมากรุกเมื่อกี้เองนี่?” ฉีหลิงเอ๋อกระพริบตาปริบๆขณะจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ด้วยความที่เป็นอสูรสวรรค์ ความสามารถในการอ่านเกมหมากรุกของจางเจี้ยจึงยังอ่อนด้อย แต่สำหรับเธอซึ่งมาจากตระกูลผู้ทรงเกียรติ แม้จะไม่ได้สนใจการเล่นหมากรุกมากนัก แต่ก็พอจะคุ้นเคยกับมันอยู่บ้าง
ทักษะและความเจนจัดของนักรบสามเครานั้นมากพอจะรับมือกับเซียนหมากรุกของตระกูลฉีได้เลยทีเดียว แต่เขากลับจนปัญญาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม…