เพียงชั่วพริบตา เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป หลัวซิวหลงทางอยูในอนัตตาไม่สิ้นเป็นเวลาหกปีแล้ว

ในวันนี้อยู่ดี ๆ เขาก็พลันลืมตาขึ้นมาและเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน ใบหน้าเผยความตื่นตกใจออกมา

ที่ปลายทางของอนัตตาไม่สิ้น กลับปรากฏตำหนักแห่งหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

“ตำหนักโบราณลอยฟ้า? หรือว่าที่แห่งนี้ยังมีคนอาศัยอยู่ด้วย?”

เมื่อหลัวซิวมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือตำหนักจริง ๆ ในใจก็พลันรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง

ที่กลางอนัตตาไม่สิ้นบังเอิญพบกับร่างของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากอยู่แล้ว ในเวลานี้ยังเจอตำหนักอีก มันช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ

นี่คือตำหนักที่มีสีม่วง รอบตำหนักนั้นมีรัศมีสีม่วงแผ่กระจายออกมา ยึดปริภูมิเอาไว้ ถึงแม้ว่าปริภูมินั้นจะเกิดความปั่นป่วนหรือเกิดพายุพัดพาเข้ามา ที่ตำหนักแห่งนี้ก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ไม่สั่นไหว ลอยอยู่ ณ สถานที่อันห่างไกล

ถึงแม้ว่าระยะห่างจากไกลอยู่มาก หลัวซิวก็ยังรู้สึกได้ถึงความเก่าแก่และผันผวนของออร่า ราวกับว่าตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ที่นี่มานานนับแสนปี หรือบางทีอาจจะเป็นล้านปีแล้วก็เป็นได้

“เห้อหมิง เจ้าไป”

หลัวซิวชี้นิ้วออกไป ร่างหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งตัวก็พุ่งตัวออกไปยังตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักสีม่วงทันที

ร่างนี้ไม่ใช่ภูตมรณะมารเทพ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ชื่อว่าเห้อหมิงคนนั้น เขาถูกหลัวซิวกลั่นแปรให้เป็นภูตมรณะ

ส่วนชุดเก้ามังกรถูกหลัวซิวสวมใส่เอาไว้บนร่างของตนเอง ดังนั้นจึงได้หาเสื้อผ้าอื่นมาให้เขาสวมเอาไว้แทน

ถึงแม้เพราะถูกกลั่นให้เป็นภูตมรณะ ดังนั้นพลังจึงได้ลดลงอยู่ในระดับเจ้ายุทธจักร แต่เพราะร่างเนื้อคือร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ที่สามารถอยู่ในสถานที่ส่วนใหญ่ของอนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้ได้ ไม่เช่นนั้นผ่านไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว แต่ร่างเนื้อก็ยังคงถูกเก็บเอาไว้อย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้น เห้อหมิงก็เหาะมาถึงบริเวณใกล้เคียงของตำหนักสีม่วงแล้ว ม่านปราณม่วงตรึงรอบทั้งเขตตำหนักในรัศมีสิบกว่าเมตร ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอันตรายใด ๆ แฝงอยู่ในนั้น

หลัวซิวก็พาภูตมรณะมารเทพบินตรงเข้ามาด้วย ที่นอกเขตม่านปราณม่วงตรึงที่รอบตำหนัก เงยหน้าขึ้นไปมองตำหนักแห่งนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ

รัศมีสีม่วงเต็มไปด้วยออร่าปริศนา ในขณะที่ยังไม่สามารถแน่ใจในสถานการณ์ได้นั้น หลัวซิวก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำสิ่งใด

ทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็รี่ลง เห็นรอยฝ่ามือที่ชัดเจนบนกำแพงตำหนักสีม่วงที่ลอยเขว้งอยู่กลางอากาศ

รอยฝ่ามือนั้นเห็นรอยนิ้วทั้งห้าได้อย่างชัดเจน เจาะกำแพงตำหนักม่วงด้านหนึ่ง ทิ้งรอยนิ้วมือที่ชัดเจนเอาไว้

เห็นได้ชัดว่า นี่น่าจะเป็นซากปรักหักพังที่เก่าแก่โบราณมากแห่งหนึ่ง บางทีด้านในนั้นอาจมีโชคลึกลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้

แต่อย่างไร หลัวซิวก็รู้ดีเช่นกันว่า มีโอกาสที่จะเป็นสถานที่ซ่อนของโชคดี แต่ก็อาจจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายก็ได้เช่นกัน

“ถึงอย่างไร ที่อนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้ บางทีข้าอาจจะออกไปไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เทียบกับต้องตายไปเมื่อพลังชีวิตที่ค่อย ๆ หมดลง สู้ลองเดิมพันดูสักครั้งยังดีเสียกว่า”

หลัวซิวนิ่งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กัดฟันแน่น ก้าวเท้าเดินเข้าไปในเขตม่านปราณม่วง

“ปัง!”

วินาทีที่เขาเดินเข้ามาในม่านปราณม่วง บางทีเพราะถูกดึงดูดด้วยออร่าบนร่างของเขา ปราณม่วงทั้งหมดต่างก็พากันเคลื่อนไหวขึ้นมา

ปราณม่วงแปรเปลี่ยนเป็นภาพต่าง ๆ แสดงภาพการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน

ร่างของหลัวซิวอยู่ท่ามกลางปราณม่วง เหมือนกับเป็นผู้ชม ดื่มด่ำและร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้อันน่าสะพรึงนี้ด้วยตาตนเอง

สงครามช่างโหดร้าย จำนวนผู้มีเข้าร่วมในสงครามนี้อย่างน้อยต้องมีหลายล้านคน แต่ภาพที่ปรากฏในปราณม่วงนั้นค่อนข้างคลุมเครือ ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้คือ เจ้าของตำหนักม่วงแห่งนี้ก็เข้าร่วมสงครามใหญ่นั้นด้วย เพราะภาพที่หลัวซิวได้เห็นทั้งหมดนั้น ตำหนักสีม่วงแห่งนี้เคยปรากฏขึ้น

“นั่นอะไร?”

ทันใดนั้น สีหน้าของหลัวซิวก็ชะงักไป เขามองดูภาพหนึ่งที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมองสีม่วง ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมา เพียงฝ่ามือเดียวทำให้ตำหนักม่วงระเบิดออก ร่างเงาลาง ๆ ของผู้บัญชาแห่งสลายไปในทันที นั่นก็คือตายในสนามรบ