หวาซีเซียนจื่อจู่ๆ กายก็บิดเบี้ยวขึ้นมา จากนั้นก็หมุนกายราวกับเตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันเอาไว้ก่อนแล้ว ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ถูกผลึกทรายห่อหุ้มเอาไว้ยื่นออกมา

หลังจากเสียง “ปัง” ดังออกมา ฝ่ามือของทั้งสองก็มาบรรจบกัน

เปลวไฟสีทองของผลึกทรายก็ระเบิดออกมา กายของทั้งสองถอยออกไปด้านหลังสองสามก้าวพร้อมกันทันที

“ข้าเองก็รู้มาแต่เนิ่นแล้วว่าเจ้าผีเฒ่าอย่างเจ้าจะต้องมาไม้นี้ ดูเหมือนว่าเจ้าคงยังได้รับความเจ็บปวดไม่มากพอ ข้าจะทำให้เจ้า…” ใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์ของหวาซีเซียนจื่อจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปบิดเบี้ยวซีดเซียว หลังจากที่เปล่งเสียงเอ่ยออกมาสองประโยค ชั่วขณะนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นท่าทีหวาดกลัว ทั่วทั้งกายดูตกตะลึง ฝ่ามือผอมบางสีฟ้าทาบลงบนหน้าอกของเขา

นิ้วมือทั้งห้านี้ของฝ่ามือนี้จับเจ้าตัวร้ายนี้ที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดเอาไว้ ใบหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนกับหวาซีเซียนจื่อไม่ผิดนัก

หลังจากที่บรรพชนอู๋โก้วพร่ามัวไป จึงได้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าปราณก่อกำเนิดของหวาซีเซียนจื่ออย่างประหลาด จ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยความเย็นชาไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่นิด

ในเวลานี้ด้านหลังของหญิงสาวคนนี้เกิดความสั่นไหว เงาร่างพร่ามัวที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฏออกมา

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางทะเลเพลิงสีทองอีกด้านหนึ่งม้วนตัวโจมตีไปยังมนุษย์เพลิงสีทองสูงดั่งขุนเขา แล้วเกิดเสียงดัง “ปัง” จากนั้นก็หายไปกลางอากาศ

ขุนเขาสูงนั้นไม่ได้ป้องกัน ชั่วขณะนั้นก็ถูกกดทับลงไป ทะเลเพลิงทั้งหมดนี้ก็พังทลายสลายลงไปภายใต้เสียงดังกึกก้องนี้

“เจ้าถึงกับใช้วิชามหายุทธ์แทนวิญญาณ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่มีทางตกลงอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หรอก เจ้าเองก็อย่าได้ใจไป สามีภรรยากันแต่เดิมก็เป็นนกที่มีชะตากรรมเดียวกัน เจ้าเองก็อย่าได้หวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อในโลกใบนี้ได้ อย่าลืมไปว่าบนกายของเจ้าลงอาคมต้องห้ามชะตาเดียวกันเอาไว้” หลังจากที่ปราณก่อกำเนิดของหวาซีเซียนจื่อดิ้นรนต่อสู้อยู่ครู่หนึ่ง กลับไม่มีท่าทีที่จะหลุดพ้นออกมาได้ จากนั้นจึงได้หยุดการกระทำลงอย่างสิ้นหวัง แต่ปากนั้นเอ่ยออกมากับบรรพชนอู๋โก้วด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างที่สุด

“อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าก็จงไปอย่างสงบเถอะ หลายปีก่อนหน้านี้ ข้าได้ทำลายอาคมต้องห้ามนี้ทิ้งไปนานแล้ว อดทนรอจนมาถึงตอนนี้ ก็เพียงเพื่อของที่อยู่ในแขนเสื้อของเจ้าก็เท่านั้น” สายตาของบรรพชนอู๋โก้วมีร่องรอยของความประหลาดใจ แต่ปากก็ยังคงเอ่ยออกมาอย่างแข็งทื่อ

“เป็นไปไม่ได้ อา…”

ปราณก่อกำเนิดของหวาซีเซียนจื่อตกตะลึงไป แล้วส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าทันทีที่เพียงแค่ส่งออกมาเสียงร้องเดียว ร่างมนุษย์สีฟ้าก็ส่งเสียง “ปัง” ออกมา จากนั้นก็แปลงกายเป็นมนุษย์เพลิงสีทอง กระโจนออกไปด้านหน้า นำปราณก่อกำเนิดและกายของหญิงสาวคนนั้นห่อหุ้มเข้าไว้ด้วยกัน แล้วกลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที

รูม่านตาของบรรพชนอู๋โก้วหดลง และในทันทีนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้าไปยังกลางอากาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองก็มีแสงดังทะลุผ่านอากาศ แผ่นอาคมสีดำราวกับน้ำหมึกลอยออกมาจากด้านในนั้น จากนั้นก็ตกลงมาอยู่ในมือของเขา

บรรพชนอู๋โก้วจ้องมองของที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวังแล้วเป่าปากออกมา

ชั่วขณะนั้นก็มีเสียงดังอู้อี้ออกมา!

แผ่นอาคมนี้ก็หลุดลอกออกมาด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สุดท้ายแล้วก็กลายควันดำที่รวมตัวกันปรากฏอยู่ตรงนั้น

บรรพชนอู๋โก้วอ้าปากหายใจเข้า แล้วดูดกลืนควันดำเข้าไปในช่องท้อง หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายอยู่ชั่วครู่ แววตาจึงเผยท่าทีราวกับว่ากำลังรองรับภาระหนัก

และหลังจากที่เปลวเพลิงสีทองม้วนตัวรวมกันแล้ว ก็แปลงกายเป็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงที่เดิม

เสียง “ปัง” ดังออกมา

ในที่สุดผลึกทรายทั้งหมดก็พากันหลอมรวมเป็นสายน้ำ และแต่เดิมนั้นเปลวเพลิงสีเงินที่ควรจะม้วนตัวออกมาด้านนอกนั้นสั่นไหวขึ้น ทันใดนั้นก็แข็งตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด แม้แต่วิหคเพลิงขนาดยักษ์ตัวนั้นเอง ปีกทั้งคู่ก็หยุดลงอยู่กลางอากาศ

ดวงตาของบรรพชนอู๋โก้วจึงได้เป็นประกายขึ้น เหลือบมองไปยังวานรยักษ์สีทองที่อยู่ไม่ไกล

ในเวลานี้หานลี่ที่แปลงกายมาเป็นวานรยักษ์นั้น ก็ใช้สายตามองไปยังบรรพชนอู๋โก้วด้วยความสนใจเช่นกัน หลังจากนั้นเพียงครู่ เขาก็เปิดปากเอ่ยออกมาเสียงดัง

“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าระหว่างคู่สามีภรรยาของพวกท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็พอจะคาดเดาได้บ้าง ตอนนี้เหลือเพียงแค่ท่านคนเดียวแล้ว ยังอยากที่จะลงมืออีกหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่จำเป็นแล้ว ข้าตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว วรยุทธ์ของอรหันต์เทียนติ่งนั้นไม่มีประโยชน์อะไรแตกต่างไปสำหรับข้าแล้ว อีกทั้งนักพรตมาถึงที่นี้แล้วแม้แต่พลังเพียงครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ได้นำออกมาใช้ บรรพชนผู้นี้แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะไปยั่วยุนักพรต ครั้งนี้ ผู้ชราขอจากไปก่อนก็แล้วกัน” บรรพชนอู๋โก้วเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบสองประโยค ร่างเงาสีฟ้าที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กระโจนเข้าหาเขา จากนั้นก็แทรกซึมเข้าสู่กายนั้นโดยไม่เห็นแม้แต่เงาในทันที ตามมาด้วยแขนเสื้อสั่นไหว ผิวกายเปล่งแสงเรืองรอง กลายเป็นสายรุ้งอันน่าตะลึงทะลุออกไป เพียงแค่ไม่กี่พริบตา ก็หายลับไปตรงขอบฟ้า

หานลี่ค่อนข้างจะประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าบรรพชนอู๋โก้วท่านนี้จะจากไปง่ายดายเช่นนี้ และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยับยั้งอะไร

อีกด้านหนึ่ง เสียงดังสะเทือนฟ้าดินดังขึ้นมา

ในใจของหานลี่สั่นไหว เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบกับทะเลหมอกสีเลือดที่อยู่ไม่ไกลไปนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ม้วนตัวแผ่ขยายกว้างออกไป พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์สีทองและคางคกโลหิตเก้าตาก็เผยออกมาจากด้านในอีกครั้ง

ทั้งสองหันเผชิญหน้ากันจากระยะห่างนับร้อยจั้ง แต่ว่าลำแสงสีทองบนกายหนึ่งมืดสลัวลง ศีรษะหนึ่งและสองแขนหายไป

ส่วนอีกร่างหนึ่งนั้นทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดวงตาโลหิตนั้นมีเพียงแค่ห้าดวงเท่านั้นที่สามารถเปิดขึ้นได้ ส่วนที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด

ทั้งสองดูพ่ายแพ้บาดเจ็บอย่างสิ้นเชิง

ส่วนการต่อสู้ของอีกสองกลุ่มนั้น ยังคงส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังออกมาไม่หยุด ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือดร้อนแรงจนราวกับว่ามีเปลวไฟโหมท่วมฟ้า

หานลี่ยิ้มในใจ ร่างที่แปลงเป็นวานรยักษ์นั้นเคลื่อนไหว ก็พุ่งตรงไปยังคางคกโลหิตเก้าตาตัวนั้น

และในเวลานี้เอง คางคกโลหิตเก้าตาก็ส่งเสียงถอนหายใจลึกออกมา

“พี่หานไม่จำเป็นต้องต่อสู้แล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราทั้งสามแพ้แล้ว และจะไม่มีทางจะไปพัวพันกับสหายนักพรตอีก”

น้ำเสียงเพิ่งจะจบลง กายของคางคกโลหิตเก้าตาก็ปรากฏหมอกโลหิตออกมาอีกครั้ง บาดแผลบนกายที่มีอยู่ก็หายไปอย่างเร็วโดยไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ตามมาด้วยผิวกายของคางคกโลหิตเปล่งประกายขึ้น หลังจากที่ม้วนตัวไปมา ก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์

หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างแปลงวานรยักษ์นั้นส่งเสียงคำรามต่ำออกมาแล้วหดตัวลงอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่ร่างเดิมภายใต้ลำแสงสีทอง

ผู้คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่อีกสองกลุ่ม แน่นอนว่าก็มองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา

และถึงแม้ว่านักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาจะไม่เต็มใจ พวกเขาก็จำต้องเก็บอิทธิฤทธิ์และสมบัติวิเศษกลับคืนมาอย่างทำอะไรไม่ได้ ล่าถอยออกจากกลุ่มการต่อสู้ และหลังจากที่แสงสว่างวาบขึ้นมา สีหน้าที่ดูไม่ได้อย่างผิดปกติก็ปรากฏอยู่ข้างกายของเซียวหมิง

“พี่เซียว พี่เราจะปล่อยมันไปเช่นนี้จริงๆ หรือ” ฮูหยินวั่นฮวาเอ่ยถามออกด้วยความไม่เต็มใจ

“ไม่ปล่อยมันไปเช่นนี้ แล้วจะทำเช่นไรได้อีก บรรพชนอู๋โก้วและหวาซีเซียนจื่อต่างก็ไม่อยู่แล้ว อาศัยเพียงแค่ความสามารถของพวกเราสามคนแล้วโอกาสที่จะชนะนั้นแทบจะไม่มีเลย” เซียวหมิงเอ่ยออกมาช้าๆ

ใบหน้าของนักพรตชิงผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างดูมืดครึ้มเปลี่ยนไปมา ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรในทำนองที่ว่าให้ต่อสู้ต่อออกมา

“นักพรตหาน ครั้งนี้ข้ายอมรับมันแล้ว พวกข้าทั้งสามเองก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อได้ เช่นนั้นก็ขอลาแล้ว” เซียวหมิงกำหมัดให้กับหานลี่ ผิวกายเปล่งแสงวูบวาบออกมา ดูราวกับว่าวางแผนจะนำนักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาบินจากไป

“พี่เซียวอยากจะต่อสู้ก็ต่อสู้ อยากจะไปก็ไป ดูเหมือนว่าจะดูถูกข้าน้อยจนเกินไป” จู่ๆ หานลี่กลับส่งเสียงยิ้มเย็นเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

ในเวลานี้เองที่ปูยักษ์สีทองอร่ามและปิงพั่วเองก็เก็บวรยุทธ์กลับมา แล้วบินไปยังข้างกายของหานลี่

สีหน้าของปิงพั่วเต็มไปด้วยความยินดี

โค้งเงินบนผิวกายของปูยักษ์ทองอร่ามเปล่งประกายขึ้น แล้วแปลงกายเป็นนักพรตหนุ่มคนหนึ่ง

“ที่พี่หานเอ่ยออกมานั้นหมายความว่า…” ร่างกายของเซียวหมิงแข็งค้าง รูม่านตาวาววับเอ่ยถามออกมา

“พีเซียวเองก็รู้อยู่แล้วยังจะแสร้งถามอีก ไม่คิดจะให้คำอธิบายกับข้าสักเล็กน้อยหรือ?” หานลี่เอ่ยถามกลับมาอย่างเฉยเมย

“พี่หานช่างไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อยนิด นี้เป็นยาผลึกโลหิตพลังหยินสามเม็ด ถือเสียว่าเป็นของขวัญชดใช้ก็แล้วกัน” เซียวหมิงถอนหายใจออกมา แขนเสื้อสั่นไหว ทันใดนั้นกล่องหยกก็พุ่งตรงไปยังหานลี่

หานลี่ใช้มือข้างหนึ่ง จับกล่องหยกนั้นเอามาไว้ในมือ ใช้จิตสัมผัสกวาดมองดูด้านในนั้น แล้วจึงพยักหน้าเผยท่าทีพึงพอใจออกมา

หลังจากที่ลำแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้นมา กล่องหยกก็หายวับจากมืออย่างไร้ร่องรอย

และในเวลานี้ หลังจากที่เซียวหมิงคำนับให้หานลี่อย่างยอมจำนนอีกครั้ง ก็แปลงกายเป็นกลุ่มลำแสงโลหิตแล้วบินจากไป นักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาก็กลายเป็นลำแสงหนีหายไปด้วยกัน จากไปโดยที่ไม่แม้จะเอ่ยอะไรออกมา

ถึงแม้ว่าจะไม่อาจได้รับเสื้อคลุมและสมบัติล้ำค่าของอรหันต์เทียนติ่ง แต่ว่าตอนนี้ยังมีเวลาก่อนที่พระราชวังเทียนติ่งจะปิดลง หากว่าเร่งรีบเข้าเสียหน่อย คงจะสามารถได้รับสมบัติล้ำค่าหรือว่าประโยชน์อื่นจากพื้นที่อื่นบ้าง

เซียวหมิงและทั้งสามคนแน่นอนว่าไม่อาจจะล่าช้าอีกต่อไป

“ขอบพระคุณบุญคุณของพี่หาน หากว่าไม่ใช่นักพรตลงมือช่วยเหลืออีกครั้งแล้ว ข้าเองเกรงว่าก็คงจะตกลงอยู่ในจุดจบที่น่าหวาดกลัว” ปิงพั่วถอนหายใจออกมายาวๆ แล้ว ก็เอ่ยคารวะให้แก่หานลี่ ในคำพูดนั้นไม่ได้ปกปิดความกตัญญูเอาไว้

“นักพรตปิงพั่วไม่จำต้องเกรงใจกันจนเกินไป ต่อให้ไม่เอ่ยถึงที่มาของเจ้าและข้าแล้ว ต่อให้มองเพียงแค่ผู้ที่มีสถานะเป็นมหายานของเผ่ามนุษย์ด้วยกันแล้ว ข้าเองก็ย่อมต้องปกป้องเจ้าจนปลอดภัย” หานลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย โบกมือพลางเอ่ยตอบกลับ

ส่วนนักพรตเซี่ยนั้นเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาด้วย

ดังนั้นหลังจากที่หานลี่เอ่ยออกมากับปิงพั่วอีกสองสามประโยค ทั้งสามคนก็กลายเป็นลำแสงหายไปด้วยกัน แล้วพุ่งตรงไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

หลายชั่วยามหลังจากนั้น ท่ามกลางอากาศสักแห่งหนึ่งด้านนอกของพื้นที่ศูนย์กลาง หลังจากที่สั่นไหวขึ้น เขตอาคมลำแสงแห่งหนึ่งก็ปรากฏออกมา

หานลี่ปิงพั่วทั้งสามคนก็ปรากฏออกมาโดยที่ไม่มีเสียง

หลังจากที่ทั้งสามคนคนมองไปรอบๆ แล้ว สีหน้าของปิงพั่วกลับเปลี่ยนไป แล้วเอ่ยออกมาในทันที

“ข้าเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของวิญญาณโลหิต ข้าจะร่ายคาถาใช้พลังต้องห้ามส่งพวกเราเข้าไปที่นั่นเถอะ”

หานลี่เมื่อได้ยินเข้า แน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ

ดังนั้นปิงพั่วจึงได้พลิกฝ่ามือขึ้นมาในทันที ภายในมือชั่วขณะนั้นก็มีแผ่นอาคมออกมา นิ้วมือชี้ไปลงไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นอีกเพียงไม่นาน หญิงสาวคนนี้ก็โยนแผ่นอาคมเข้าไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นเขตอาคมที่สดใส

ทั้งสามคนก็ก้าวเข้าไปด้านในเพียงแสงกะพริบ เขตอาคมลำแสงดังขึ้นมา กายของทั้งสามก็หายไปจากที่แห่งนี้จนมองไม่เห็น

ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น ภายใต้ห้องใต้หลังคา ก็นำเอาศาสตรายุทธหลายสิบชิ้นออกมาจากชั้นวางไม้สีเหลืองอ่อนออกมาจากแขนเสื้อของเซวี่ยพั่ว จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกสองสามคนที่เหลืออยู่อีก มือข้างหนึ่งก็ปรากฏออกมา ผิวกายก็เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งอันน่าประหลาดใจพุ่งออกมาจากห้องใต้หลังคา หลังจากส่องแสงสว่างวาบขึ้นมาแล้ว ก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศโดยไม่มีเสียง

และเกือบจะในเวลาเดียวกันนั้น กลางอากาศใกล้ๆ บริเวณนั้นก็เกิดการแปรปรวนขึ้นมาเล็กน้อย เขตอาคมลำแสงก็โผล่ออกมาจากกลางอากาศ หานลี่และคนอื่นๆ ก้าวเดินออกมาจากในนั้น

“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว?” สายตาแปลกประหลาดของเซวี่ยพั่วก็แวบผ่านเข้ามา มองไปยังหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับตนที่ยืนอยู่ข้างกายของหานลี่ เอ่ยออกมาด้วยท่าทีซับซ้อน

“หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ต้องชื่นชมที่เจ้าสามารถตามหาพี่หานมาได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าและข้าเกรงว่าคงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีก” ปิงพั่วจ้องมองไปยังร่างแปลงวิญญาณโลหิตที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยออกมา