บทที่ 895 ที่แท้ก็เป็นเจ้า

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ในระหว่างที่ศพยักษ์เทวะทั้งสี่มุ่งหน้าเข้ามา สายตาของหลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจพวกมันเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับจ้องไปที่ชายชราซึ่งยืนอยู่บนไหล่ของหนึ่งในพวกมันแทน

ไม่ว่าศพเหล่านี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนหากไร้ซึ่งคนควบคุม พวกมันก็จะไร้พิษสงไปโดยปริยาย และคนควบคุมมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายชราที่ดูสภาพไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้

แต่ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะได้ทันทำอะไร เต๋าเทียนเซียะได้ตะโกนขึ้นก่อนว่า “กวนหลิงอู่ ในฐานะที่พวกเรารู้จักกันมานานข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้งหนึ่ง! หากเจ้ารับปากว่าในอนาคตเจ้าจะทำงานให้ข้า 3 เรื่องตามที่ข้าสั่ง วันนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปที่สำนักของเจ้าโดยสวัสดิภาพ!”

กวนหลิงอู่หัวเราะและตอบกลับทันที “เจ้าสำนักเต๋า มันไม่มีอนาคตสำหรับท่านอีกต่อไปแล้ว!”

กวนหลิงอู่แน่ใจว่าวันนี้ไม่ว่าสำนักเงินตราจะมีไพ่ลับมากเท่าไหร่ก็ตาม สำนักเงินตราคงไม่สามารถรอดพ้นหายนะไปได้

ถึงแม้ว่าสำนักเงินตราจะไม่ธรรมดา แต่หลิงตู้ฉิงใช่คนปกติซะที่ไหน? แม้แต่สำนักที่แข็งแกร่งกว่าสำนักเงินตราก็ยังถูกทำลายลงโดยน้ำมือของหลิงตู้ฉิงมาแล้ว!

เมื่อถูกปฏิเสธ เต๋าเทียนเซียะจึงเบนสายตาไปหาคนอื่น ๆ แทน จากนั้นเขาพูดกับเย่เจียงไห่ว่า “ท่านคงจะเป็นผู้สำเร็จเต๋าคนล่าสุดสินะ? ข้าเองก็จะให้โอกาสท่านเช่นกัน หากท่านรับปากว่าจะรับใช้สำนักของข้าจนกว่าท่านจะขึ้นไปอยู่โลกเบื้องบน ข้าจะสนับสนุนท่านทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านได้เป็นนายเหนือหัวของยุคนี้ หรืออีกทางเลือกหนึ่งถ้าท่านยอมที่จะขึ้นสู่โลกเบื้องบนในตอนนี้ ข้าจะมอบอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ให้ท่าน 2 ชิ้นเพื่อเป็นการตอบแทน!”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวเย่เจียงไห่ แต่สำหรับผู้ที่มีความาสามารถสำเร็จเต๋าได้เป็นคนแรก ๆ ของยุคเขาเองก็อยากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงพยายามพูดดี ๆ ด้วยก่อน

เย่เจียงไห่หัวเราะ “อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ 2 ชิ้นงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าไม่มีปัญญาหาพวกมันเองรึไง? ส่วนเรื่องการขึ้นสู่โลกเบื้องบนนั้นข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำที่โลกเบื้องล่าง ดังนั้นข้าคงยังไม่ขึ้นไปเร็ว ๆ นี้แน่นอน และถ้าพูดถึงเรื่องการรับใช้สำนักเงินตราของเจ้า หากผู้ก่อตั้งคนแรกของเจ้ามาขอข้าด้วยตัวเองข้าถึงจะลองรับข้อเสนอเอาไปพิจารณาดู!”

เต๋าเทียนเซียะส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ชีวิตที่แล้วท่านคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม? ดังนั้นท่านควรจะเข้าใจว่าศพยักษ์เทวะทั้ง 4 ตนนี้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่อย่างน้อย ๆ ระดับการบ่มเพาะของพวกมันก็ต้องอยู่ในขอบเขตราชาศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม? แล้วท่านดูพวกมันตอนนี้สิ พวกมันยังกลายเป็นศพให้ข้าใช้งาน! ในเมื่อท่านไม่รู้ว่าอะไรดีกับตัวเอง ถ้างั้นข้าจะรอเก็บศพของท่านมาใช้งานในอนาคต!”

“ส่วนพวกท่านที่เหลือทั้งหลาย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกท่านไปกินอะไรกันมาถึงได้ฮึกเหิมจนถึงขนาดพากันมาบุกสำนักของข้ามากมายขนาดนี้ ถ้าพวกท่านอยากได้ทรัพย์สมบัติ พวกท่านก็จงเก็บสิ่งที่ท่านได้ไปแล้วเอาไว้กับตัวและออกไปให้พ้นสำนักของข้าซะ ข้าจะถือว่าครั้งนี้ข้าทำบุญให้กับพวกท่านและจะไม่ติดใจเอาความ ไม่เช่นนั้นข้าสาบานว่าถ้าหากพวกท่านยังไม่ออกไปหลังจากจบเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่พวกท่านที่จะตาย แต่ข้ายังจะตามไปทำลายสำนักของพวกท่านให้ย่อยยับให้หมด!”

หลิงตู้ฉิงกระแอมดึงดูดความสนใจก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าคนของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์จะสามารถปกป้องเจ้าได้จริง ๆ งั้นเหรอ?”

“โอ้? เจ้ามองออกด้วยงั้นเหรอว่าผู้อาวุโสซากศพเป็นคนของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ ช่างน่าประทับใจจริง ๆ” เต๋าเทียนเซียะหัวเราะ “เจ้าคือพ่อของราชันแห่งมวลมนุษย์คนปัจจุบันใช่ไหม? ข้าได้อ่านข้อมูลของเจ้ามาบ้างแล้วเหมือนกันก่อนหน้านี้ ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสักหน่อยสิว่าเจ้ามีความแค้นอะไรกับข้าทำไมเจ้าถึงบุกรุกเข้ามาเข่นฆ่าคนของข้าแบบนี้?”

หลิงตู้ฉิงจ้องเขม็งไปที่เต๋าเทียนเซียะก่อนจะพูดว่า “เมื่ออดีตข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าแล้วรอบหนึ่ง แต่พวกเจ้ากลับไม่เห็นค่ามันเลย! หลังจากที่ข้าจากไปพวกเจ้ากลับวางแผนทำร้ายคนของข้า เทพกระบี่ และ ผีเสื้อ!”

“ส่วนเจ้าไอ้ซากศพเดินได้ ข้านึกว่าข้าได้ฆ่าคนของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ไปหมดแล้ว ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะยังรอดอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้แถมยังดวงดีสำเร็จทักษะบงการศพเทวะอีกต่างหาก ข้าก็สงสัยอยู่ตั้งนานว่ามีใครบ้างกันแน่ที่ลอบทำลายเทพกระบี่คนของข้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงมือใช่ไหม?”

จากร่องรอยการถูกทำร้ายที่อยู่บนกระดูกของเทพกระบี่ หลิงตู้ฉิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนที่ลงมือนั้นบ่มเพาะธาตุโลหะ ซึ่งในตอนแรกหลิงตู้ฉิงเข้าใจว่าน่าจะเป็นคนจากสำนักที่เชี่ยวชาญในด้านการใช้พลังธาตุโลหะ แต่เมื่อตอนนี้เขาได้เห็นว่าหนึ่งในศพยักษ์เทวะนั้นมีพลังธาตุโลหะสถิตอยู่ เขาจึงเดาได้ว่าแท้จริงแล้วชายชราผู้นี้น่าจะเป็นผู้ร่วมลงมือโจมตีเทพกระบี่แน่นอน

ทางด้านของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิที่หลิงตู้ฉิงพามา เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้คือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตราชันศักดิ์สิทธิ์มาก่อน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที

เนื่องจากต่อให้ศพเหล่านี้จะไม่มีชีวิต ไม่สามารถใช้เจตจำนงหรือพลังใด ๆ ได้ แต่ร่างของพวกมันก็ยังมีความแข็งแกร่งตามระดับการบ่มเพาะอยู่ดี ซึ่งด้วยความห่างชั้นกันของระดับการบ่มเพาะต่อให้ศพเหล่านี้จะยืนเฉย ๆ ให้พวกเขาโจมตีเล่น พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้แน่นอน

ส่วนทางด้านของเต๋าเทียนเซียะ และผู้อาวุโสซากศพ เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงเป็นใคร

เต๋าเทียนเซียะแสดงสีหน้าเย็นชาและเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเจ้าเองงั้นเหรอ!”

ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเงินตราขึ้นมา คนคนเดียวที่ทำให้สำนักเงินตราต้องยอมถอยให้ก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้!

ถึงแม้ว่าสำนักเงินตราจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าเทียบกับหลิงตู้ฉิงในอดีตตอนที่เขากำลังอยู่ในจุดสูงสุด หากหลิงตู้ฉิงจะทำลายสำนักเงินตราขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้มีสำนักเงินตราสัก 10 สำนักก็คงไม่พอทำให้หลิงตู้ฉิงเหงื่อออก และเมื่อพวกเขาเห็นตัวอย่างความโหดเหี้ยมที่หลิงตู้ฉิงสร้างแดนกระดูกขาวขึ้น พวกเขาจึงยิ่งไม่กล้าเสี่ยงวัดดวงมากเข้าไปใหญ่

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยอมถอยแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าความแค้นในใจของพวกเขาที่ถูกดูหมิ่นมันจะจางหายไป ดังนั้นเมื่อพวกเขามีโอกาสลงมือ พวกเขาจึงเล่นงานคนของหลิงตู้ฉิงทันทีเพื่อระบายความแค้น

ผู้อาวุโสซากศพหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางชี้ไปที่หลิงตู้ฉิง และตะโกนขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกเสียดายอยู่เสมอที่ข้ามีโอกาสล้างแค้นแค่กับลูกกระจ๊อก 2 คนของเจ้า แต่แล้ววันนี้สวรรค์ช่างมีตาจริง ๆ ที่ดลบันดาลให้เจ้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกครั้งเพื่อให้ข้าได้ล้างแค้นแทนพี่น้องของข้าที่ตายลงไปด้วยน้ำมือของเจ้า”

“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของเจ้าตอนนี้มันอยู่แค่ขอบเขตราชัน ซึ่งการฆ่าคนที่อ่อนแอกว่าขนาดนี้ข้าคงไม่สะใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไร! ไหน ๆ สวรรค์ก็ให้โอกาสข้าแล้ว ดังนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ก่อน เอาล่ะ เจ้ามีคำสั่งเสียสุดท้ายอยากจะเอ่ยอะไรไหม? เมื่อสั่งเสียจบข้าจะได้ส่งเจ้าลงนรกไปอยู่กับทาสทั้งสองของเจ้า!”

เมื่อพูดจบ เขาสั่งให้ศพยักษ์เทวะง้างหมัดเตรียมโจมตีหลิงตู้ฉิงทันที

เมื่อเห็นว่าศพยักษ์เทวะทั้งสี่เตรียมลงมือโจมตี เย่เจียงไห่รีบพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้ไม่มีใครในพวกเราสักคนที่สามารถรับมือพวกมันไหวแน่ ข้าคิดว่าวันนี้พวกเราควรถอยออกไปก่อนจะดีกว่า!”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย และพูดว่า “พวกมันเป็นแค่ศพที่ไร้วิญญาณ เจ้าจะกลัวอะไรมันหนักหนา ตราบใดที่พวกมันยังต้องมีคนบังคับ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอก”

จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็แหงนหน้าขึ้นไปมองผู้อาวุโสซากศพ และพูดว่า “ข้าหลงคิดมาโดยตลอดว่าเต๋าของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ได้ขาดช่วงไปแล้ว และข้าเองก็เตรียมที่จะหาผู้สืบทอดให้อยู่พอดี แต่ในเมื่อวันนี้มันกลับกลายเป็นว่าข้าเข้าใจผิดและเต๋าของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ ดังนั้นอันดับแรกข้าคงต้องขอทำให้ความเข้าใจผิดในตอนแรกของข้าให้กลายเป็นจริงก่อน แต่ไม่ต้องห่วง ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้ข้าจะหาคนที่เหมาะสมมาสืบทอดเต๋าของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ให้แน่นอน!”