ทันทีที่ดาบปรากฏในมือของจางเซวียน รังสีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทุกความรู้สึกหายวับไปจากแววตา เหลือไว้แต่การจับจ้องอย่างเคร่งเครียด
หมิงไล่เชียงตวัดแส้ด้วยการสะบัดข้อมืออย่างแรง แส้นั้นพุ่งเข้าใส่จางเซวียน
สิ่งที่ฉีหลิงเอ๋อกังวลกลายเป็นความจริง แม้หมิงไล่เชียงจะเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอไม่ธรรมดา แข็งแกร่งพอจะยืนหยัดต้านทานได้แม้แต่กับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง
แถมทักษะการใช้แส้ของเธอก็ไร้เทียมทาน เธอควบคุมมันได้ด้วยความแม่นยำสูงสุด
จางเซวียนไม่คิดจะเผชิญหน้ากับแส้นั้นตรงๆ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งและโยกตัวหลบ ก่อนจะแทงดาบสวน
ความยาวและความยืดหยุ่นของแส้เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน มันสามารถแผ่รัศมีการทำลายล้างเป็นวงกว้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็ควบคุมยาก จึงมีนักรบเพียงหยิบมือเดียวที่เลือกจะฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญ
จางเซวียนเพิ่งเคยเผชิญหน้ากับอาวุธชนิดนี้เป็นครั้งแรก เขารีบตรวจสอบหนังสือที่บันทึกรายละเอียดด้านต่างๆของแส้เพื่อทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้
ควั่บ!
หมิงไล่เชียงถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่างก่อนจะตวัดแส้เข้าใส่จางเซวียนอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง จางเซวียนก็หลบได้แบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเธอไม่ได้ผล หมิงไล่เชียงหน้าดำคร่ำเครียด เธอรีบเปลี่ยนกลยุทธโดยไม่ลังเลและสร้างปราการที่ทำจากแส้ขึ้นแทน
จางเซวียนเผชิญหน้ากับแส้มากมายที่กำลังตวัดอย่างดุเดือด เขาใช้ดาบปัดป้องมันออกไปทีละอัน แม้จะรับมือกับการโจมตีของหมิงไล่เชียงได้ดี แต่ก็ยังไม่คิดจะตอบโต้
“นั่นเขา…กำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบหรือ?” ฉีหลิงเอ๋ออดขมวดคิ้วไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าหมิงไล่เชียงถือไพ่เหนือกว่าทั้งด้านพละกำลังและความเร็ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ดูเหมือนจางเซวียนจะคาดเดาการโจมตีของอีกฝ่ายได้ล่วงหน้า เขารับมือกับเธอได้ตลอด การโจมตีอันพิสดารพันลึกของแส้แทบไม่ระคายผิวจางเซวียนเลย
การที่จางเซวียนทำแบบนี้ได้ย่อมหมายความว่าเขามีโอกาสสูงที่จะเอาชนะได้สำเร็จ แต่ทุกครั้งที่เขาทำท่าจะตอบโต้ สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการล่าถอยแทนที่จะรุกคืบ ราวกับกลัวว่าจะทำให้หมิงไล่เชียงบาดเจ็บ
ที่สำคัญกว่านั้น สไตล์การต่อสู้ของเขายังเปลี่ยนแปลงไปตลอดระยะเวลาที่สู้กัน
ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่นักรบคนหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงสไตล์การต่อสู้ของเขาในระหว่างการดวล เว้นเสียแต่จะกำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ!
ไม่น่าเชื่อว่าคุณยังมีแก่ใจฝึกฝนศิลปะเพลงดาบทั้งๆที่กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า*…*
คุณเอาจริงใช่ไหม*?*
จางเจี้ยตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ
มันไม่รู้ว่านายท่านจงใจทำแบบนี้หรือเปล่า แต่เริ่มจะสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจเป็นโรคบางอย่าง ทำนองเดียวกับโรคเรียกร้องความสนใจ เพราะไม่ว่านายท่านจะไปไหน ก็จะต้องทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ใครต่อใครพากันอ้าปากค้าง
หรือว่ามนุษย์ให้คำจำกัดความของคำว่า ‘เก็บเนื้อเก็บตัว’ ที่ต่างกับคำจำกัดความของอสูรสวรรค์
“ฮึ่มมม!” หมิงไล่เชียงรู้ทันจางเซวียน สีหน้าของเธอเคร่งเครียดจนน่ากลัว
ในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความแข็งแกร่งสูงสุด เธอไม่เคยถูกใครสบประมาทพละกำลังด้วยวิธีแบบนี้มาก่อน แถมอีกฝ่ายยังอ่อนแอกว่าเธอด้วย
“ดูเหมือนคุณจะดูถูกดูแคลนฉันไปหน่อยนะ หรือไง? แต่เอาเถอะ ฉันจะให้คุณลิ้มรสกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันสักหน่อย เหตุผลที่หลินชีกับหวูหยางไม่กล้าสู้กับฉันก็เพราะพวกนั้นรับมือกับกระบวนท่านี้ไม่ไหว ถ้าคุณอยากเอาชนะฉันล่ะก็ ต้านทานมันให้ได้เสียก่อน!”
หมิงไล่เชียงคำราม แส้ในมือของเธอโบกสะบัดราวกับดาบที่พุ่งตรงเข้าจ่อลำคอของจางเซวียน รวดเร็วเสียจนดูเหมือนจะไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายในชั่วพริบตา
เห็นแส้ของหมิงไล่เชียงว่องไวกว่าศิลปะเพลงดาบของเขา จางเซวียนตาโต
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายคิดไว้ ตัวเขากำลังทดลองศิลปะเพลงดาบกับหมิงไล่เชียง
อันที่จริง จางเซวียนพยายามคิดค้นศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเขาไม่ได้ เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าจำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ของจริงเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้าวิเคราะห์ข้อบกพร่องของหมิงไล่เชียง แต่ตั้งใจจะใช้การดวลครั้งนี้เป็นโอกาสในการทดสอบศิลปะเพลงดาบที่มีอยู่
การดวลเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่จางเซวียนก็ได้ประโยชน์มาก พอจะเห็นภาพแล้วว่าตัวเขาต้องการศิลปะเพลงดาบแบบไหน
เท่าที่ดูจากความเร็วในการใช้แส้ของหมิงไล่เชียง ก็ชัดเจนว่าเธอทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดให้กับการโจมตีครั้งนี้ จางเซวียนจึงชูดาบขึ้นและปล่อยกระแสดาบฉีให้ระเบิดเข้าปะทะแส้
ฟึ่บ!
กระแสดาบฉีรวมตัวกันและถักทอเป็นตาข่ายที่สามารถดักทุกอย่างที่เข้าขวางทาง
หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!
หมิงไล่เชียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตัวเขาในเวลานี้จะเอาชนะได้ง่ายๆ จางเซวียนจึงไม่อาจออมมือให้กับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ ไม่อย่างนั้น เขาคงได้จบเห่
“ฮ่า!”
แต่ดูเหมือนหมิงไล่เชียงจะไม่สะทกสะท้านกับกระบวนท่าของจางเซวียน เธอกลับยิ้มออกมาและหัวเราะหึๆ
ฟึ่บ!
หมิงไล่เชียงสะบัดข้อมือ แส้ตวัดเข้าใส่ลำคอของจางเซวียนก่อนจะเลี้ยวลงไปเล่นงานส่วนท้อง
การเปลี่ยนแปลงจุดศูนย์ถ่วงในการโจมตีของเธอนั้นทั้งรวดเร็วดุเดือด และไม่อาจคาดเดาได้อย่างสิ้นเชิง ถึงมันจะไม่เล่นงานลำคอของเขาแล้ว แต่จางเซวียนก็จะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ถ้าโดนแส้ฟาดช่องท้องอย่างจังๆ
“นี่คือเป้าหมายที่เธอตั้งใจไว้แต่แรก…” จางเซวียนเข้าใจทันที
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างปุบปับ และจางเซวียนก็ไม่ทันระมัดระวังตัว สายไปแล้วที่เขาจะลงมือทำอะไร
ควั่บ!
ฉีหลิงเอ๋อนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขณะรีบตรวจสอบอาการของจางเซวียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงข้ามกับที่เธอคาดไว้
ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยังยิ้มออกด้วย
แต่เมื่อหันไปมองหมิงไล่เชียงที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังใช้มือกุมหน้าอก เลือดสดๆไหลซึมออกจากมุมปาก ร่างของเธอชุ่มเหงื่อ
“เกิดอะไรขึ้น?”
การปะทะเมื่อครู่นี้จบลงในชั่วพริบตา ฉีหลิงเอ๋อยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“นายน้อยทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่ได้ในวินาทีสุดท้ายพอดี ดังนั้น การโจมตีด้วยแส้ของหมิงไล่เชียงจึงย้อนกลับมาเล่นงานเธอเอง ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” จางเจี้ยอธิบาย
ด้วยสายตาคมกริบของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็เก็บได้ทุกรายละเอียด
อันที่จริง อีกเพียงเสี้ยววินาที จางเซวียนก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ปลดปล่อยกระแสดาบฉีอันทรงพลังออกไปได้ทันเวลา และไม่เพียงแต่การระเบิดอย่างรุนแรงของกระแสดาบฉีจะยับยั้งแส้นั้นไว้ได้ มันยังสะท้อนกลับไปหาหมิงไล่เชียงด้วย ทำให้เธอเจอแรงตีกลับอย่างจัง
ฉีหลิงเอ๋องุนงง
นี่มันไม่ใช่ความกล้าหาญแล้วหมอนั่นทำราวกับชีวิตตัวเองไม่มีค่าเลย!
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่อาจทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบได้ในวินาทีสุดท้าย? และถ้าศิลปะเพลงดาบนั้นใช้การไม่ได้ล่ะ?
เจอแส้ฟาดจังๆแบบนั้น มีหวังได้พิการแน่!
บริเวณช่องท้องคือที่อยู่ของจุดตันเถียน หากถูกโจมตีอย่างรุนแรง ผู้นั้นจะต้องสูญเสียวรยุทธไปอย่างถาวร
“นี่แหละ ผลงานของมันล่ะ!”
ขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงกับความบ้าบิ่นของจางเซวียน เจ้าตัวก็หัวเราะลั่น
ก่อนหน้านี้เขาติดขัดมาตลอด แต่การปะทะเมื่อครู่ดูจะขจัดสิ่งที่บดบังนัยน์ตาของเขาออกไป ความสับสนและความสงสัยต่างๆหายวับไปหมดสิ้น
“สายสัมพันธ์พี่น้อง…แท้ที่จริง ศิลปะเพลงดาบอยู่ในเทคนิควรยุทธของเรามาตลอด!”จางเซวียนอุทานอย่างตื่นเต้น
สายสัมพันธ์พี่น้องคือความรู้สึกและเทคนิควรยุทธที่เขาบรรลุเมื่อตอนที่เห็นไก่น้อยถูกสังหารต่อหน้าต่อตา
มนุษย์ต่างก็เสาะหาใครสักคนที่เข้าใจพวกเขา แต่จะมีสักกี่คนได้พบผู้ที่เขาจะฝากฝังทั้งชีวิตไว้ได้? ความโทมนัสของการสูญเสียคนแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการถูกกรีดหัวใจ
ตอนที่แส้ของหมิงไล่เชียงกำลังจะฟาดช่องท้องของเขา ทุกอย่างก็พลันกระจ่างขึ้นมา
จางเซวียนปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นนำทางศิลปะเพลงดาบของเขาไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะปัดป้องการโจมตีของหมิงไล่เชียงได้ ยังถึงกับทำให้เธอบาดเจ็บด้วย
“ฉันยอมแพ้…” หมิงไล่เชียงยอมจำนน
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้
เธอแน่ใจมาตลอดว่าจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้แน่ แต่ศิลปะเพลงดาบที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ทำให้เธอไม่ทันระวังตัว และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือเธอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าร่างกายของเธอแข็งแกร่งสมบูรณ์ดี ก็คงพอจะทดสอบอีกฝ่ายได้สักเล็กน้อยเพื่อดูว่าจะทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบนั้นได้หรือไม่ แต่โชคร้ายที่การตอบโต้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
เมื่อเห็นว่าปราบหมิงไล่เชียงได้แล้ว จางเซวียนมองหน้าฉีหลิงเอ๋อ “ไปบ้านพักของหลินชีกันเถอะ”
เขายังเหลือคู่ต่อสู้ให้จัดการอีก 2 คน ซึ่งในเมื่อรับมือกับผู้ที่สร้างปัญหามากที่สุดได้แล้ว การจะเล่นงานอีก 2 คนที่เหลือก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เดี๋ยวก่อน”
เห็นจางเซวียนกำลังจะจากไป หมิงไล่เชียงรีบลุกขึ้นยืน “ด้วยพละกำลังของคุณ ฉันเชื่อว่าหลินชีกับหวูหยางก็สู้คุณไม่ได้หรอก ว่าแต่…เหตุผลที่แท้จริงที่เราทั้งสามไม่อาจขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้น่ะไม่ใช่เพราะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน แต่เป็นเพราะพวกเราไม่อาจซึมซับและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ อนุสาวรีย์นั่นคือสัญลักษณ์ของตัวตนในฐานะเจ้าเมือง หากคุณซึมซาบและหลอมรวมตัวคุณเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองได้ล่ะก็ พวกนั้นก็จะยอมแพ้เอง”
“อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง?” จางเซวียนทวนคำ
“เจ้าเมืองแสงสนธยาคนก่อนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เขาเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้กับกระแสการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ เมื่อเขาตายไป จิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมเข้ากับอนุสาวรีย์หินอันหนึ่ง ซึ่งการที่ใครสักคนจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป ผู้นั้นจะต้องได้การยอมรับจากเขา แต่พวกเราทั้งสามคนไม่มีใครทำแบบนั้นได้เลย” หมิงไล่เชียงอธิบาย
“อนุสาวรีย์อยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
คงจะง่ายและสบายกว่ากันมากหากเขาทำให้ผู้ท้าชิงอีก 2 คนยอมจำนนได้ด้วยการซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง จะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางไปนู่นมานี่