การได้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองย่อมหมายความว่านักรบทั้งสามจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองแสงสนธยา ด้วยเหตุนี้ ต่อให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ในระดับที่จางเซวียนสำแดงออกมาเมื่อครู่ก่อน ฉีหลิงเอ๋อก็ยังไม่คิดว่าโอกาสเอาชนะของเขาจะมีมากนัก
อีกอย่าง สามคนนั้นผ่านการประลองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมจำนนง่ายๆให้กับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เทพเจ้าสวรรค์สร้าง
“อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นก็ไปตามหาพวกเขากันเถอะ!” จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในเมื่อเขาทำได้แค่ยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นสูง-ขั้นต้นมาเป็นเทพเจ้าขั้นสูง-สูงสุด ก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะนักรบทั้งสามได้โดยง่ายอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่การต่อสู้ครั้งนี้คงยากลำบากไม่น้อย
แต่ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยดวงตาหยั่งรู้และหอสมุดเทียบฟ้าของเขา จางเซวียนรู้สึกว่าในท้ายที่สุดเขาจะต้องได้ชัยชนะ
“เราจะไปที่นั่นทั้งแบบนี้หรือ?”
ฉีหลิงเอ๋อไม่รู้ว่าจางเซวียนเอาความมั่นหน้ามาจากไหน และรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ จึงแนะนำด้วยความเป็นห่วง “ทันทีที่คุณท้าทายพวกเขา คุณจะเข้าสู่การแข่งขันอย่างเป็นทางการนะ ซึ่งจนกว่าผลการแข่งขันขั้นสุดท้ายจะออกมา คุณจะต้องเผชิญกับการโจมตีจากพวกเขาอย่างไม่รู้จบ นายน้อยจาง…คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างก่อน? ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณ คุณน่าจะรับมือกับพวกนั้นได้ง่ายขึ้นมากหากฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ”
เธอคงไม่แนะนำแบบนี้กับคนอื่น เพราะการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นอุปสรรคที่ก้าวข้ามได้ยากเอาการ แต่นี่คือจางเซวียน…
ในเมื่อเขายกระดับวรยุทธได้ถึง 3 ขั้นย่อยภายในไม่กี่วินาที เธอก็ไม่คิดว่าการก้าวไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างของชายหนุ่มจะใช้เวลานานเกินไป บางทีอาจเพียง 3-5 วันเท่านั้น
“ไม่เป็นไรน่ะ ผมรู้ขีดจำกัดของผมดี ไปพบพวกเขากันเถอะ” จางเซวียนยืนกราน
วิธีฝึกฝนวรยุทธของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆมาก แม้เขาจะรู้ทิศทางของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการคิดคำนวณกระบวนการทั้งหมด ในเมื่อเป็นอย่างนั้น รีบจัดการเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองก่อนน่าจะดีกว่า
“ถ้าคุณมั่นใจ ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะห้าม…คุณอยากท้าทายใครก่อนล่ะ?” ฉีหลิงเอ๋อถาม “แม้ตอนนี้หมิงไล่เชียงจะอ่อนด้อยที่สุด แต่ก็ร่ำลือกันว่าเธอนั่นแหละคือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาผู้ท้าชิงทั้งสามคน ส่วนหลินชีกับหวูหยางแข็งแกร่งพอๆกัน แต่ถ้าจะเทียบ ก็ต้องบอกว่านักรบพเนจรอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ดังนั้น…คำแนะนำของฉันก็คือคุณควรท้าทายหวูหยางก่อน ซึ่งทันทีที่เอาชนะเขาได้ คุณก็จะได้แทนที่ตำแหน่งของเขา กลุ่มก๊วนของเขาจะต้องหันมาสนับสนุนคุณโดยดุษณี และคุณก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเดิม การเลือกคู่ต่อสู้คนแรกน่ะสำคัญมากนะ มันจะเป็นข้อมูลที่ช่วยประเมินพละกำลังของคุณและทำให้คนอื่นๆตัดสินใจได้ว่าควรสนับสนุนคุณหรือไม่”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นก็ท้าทายหมิงไล่เชียงก่อน”
ฉีหลิงเอ๋อยืนตัวแข็ง
คำแนะนำของฉันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของคุณหรือไง*!*
ก็เพิ่งบอกไปหยกๆว่าเธอน่ะน่ากลัวที่สุด*!*
“เพราะอะไร?” ฉีหลิงเอ๋อเกือบปรี๊ดแตก
“ตอนนี้น่ะเธออยู่ใกล้กับพวกเรามากที่สุด มันจะช่วยให้เราไม่ต้องวุ่นวายเดินทางกลับไปกลับมา” จางเซวียนตอบ
ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินมายังกระท่อมของนักรบสามเคราเมื่อครู่ จางเซวียนได้สอบถามเรื่องที่พำนักของผู้ท้าชิงทั้งสาม ซึ่งจากข้อมูลที่เขาได้ ดูเหมือนหมิงไล่เชียงจะอยู่ในจุดที่ใกล้ที่สุดกับบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ในเวลานี้
ฉีหลิงเอ๋อแทบจะทึ้งผมตัวเอง
คุณเป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาใช่ไหม*?คนทั่วไปเขาไม่คิดแบบนี้กันหรอก!*
เรากำลังจะเข้าสู่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองนะ! ดูเสียก่อนว่าคู่ต่อสู้ของคุณทรงพลังแค่ไหน เราอาจพ่ายแพ้ก็ได้…สิ่งที่คุณควรคิดคือคิดหาวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ดูว่าใครอยู่ใกล้คุณมากที่สุด!
อีกอย่าง คุณคงไม่คิดจะเอาชนะทั้งสามคนให้ได้รวดเดียวหรอกนะ ถูกไหม?
ไม่คิดจะปรับสภาวะของตัวเองก่อนเพื่อให้มั่นใจว่ามีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุดก่อนที่จะท้าทายพวกเขาหรือไง? แถมยังรนหาที่ จะดวลกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าคุณด้วย! แล้วไม่ต้องการเวลาเยียวยาตัวเองหลังจากจบการต่อสู้แต่ละครั้งหรือ?
คุณได้คิดเรื่องพวกนั้นไหม?
ฉีหลิงเอ๋อพยายามหว่านล้อมให้จางเซวียนเลิกล้มการตัดสินใจอันบุ่มบ่ามนั้น แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่แยแสและยืนกรานจะสู้กับหมิงไล่เชียงก่อน สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยเขา
1 ชั่วโมงต่อมา ทั้งกลุ่มก็มาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง
มันคือบ้านพักของหมิงไล่เชียง
“ยื่นสมุดแนะนำตัวสิ” จางเซวียนเร่ง
“ฉันไม่ได้เตรียมสมุดแนะนำตัวมาหรอก แต่ละเมืองมีกฎกติกาที่ต่างกันในการเข้าท้าทายคู่ต่อสู้ และฉันก็ไม่รู้ว่ากติกาของเมืองแสงสนธยาเป็นอย่างไร” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
ในเมื่อเธอไม่อาจหว่านล้อมให้จางเซวียนเปลี่ยนใจได้ ก็ทำได้แค่ยื้อเวลาออกไปเพื่อให้เขาใจเย็นลงและใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างมีเหตุผลกว่าเดิม
จางเซวียนชำเลืองมองฉีหลิงเอ๋อ เข้าใจเจตนาของเธอ จึงหันไปพูดกับซุนฉาง “งั้นคุณจัดการ”
“ได้” ซุนฉางตอบอย่างกระตือรือร้น
เขาเดินตรงไปยังบ้านพัก จากนั้นก็ส่งเสียงดังในระดับที่สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่ว “นายน้อยของเรากำลังจะเข้าแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง ผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนี้กรุณาออกมาตอบรับคำท้าของเขาด้วย เพราะไม่อย่างนั้น เราจะถือว่าคุณพ่ายแพ้!”
ฉีหลิงเอ๋อถึงกับผงะ
ท้าทายแบบนี้ก็ได้หรือ?
เหมือนยั่วยุกันมากกว่า!
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมีความดุเดือดเข้มข้นก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูเพื่อการนี้ แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่การต่อสู้ก็อาจลงเอยด้วยบาดแผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
แต่หลังจากการกระทำอันไร้มารยาทของจางเซวียน ถ้าหมิงไล่เชียงไม่ตอบโต้อย่างสาสมล่ะก็ คนอื่นๆจะเอาไปซุบซิบกันได้แม้เมื่อเธอได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว เธอคงจะต้องใช้กรณีของจางเซวียนเป็นเยี่ยงอย่างเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ!
“บังอาจ! ใครกล้ามาวุ่นวายถึงบ้านพักของนายหญิงน้อย?”
หลังจากซุนฉางประกาศศักดาได้ไม่นาน ก็เกิดความวุ่นวายใหญ่โตด้านใน ผู้คนที่พักอยู่บริเวณโดยรอบบ้านหลังนั้นต่างก็เดินมาดูว่าเจ้าโง่คนไหนที่กล้าดูถูกหมิงไล่เชียงผู้ยิ่งใหญ่
หมิงไล่เชียงคือผู้ที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองมากที่สุดแม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าใคร
ต่อหน้าคนระดับนั้น เจ้าโง่นั่นก็ยังกล้าทำตัวหยาบคาย
ในสมองของเขาคิดอะไรอยู่?
ซุนฉางยืดอกคำราม “ถ้าคุณหวังจะเป็นเจ้าเมืองล่ะก็ เลิกหลบซ่อนและออกมารับคำท้าของเราเสียดีๆ นายน้อยของเราไม่มีเวลาจะฟังคำพูดอ้อมค้อมของคุณ!”
“หยาบคาย! อวดดีที่สุด! คนอย่างคุณกล้าท้าทายนายหญิงน้อยของเรา…”
แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ สาวน้อยคนหนึ่งก็ส่งเสียง “เข้ามา”
แอ๊ดดดด!
ประตูบ้านพักเปิดออก จางเซวียนกับซุนฉางเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
ลานบ้านของบ้านพักหลังนั้นกว้างขวางมาก ที่ยืนอยู่ด้านในคือสาวน้อยร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นเป็นสง่า แต่ก็ออกจะขัดๆอยู่สักหน่อยหากจะเรียกเธอว่าสาวน้อย เพราะร่างกายของเธอล่ำสันมาก หากดูแค่รูปร่าง ก็อาจเข้าใจผิดได้โดยง่ายว่าเธอเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง
“คุณอยากเป็นเจ้าเมืองหรือ?” สาวน้อยมองหน้าจางเซวียนและคำรามเยาะ “น้องชาย ดูอายุและระดับวรยุทธของคุณเสียก่อน คนอย่างคุณน่ะควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่ ทะเยอทะยานน่ะมันก็ดี แต่ควรเจียมกะลาหัวด้วย!”
“ดูเหมือนคุณจะเป็นห่วงเป็นใยผมนะ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ในเมื่อผมประกาศแล้ว ก็ไม่คิดถอยแน่ ผมให้คุณเลือกก็แล้วกัน จะดวลกับผมและแพ้ยับ หรือยอมแพ้เสียเลย แล้วผมจะมอบยาเม็ดเพิ่มความงาม 1 เม็ดให้คุณ”
คำนั้นทำให้หมิงไล่เชียงถึงกับผงะ “ยาเม็ดเพิ่มความงาม คุณคือผู้หลอมยาเม็ดเพิ่มความงามของเมืองตะวันรอนหรือ?”
ยาเม็ดเพิ่มความงามเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ถึงขนาดที่แทบไม่มีใครที่ไม่รู้กิตติศัพท์ของมัน
หมิงไล่เชียงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เธอเกิดมาพร้อมกับโครงสร้างแบบคนกระดูกใหญ่ ทำให้มีเรือนร่างเหมือนผู้ชาย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่สหายของเธอมีคนรักและแต่งงานกันไปหมด เธอกลับได้แต่ฝึกฝนวรยุทธอย่างเงียบๆตามลำพัง
แต่ก็เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการฝึกฝนวรยุทธ จนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง
เธอเคยได้ยินเรื่องอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงามจากเมืองตะวันรอน และตั้งใจจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อหาซื้อ แต่ปัญหาเดียวก็คือยานั่นมีอยู่แค่ 20 เม็ดและขายหมดเรียบ
ไม่นึกเลยว่าวันต่อมา ผู้หลอมยาเม็ดเพิ่มความงามก็มาตามหาเธอ
“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมคือนักปรุงยาผู้คิดค้นยาเม็ดเพิ่มความงาม ส่วนนี่คือฉีหลิงเอ๋อ คุณคงรู้จักเธอในฐานะผู้ขายยาเม็ดเพิ่มความงามที่เมืองตะวันรอน”
“ฉีหลิงเอ๋อ?”
หมิงไล่เชียงหันไปมอง เห็นสุภาพสตรีที่มีเรือนร่างเย้ายวนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังจางเซวียน แม้เธอจะไม่เคยพบผู้จัดการตลาดมืดใต้ดินของเมืองตะวันรอนมาก่อน แต่เห็นแวบเดียวก็นึกออก
“คารวะคุณหมิง” ฉีหลิงเอ๋อก้าวออกมาและโค้งคำนับเล็กน้อย
“อือ” หมิงไล่เชียงหันไปถามจางเซวียน “ยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณน่ะ นอกจากทำให้ดูสวยสดงดงามขึ้นแล้ว มันยังมีอานุภาพในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระดูกด้วยหรือเปล่า?”
หากพูดถึงหน้าตา เธอก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ปัญหาคือโครงสร้างของร่างกายที่มีขนาดใหญ่จนทำให้ผู้คนที่เห็นพากันเกรงกลัว
“ผมเกรงว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกายคงทำได้ยาก” จางเซวียนส่ายหัว
เขาเปลี่ยนผิวพรรณของคนคนหนึ่งได้ด้วยการใช้พลังปราณเทียบฟ้าบ่มเพาะกายเนื้อและผิวหนัง แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระดูกต้องใช้กระบวนการรักษาที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก การกินยาเพียงเม็ดเดียวไม่น่าจะช่วยได้
“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ฉันคงต้องบอกว่าฉันไม่สนใจยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณแล้ว สำแดงกระบวนท่าของคุณมาเลย ฉันก็อยากรู้ว่าผู้ที่เก่งกาจถึงขนาดหลอมยาเม็ดเพิ่มความงามได้มีพละกำลังแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงได้กล้ามาท้าทายฉันถึงที่นี่!” หมิงไล่เชียงพูดขณะจับจ้องจางเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า
เธอดูออกว่าจางเซวียนไม่โง่ และการที่เขากล้าปรากฏตัวที่นี่ก็แปลว่าน่าจะมีกลเม็ดเด็ดพรายบางอย่างซ่อนอยู่
“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้าขณะชักดาบออกมา
มันคือดาบที่เขาได้มาจากอู๋ฟังชิงเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองตะวันรอน ซึ่งระหว่างการเดินทางมาที่นี่ เขาได้ทำให้มันยอมจำนนเป็นที่เรียบร้อย