ตอนที่ 729 เข้าหอ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซูเยา “….” เขาเกือบจะกรอกตาบนใส่จีเฉวียนเสียแล้ว! 

 

 

เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ยังคงขี้หวงที่สุดอยู่เช่นเดิม! 

 

 

จนถึงวันนี้อาหลันก็กำลังจะแต่ให้เขาอยู่แล้ว ก็ยังจะทำท่าหวงก้างอยู่นั้นแหละ ทำให้ผู้คนชื่นชอบเขาไม่ลงเลยจริงๆ 

 

 

ยังคงเป็นซูจี่ที่ดูสถานการณ์ออก นางจึงลากน้องชายผู้โง่เขลาของตนเองกลับมาที่ข้างกาย 

 

 

นางล้วงเอากล่องไม้ที่ปราณีตใบหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ทันทีที่กล่องในนี้ปรากฏออกมา ก็ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทำให้ในอากาศมีแต่กลิ่นหอมกำจาย นั่นเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลจนเมามาย 

 

 

“เจ้าจะอภิเษกทั้งที หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็ได้แต่ต้องนำมุกวิญญาณบุปผานี้ออกมาเสียแล้ว” 

 

 

ตอนนั้น สวนบุปผาวิญญาณในหุบเขาหมื่นปีศาจ ถูกท่านเจ้าสำนักดูดซับไปจนหมดสิ้นภายในคืนเดียว  

 

 

มุกบุปผาวิญญาณนี้ คือรากฐานของสระบุปผาวิญญาณ บุปผาวิญญาณทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจล้วนต้องอาศัยมันเพื่อการเกิดและเติบโต 

 

 

ซูจี่ส่งมอบสิ่งนี้ให้กับตู๋กูซิงหลัน ก็เทียบเท่ากับว่านางได้มอบครึ่งหนึ่งของหุบเขาหมื่นปีศาจออกมา เพียงแต่นางมิได้อธิบายถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ออกไปเท่านั้นเอง 

 

 

หากจะถามนางว่าทำไมถึงได้มอบของขวัญที่สำคัญถึงเพียงนี้ให้กับตู๋กูซิงหลัน? 

 

 

คำตอบก็คงเป็นเพราะว่านางคือคนในดวงใจของน้องชายผู้โง่เขลา อีกทั้งนางยังสามารถรอดชีวิตกลับมาจากแดนสวรรค์ได้สำเร็จ ของขวัญชิ้นนี้นางย่อมคู่ควรแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรับของขวัญจากซูจี่ด้วยสองมือ 

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้เปิดออกมา แต่นางก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน 

 

 

แค่ที่วันนี้ซูจี่สามารถมาร่วมงานได้ นางก็ประหลาดใจมากอยู่แล้ว แถมยังส่งมอบของขวัญที่ล้ำค่าให้อีก ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าช่างมากเกินไปจนนางชักจะละอายใจขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

ซูเยายืนอยู่ด้านข้าง เขารีบบอกให้นางรับเอาไว้ ในเมื่อเป็นของขวัญแต่งงานย่อมไม่อาจปฏิเสธ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจึงมิได้บ่ายเบี่ยงอะไรอีก เพียงรับเอาไว้อย่างให้ความสำคัญ 

 

 

ของขวัญเช่นนี้ สักวันนางย่อมต้องตอบแทนคืนให้อย่างแน่นอน 

 

 

นางรับของขวัญเอาไว้ ค่อยหันไปเอ่ยกับซูจี่ว่า “บนแดนสวรรค์มีคนผู้หนึ่ง ต้องการให้ข้านำประโยคหนึ่งมาบอกกับท่าน 

 

 

เงียบไปครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็เอ่ยออกมาว่า “เขาบอกว่า ความคะนึงหายาวนาน ไม่มีร้างรา” 

 

 

คำพูดนี้ เดิมทีตู๋กูซิงหลันสมควรบอกกับซูจี่ตั้งแต่ตอนที่กลับมาใหม่ๆ แต่เพราะจิตวิญญาณของนางได้รับบาดเจ็บจึงทำให้เสียเวลาไปบ้าง 

 

 

ประโยคนี้ พอพูดออกมาก็ทำให้ซูจี่หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที 

 

 

ไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูซิงหลันเอ่ยชื่อของคนผู้นั้นออกมา ซูจี่ก็เดาออกว่า คนผู้นั้นคือใคร 

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตู๋กูซิงหลันจะได้ไปพบเจอคนผู้นั้นบนแดนสวรรค์ 

 

 

คนที่นางซูจี่แสนเกลียดชัง เกลียดถึงขั้นเข้ากระดูกดำ! 

 

 

นางแค้นเขามานานถึงหมื่นปี! 

 

 

มาถึงตอนนี้เขากลับให้คนมาบอกว่า ความคะนึงหายาวนาน ไม่มีร้างรา? 

 

 

สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของนางสงบลงอย่างรวดเร็ว หากเพียงมองจากดวงหน้างดงามที่สามารถสร้างความลุ่มหลงให้กับทุกชีวิตได้นั้น ก็คงมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร 

 

 

เพราะต่อให้ในใจของนางกำลังปั่นป่วนเป็นเกลียวคลื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายซูจี่ก็ไม่ได้แสดงสิ่งใดออกไปแม้เพียงนิดเดียว 

 

 

 

 

 

นางผงกศีรษะน้อยๆ เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ข้ารู้แล้ว” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็ถอยออกไปด้านข้าง สายตามองไปยังเหล่านักรบสวรรค์ที่เคยมีจำนวนอยู่มากมาย 

 

 

และสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ซือหลิน 

 

 

เมื่อถูกจิ้งจอกเก้าหางที่งามล้ำโลกหมายตา ทำเอาซือหลินถึงกับรู้สึกอึดอัดจนย่ำแย่ขึ้นมา 

 

 

“อาหลัน ของเล่นพวกนี้เจ้าจะจัดการอย่างไร?” ซูเยาคิดแต่อยากจะขยับเข้าไปใกล้ๆตู๋กูซิงหลันอีกสักนิด 

 

 

แม้ว่านางกำลังจะแต่งงาน แต่เขาก็ยังอยากอยู่ใกล้นางอีกสักหน่อย 

 

 

นักรบสวรรค์เหล่านั้น ถูกเจ็ดยมราชดับชีวิตไปกลุ่มหนึ่ง ถูกเขากับพี่สาวทำลายไปอีกกลุ่ม ตอนนี้ที่เหลืออยู่รวมซือหลินด้วยก็มีเพียงห้าคนเท่านั้น 

 

 

ที่เหลืออยู่นั่นใช้เพียงมือข้างเดียวก็บี้แบนได้แล้ว! 

 

 

ต่อให้เป็นถึงเทพก็เท่านั้น 

 

 

พอเขาถามออกไป ผู้ที่ตอบกลับมากลับเป็นจีเฉวียน “เจ้าสมควรเรียกนางว่าฮ่องเต้หญิง หรือฝ่าบาท” 

 

 

คำว่าอาหลัน นั่น เรียกอย่างใกล้ชิดสนิทสนมไปแล้ว จีเฉวียนไม่ชอบใจเลย 

 

 

พวกซือหลินนั่นจะต้องจัดการเช่นไร เขาย่อมมีแผนการของตนเองอยู่แล้ว 

 

 

ซูเยา “…..” ในใจของเขากำลังร้องด่าฮ่องเต้สุนัขว่า ‘ไอ้เ-ี’  

 

 

แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่สนใจจะมองเขาอีกแม้แต่น้อย 

 

 

เพียงแค่เขาปรายตาออกไป พวกฉู่เจียงก็เข้าในความหมายแล้ว พวกเขารีบจับตัวซือหลินและพวกทั้งห้าคนเอาไว้ 

 

 

มีฉู่เจียงนำขบวนไปจับกุม พวกซือหลินย่อมยากที่จะหลบหนีไปได้ 

 

 

อีกด้านหนึ่งฉางซุนซิ่วที่ถูกควบคุมตัวไว้ ก็ต้องถือกับปากอ้าตาค้างไป 

 

 

เดิมทีเขาคิดว่า เทพในแดนสวรรค์นั้นสูงส่งไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ 

 

 

แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ สิ่งที่เขาได้เห็นมันคืออะไรกัน? 

 

 

นังแพศยาผู้นั้น …..นางสามารถเรียกเอาเผ่ามังกรและจิ้งจอกเก้าหางออกมา ทั้งยังมีกลุ่มคนที่ไม่มีผู้ใดรู้ฐานะเหล่านี้มาร่วมอวยพร ส่งมอบของขวัญล้ำค่า? 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าลิ้นของเขาถูกตู๋กูซิงหลันตัดขาดไป ทำให้เจ็บปวดไปถึงหัวใจแล้วละก็ ฉางซุนซิ่วคงจะคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝันอย่างแน่นอน! 

 

 

ซือหลินกับเขาร่วมมือกันวางแผนการขึ้นมา แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับตกลงไปในหลุมพลางที่ผู้อื่นตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว? 

 

 

ถึงตอนนี้ฉางซุนซิ่วถึงได้รู้ว่า ตนเองนั้นทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ! 

 

 

หลงเซียวกับอู้เจินไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่กีดขวางสายตาผู้คนอีกต่อไป พวกเขารีบพาฉางซุนซิ่วกลับไปกักขังเอาไว้ 

 

 

ฉู่เจียงเองก็รีบนำตัวซือหลินและพวกทั้งห้าไปกักขังด้วยเช่นกัน 

 

 

เมื่อผ่านพ้นความวุ่นวายไปรอบหนึ่ง บรรยากาศในงานอภิเษกก็ยิ่งคึกคักกว่าเดิม 

 

 

เก้ามังกรสวรรค์โบยบินบนท้องฟ้า โปรยปรายฝนกลีบบุปผาทองคำลงมา ตู๋กูซิงหลันมีราชโองการประทานอนุญาตให้ราษฎรที่พบเห็นสามารถรับเอาไว้! 

 

 

ในเมื่อตู๋กูซิงหลันตรัสเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางประทานซองแดงในวันอภิเษกให้กับราษฎรทั้งหลาย 

 

 

คราวนี้ เหล่าราษฎรต่างก็คุกเข่าลงกราบกรานด้วยความสำนึกในพระทัย และเก็บกลีบบุปผาทองคำด้วยความยินดี 

 

 

แต่ละคนเพียงเก็บเอาไว้กลีบหนึ่ง ของสิ่งนี้ย่อมต้องเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก ต่อไปก็ส่งต่อให้ลูกหลาน บอกกับพวกเขาว่า บรรพชนเคยได้เห็นงานอภิเษกอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้หญิงมาแล้ว 

 

 

บรรยากาศในงานยิ่งทียิ่งคึกคัก ยิ่งตระการตา 

 

 

จนกระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก ฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วถึงได้เสด็จไปยังตำหนักตี้หัวผ่านพิธีการสำคัญสามีภรรยาคำนับกันและกันอย่างเป็นทางการ 

 

 

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย โคมดอกไม้จำนวนนับหมื่นก็ถูกปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้าในราตรีนั้น เพียงพริบตาเดียวท้องฟ้าที่มืดมิดก็กลายเป็นสว่างไสวด้วยแสงโคมราวกับเป็นกลางวัน 

 

 

ทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมา ส่งมอบคำอวยพรให้กับฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่วอย่างจริงใจ 

 

 

วันนี้ฮ่องเต้หญิงทรงอภิเษก แม้ว่าระหว่างงานจะมีอะไรติดขัดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว 

 

 

ที่ด้านนอกวัง บนกำแพงสูง ฟ่านอิงยืนตัวตรงดุจพู่กันอยู่ในชุดคลุมสีดำทั้งร่าง  

 

 

เขาออกมาจากหุบเขาหมื่นปีศาจและมาถึงก่อนหลายวันแล้ว 

 

 

เพื่อจะมาเฝ้าดูงานอภิเษกของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เขาที่อัปลักษณ์ มีแต่ไอความตายทั่วร่าง ย่อมไม่มีคุณสมบัติจะออกไปพบนาง 

 

 

แผ่นดินต้าโจวแห่งนี้ เขาก็เกลียดชังถึงกระดูกดำ 

 

 

แต่ครั้งนี้พอมาถึง ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับเกิดความสงบขึ้น 

 

 

พอได้เห็นงานอภิเษกของตู๋กูซิงหลัน ก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาว่า หากว่าตอนนั้นแคว้นกู่เย่วมิได้เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นมา งานแต่งงานของเขากับเจียงเย่วก็คงจะยิ่งใหญ่และงดงามเช่นนี้เหมือนกัน 

 

 

หากว่าเจียงเย่วได้มาเห็นบรรยากาศในวันนี้ ไม่รู้ว่าในใจของนางจะคิดเช่นไร? 

 

 

ฟ่านอิงยืนมองจากบนกำแพงอย่างเงียบๆ ในมือของเขาถือกลีบบุปผาทองคำเอาไว้กลีบหนึ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางพลุไฟที่กระจายเต็มท้องฟ้า กลีบดอกไม้นี้จึงยิ่งเป็นประกายระยิบระยับกว่าเดิม 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมากวาดตาดูท้องฟ้ายามราตรีอันงดงาม ค่อยหันกลับมามองดูวังหลวงอีกครั้ง 

 

 

สุดท้ายก็ยังขยับเท้าไปเบื้องหน้าอีกก้าวหนึ่ง 

 

 

ความแค้นในชาติก่อน…..ก็ปล่อยให้มันผ่านพ้นไปเถอะ 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันเรียกเขาว่าท่านตา ปมที่อยู่ในใจของเขา ก็คลายออกแล้ว 

 

 

ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อจะอวยพรเท่านั้น 

 

 

……………….. 

 

 

วังหลวง เต็มไปด้วยเทียนสีแดง คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของฮ่องเต้หญิงและตี้โฮ่ว 

 

 

……………………………….