แม้ไม่ใส่ใจ แต่สีหน้าเซียวชิงเหอก็จริงจังไม่น้อย
ตั้งแต่ชั้นที่เจ็ดเป็นต้นไป ถึงจะเป็นช่วงเวลาทดสอบพลังของผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติอย่างแท้จริง
ด้วยการสังเกตการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ เขาพบว่าแม้หลินสวินเป็นคนแปลกหน้า แต่กลิ่นอายรอบกายกลับไม่ธรรมดานัก ทำให้เขาไม่อาจมองทะลุตื้นลึกหนาบางได้ในปราดเดียว
เช่นเดียวกับเซียวชิงเหอ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็จับตามองเช่นกัน
ชั้นที่เจ็ด
คลื่นผนึกถาโถมควบรวมเป็นเงาร่างนักรบกระบี่เงาหนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังถึงที่สุด น่ากลัวกว่าผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ทั่วไป
ขั้นสุดยอด!
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออก ในเวลาเดียวกันนี้เขาไม่ได้หยุดนิ่ง ก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ชือน้ำแข็งสีขาวโพลนตัวหนึ่งก็ชูคอเคลื่อนออกไป
เผียะ!
นักรบกระบี่กระโจนมาได้ครึ่งทาง ร่างก็ถูกชือน้ำแข็งตวัดหางกระแทกอย่างรุนแรง แปรสภาพยเป็นละอองแสงฟุ้งกระจาย
ในขณะเดียวกันเสียงสูดหายใจหนาวเยือกก็ดังขึ้นที่โลกภายนอก
“สวรรค์!”
“ฝ่าผ่านชั้นที่เจ็ดเช่นนี้หรือ รวดเร็วจริง!”
นัยน์ตาเซียวชิงเหอหรี่ลงเล็กน้อย พึมพำว่า “น่าสนใจ…”
ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ก็อึ้งไป ท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
ชั้นที่แปด
ตูม!
เงาร่างของนักรบกระบี่ที่กลิ่นอายเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าชั้นยอดเคลื่อนออกมา ความแกร่งกล้าของอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหลี่ชิงฮวน ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์แล้ว
แต่หลินสวินไม่แม้แต่มอง ยื่นมือขวาออกไป
ซ่า!
ธารดาราเปลวเพลิงสายหนึ่งแผ่ออกมา เกิดเป็นอานุภาพน่าหวาดหวั่นที่สามารถเผาฟ้าทลายดินได้
ระหว่าง ‘ออกเดินทาง’ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินบรรลุ ‘แก่นมรรค’ ของพลังมหามรรคธาตุไฟที่ตนครอบครองอยู่ก่อนแล้ว
และตอนนี้ทันทีที่สำแดงวิชาลับชั้นยอดวิชานี้ ในพริบตาก็เหมือนกำลังหลอมละลายท้องนภาที่แท้จริง ดวงดาราดวงแล้วดวงเล่าแผดเผาระเบิดออกภายในนั้น กลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตระหนก
และในชั่วพริบตานั้นเช่นกัน นักรบกระบี่ผู้นี้ก็ถูกเผาวอดวาย
“ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ก็ไม่รู้ว่าชั้นที่เก้านั่นจะเป็นการทดสอบระดับไหนกัน…” หลินสวินสูดหายใจลึกๆ ครู่ต่อมาเงาร่างก็หายไปจากชั้นที่แปด
ในขณะเดียวกัน โลกภายนอกก็อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว
“บ้าเอ๊ย! ร้ายกาจนัก เพียงชั่วพริบตาก็ฝ่าด่านไปได้อีกแล้ว!”
มีคนร้องตะโกนเสียงหลง
“หรือเจ้าหมอนั่นก็เป็นบุคคลวิปริตที่เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาผู้หนึ่ง”
มีคนพึมพำเสียงสั่นเครือ
ทั้งยังมีคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น ใบหน้าชาร้อน ก่อนหน้านี้พวกเขาดูแคลนนัก เคยสบประมาทและเย้ยหยันหลินสวิน คิดว่าเขาไม่ประเมินพลังตัวเอง ต้องอับอายขายหน้าแน่
แต่ตอนนี้ความจริงกลับพลิกพลันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เหมือนถูกตบปากฉาดใหญ่อย่างไร้เสียง
“คนผู้นี้เป็นใครกัน หรือจะเป็นหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎของแดนชัยบูรพา ไม่สิ เขาไม่น่าจะเย้ยฟ้าได้ปานนั้น ในหมู่สิบยักษ์ใหญ่ไม่มีคนเช่นนี้อยู่!”
“หรือว่าเขาจะเป็นพวกร้ายกาจบน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ เพียงแต่ในหมู่ยอดมกุฎสามสิบหกคนในปัจจุบัน เหมือนจะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติไปในทางเดียวกับคนผู้นี้เลย”
“หรือว่า… เขาอยู่เหนือยอดมกุฎ… เป็นไปไม่ได้! คนพวกนั้นแต่ละคนล้วนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกันได้ ด้วยฐานะของพวกเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาปรากฏตัวที่นี่!”
คราวนี้ซูชิงเหอไหวหวั่นแล้ว ชั่วพริบตา สายตาก็มีรังสีอสนีสาดซัด ในใจไม่สงบนัก
ก่อนหน้านี้ยามเขาฝ่าด่านที่แปด แม้จะสบายมาก แต่ก็ใช้ความสามารถระดับหนึ่ง จึงชักช้าไปบ้าง
เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมาดูสะดุดตาอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
แม้ตอนเริ่มจะต่างกันเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์กลับห่างกันไกล
เวลาที่ใช้ฝ่าชั้นที่แปดเหมือนจะต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างในนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
‘ไม่ว่าเขาเป็นใคร ก็ต้องดูว่าเขาจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่วไป๋ในตอนนั้นได้หรือไม่แล้ว’ เซียวชิงเหอสูดลมหายใจลึก ในส่วนลึกของจิตใจ เขาทั้งตั้งตาคอนและต่อต้าน
สำหรับผู้กล้ารุ่นเยาว์ในโลกแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เหมือนเงามืดชั้นหนึ่งที่กดทับเหนือเวิ้งฟ้า ความรู้สึกที่มีชีวิตอยู่ใต้เงามืดแค่คิดก็รู้ว่าน่าอึดอัดแค่ไหน
ถ้ามีคนสามารถทำลายสถิติที่เขาสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่า ตำนานของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นสิ่งที่ถูกทำลายลงได้!
แน่นอนว่าเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน…
แต่ในขณะเดียวกัน เซียวชิงเหอกลับไม่หวังให้สถิตินี้ถูกหลินสวินทำลายลง เหมือนกับถ้าเป็นเช่นนี้จะต้องก้มหัวลงต่อหน้าหลินสวิน
ความรู้สึกเช่นนี้ชอบกลนัก ทั้งยังย้อนแย้งมาก
ในเวลานั้นคนอื่นๆ ก็จ้องเขม็งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ จิตใจจดจ่อจนลืมหายใจ ดวงตาไม่กะพริบแม้สักครั้ง
ไม่เหมือนกันเซียวชิงเหอ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเคารพนับถืออวิ๋นชิ่งไป๋ยิ่งนัก ดังนั้นในใจจึงไม่ต้องการให้สถิตินี้ถูกผู้อื่นทำลายลง!
……
ชั้นที่เก้า
หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันในที่สุด
นักรบกระบี่ฝั่งตรงข้ามมีคลื่นจิตมรรคตลบอบอวลทั้งร่าง พลานุภาพราวดวงตะวันแรงกล้าบนเวิ้งนภา รังสีเปล่งประกาย เขายืนถือกระบี่ ดั่งมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอน
ผู้ฝึกปราณทั่วไปเมื่อเห็นดังนี้ เกรงว่ายังไม่ทันลงมือจิตวิญญาณก็ถูกทำให้หวาดผวา สูญเสียเจตจำนงต่อสู้
เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
สำหรับหลินสวิน กลิ่นอายของนักรบกระบี่ผู้นี้ เทียบเท่ากับบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างซุ่นไป๋เซวียน อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา
อวี่หลิงคงเคยถูกเขากำราบไปครั้งหนึ่ง ซุ่นไป๋เซวียนก็เคยเพลี่ยงพล้ำให้แก่เขาไปหนึ่งครั้ง แม้ไม่เคยประมือกับจี้ซิงเหยา แต่หลินสวินรู้ดีว่า แม้หญิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าสองคนนี้ ก็ไม่อาจเอาชนะตนได้!
นับประสาอะไรกับหลินสวินในตอนนี้ที่ไม่เหมือนแต่ก่อนนานแล้ว
เขาบรรลุระดับกระบวนแปรจุติขั้นปลาย พลังต่อสู้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้ยามได้เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ผู้นี้ แม้จะรู้สึกกดดันแต่กลับไม่มีทางข่มขวัญเขาได้
ชิ้ง!
พูดแล้วเหมือนช้าแต่ทุกอย่างรวดเร็วนัก นักรบกระบี่ยกกระบี่ขึ้นฟันลงมา
ชั่วพริบตาเหมือนอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาจากเหนือเก้าชั้นฟ้า ดุดันและอหังการ มีท่วงท่าสังหารจักรวาล
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ออกโจมตี มือกำหมัด พลังหมัดราวถล่มฟ้าสะเทือนดินพุ่งซัดออกมา ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันยุบลงไปอย่างอึกทึกครึกโครม
ผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้พิเศษยิ่ง ยามฝ่าด่านไม่สามารถยืมพลังจากสิ่งของภายนอก ทำได้เพียงอาศัยพลังที่แท้จริงภายในกายเข้าต่อสู้
หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋คงถูกทำลายไปนานแล้ว อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ครอบครองสมบัติอริยะ
ปึงๆๆ!
การต่อสู้ปะทุขึ้น เจตกระบี่กับพลังหมัดเข้าปะทะ เกิดเป็นคลื่นน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมา
นี่ยังโชคดีที่ในหอลองกระบี่แห่งนี้มีพลังผนึกป้องกันไว้ หากอยู่ในโลกภายนอก ผลลัพธ์นั้นย่อมไม่อาจคาดคิดได้
สวบ!
ปราณกระบี่แน่นขนัดเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว ปราณกระบี่ทุกสายล้วนดุดันและเปล่งประกายหาใดเทียบ พุ่งมาเยือนนับหมื่นนับพัน เพียงแค่ทัศนียภาพเช่นนี้ก็ทำให้ผู้อื่นหมดหวังได้
นี่เป็นถึงวิชากระบี่ชั้นยอดวิชาหนึ่ง!
หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ พลังผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้อัศจรรย์ดังคาด นักรบกระบี่ผู้นั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่กลับสามารถใช้วิชามรรค นี่ก็น่าตื่นตระลึงนัก
แต่น่าเสียดาย ยังไม่เท่าไรเหมือนเดิม!
หลินสวินยื่นมือออกไป รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอ่อนห้าสายเปล่งประกายเคลื่อนผ่านอากาศ พัดกวาดอยู่ในห้วงอากาศ ห่ากระบี่เต็มฟ้าระเบิดแหลกโครมคราม
ในขณะเดียวกันผมสีดำของเขาก็ปลิวสยาย ก้าวย่างออกมาแล้วพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
โครม!
ภายใต้การโจมตีของประทับปี้อั้นที่แฝงพลังแก่นมรรคแห่งธาตุน้ำ นักรบกระบี่ผู้นั้นก็ระเบิดออกดังลั่น
‘จบลงเท่านี้หรือ’ หลินสวินเลิกคิ้ว
กระทั่งตอนนี้ยังแลกกระบวนท่าไม่กี่ครั้งเท่านั้น ยังใช้พลังในกายเขาไปไม่ถึงห้าส่วน
ไม่ใช่!
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินก็หดรัดลง มองเห็นว่ามีผนึกปรากฏขึ้น รวมตัวเป็นเงาร่างนักรบกระบี่ผู้นั้นอีกครั้งเสียอย่างนั้น
เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พลังของนักรบกระบี่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
‘คลื่นมหามรรคขั้นแก่นมรรค…’ นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้ไม่ง่ายดายดังคาด!
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้นักรบกระบี่จะแข็งแกร่ง อีกทั้งมรรคกระบี่ที่สำแดงออกมาสามารถกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎในโลกได้ แต่สำหรับหลินสวินแล้ว พลังคุกคามยังไม่มากเหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าเท่านั้น นักรบกระบี่ก็ถูกหลินสวินทะลวงอกสะเทือนในหมัดเดียว
‘ยังดี เพิ่งผ่านไปเกือบหนึ่งในสามเค่อเท่านั้น…’ หลินสวินลอบถอนหายใจ
จากชั้นที่หนึ่งฝ่ามาถึงชั้นที่เก้า ตั้งแต่เริ่มจนจบเวลายังไม่ถึงเศษเสี้ยว มีเพียงในชั้นที่เก้าเท่านั้น ที่เสียเวลาไปมาก
แต่เทียบกับสถิติหนึ่งเค่อของอวิ๋นชิ่งไป๋นั้น ในแง่เวลาก็ลดลงไปมากกว่าสามเท่า
หืม?
แต่หลินสวินยังไม่ผ่านด่าน เขารับรู้ได้ว่าเงาร่างของนักรบกระบี่ผู้นั้นกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว…
นี่ทำให้สีหน้าหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นขึ้นไม่น้อย
ก่อนหน้านี้เขายังออกจะประหลาดใจ รู้สึกว่าแม้ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้จะวิปริต แต่ก็ไม่เท่าไร
แต่ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าตนคิดผิดแล้ว
นักรบกระบี่ผู้นี้ไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น!
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้น คราวนี้หลินสวินไม่ออมมือแต่อย่างใด ใช้พลังทั้งหมดที่มี เพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็ทำลายนักรบกระบี่ได้อย่างแข็งกร้าว
แต่ทันใดนั้นนักรบกระบี่ก็รวมตัวออกมาอีกครั้ง…
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
นักรบกระบี่ถูกสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่หลังจากถูกฆ่าทุกครั้ง พลังของอีกฝ่ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไป
ครั้งที่สิบหก
ครั้งที่สิบเจ็ด
……
เมื่อนักรบกระบี่ฟื้นคืนมาเป็นครั้งที่สิบแปด ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของเขา ก็ทรงพลังจนทำให้หลินสวินรู้สึกตระหนก
‘เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อแล้ว’
‘ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก ตอนลงมือครั้งแรกก็น่าจะใส่พลังทั้งหมดไปเลย ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาไปได้มาก…’
หลินสวินนิ่วหน้า เขาสูดหายใจลึก ยื่นมือออกไป รัศมีเทพรวมตัวแปรสภาพเป็นดาบหักเล่มหนึ่ง
สวบ!
เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหาใดเทียบแล้ว เขาไม่ออมมือแต่อย่างใด สำแดงกระบวนเฉือนนภาสงัด
ทันทีที่โจมตีออกไป กาลเวลาและห้วงอากาศเหมือนตกสู่ความเงียบงันถึงที่สุด ไม่มีเสียงอีกแม้สักนิด มีเพียงคมดาบเดียว คล้ายแทงทะลุกาลเวลาและอากาศออกมา
ฟุ่บ!
เพียงการโจมตีเดียว นักรบกระบี่ก็ถูกฆ่า!
ดูเหมือนง่ายดาย แต่กลับเป็นการโจมตีที่หลินสวินใส่พลังทั้งหมดลงไป ใช้พลังของเขาไปเกือบสองส่วน!
เคร้ง!
ในเวลาเดียวกัน มีเสียงระฆังดังขึ้นที่หอลองกระบี่
ภาพตรงหน้าพร่ามัว หลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเพียงแผ่นหยกขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งตั้งอยู่
บนแผ่นหยกประทับชื่อสีทองอร่ามชื่อแล้วชื่อเล่า
เหนือสุดเขียนตัวอักษรอวิ๋นชิ่งไป๋ไว้ แต่ละตัวดุดันถึงที่สุด แสงส่องประกายปะทุออกมาราวกระบี่เทพไร้เทียมทาน
เพียงมองไปก็รู้สึกแสบตา ราวจิตวิญญาณถูกสะบั้น
‘ชื่อเหล่านี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยผ่านด่านชั้นที่เก้านี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเหลือทิ้งไว้’ หลินสวินตระหนักได้ในใจ
จากนั้นเขาก็เห็นว่าพื้นผิวของแผ่นหยกพลิกตลบระลอกหนึ่ง ยามคืนสู่สภาพเดิม ชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ปรากฏขึ้นที่ตำแหน่งอันดับสองแล้ว
ตำแหน่งอันดับหนึ่งกลับว่างเปล่า
ในขณะเดียวกัน คลื่นผนึกระลอกหนึ่งก็ผุดขึ้น รวมตัวกันเป็นพู่กันเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน
ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก!
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงผู้ที่ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ได้ภายในหนึ่งก้านธูป ถึงสามารถทิ้งชื่อของตนไว้บนป้ายหินนี้
นี่เป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่ง
หากแพร่งพรายออกไป จะต้องทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเคารพนับถือ
——