ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก เป็นเกียรติยศสูงสุดครั้งหนึ่ง
ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถนำชื่อไปอยู่บนนั้นได้ ล้วนสามารถดังขึ้นทันตาเห็น กลายเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน
สิ่งนี้มีผลดีเหลือคณนาต่อการเพิ่มพูนชื่อเสียงของตัวเอง
บางครั้งชื่อเสียงก็หมายถึงการยอมรับและอำนาจอย่างหนึ่ง อีกทั้งตั้งแต่โบราณก็มีคำกล่าวว่า ผู้ที่ยิ่งมีชื่อเสียงมาก โชควาสนาที่จะได้รับก็ยิ่งมาก
แต่หลินสวินเพียงแค่ชำเลืองมองพู่กันที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าตนนั้นแล้วหันกายจากไป เดินออกไปตามอำเภอใจและสุขุมเยือกเย็น
ที่เขามาครั้งนี้เพื่อชิงชัยกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน ใช้สิ่งนี้สันนิษฐานความแตกต่างระหว่างตนกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบปีให้หลัง
สำหรับการทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ
……
กระบวนผนึกของชั้นที่เก้าดับไป ทำให้โลกภายนอกเงียบเชียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศชวนตื่นตะลึงไร้รูปเข้าปกคลุมทั้งที่นั้นพร้อมกัน
ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเบิกตากว้าง มองนิ่งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่นั้น สีหน้าเหม่อลอย จิตวิญญาณสั่นสะท้าน
เซียวชิงเหอก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ในดวงตามีรังสีประหลาดน่าหวั่นกลัวหาใดเทียบสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมา ภายในใจของเขาก็มีคลื่นกระหน่ำซัดสาดขึ้นเช่นกัน
ครึ่งเค่อ!
ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แล้ว!
แต่เมื่อสิบปีก่อน สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่นี่ก่อนปิดด่านก็คือหนึ่งเค่อ!
นี่ก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เพียงทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น อีกทั้งในแง่เวลาผ่านด่านทั้งหมดยังลดลงไปครึ่งหนึ่ง!
ผลลัพธ์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย มีแรงสั่นสะเทือนที่สามารถพลิกคว่ำการรับรู้ได้
ในนครหยกขาว กระทั่งทั้งดินแดนรกร้างโบราณ อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเหมือนตำนานไร้พ่ายผู้หนึ่ง เขาเมื่อสิบปีก่อนสามารถใช้คำว่า ‘โดดเด่นเหนือหล้า เบ่งบานเหนือใคร’ มาบรรยายได้แล้ว!
หลายปีนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้กล้าหมายจะทำลายตำนานที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นกับมือ แต่ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นสักคน ต่างคว้าน้ำเหลวกันหมด
อย่างเซียวชิงเหอก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ล้มเหลว
และผู้แข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมและสะดุดตายิ่งกว่าเขาก็มี แต่ก็เพลี่ยงพล้ำในชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้เช่นกัน!
ทว่าในวันนี้เอง สถิตินี้ถูกทำลายลงแล้ว!
เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปจะต้องทำให้ทั้งนครหยกขาวตกอยู่ในความอึกทึกครึกโครม และทำให้ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าหันมองเพราะสิ่งนี้
เขาเป็นใคร
นี่เป็นสิ่งที่พวกเซียวชิงเหอสนใจที่สุด
แม้ที่ทำลายจะเป็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่นี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งและโดดเด่นเพียงไหน!
เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากหอลองกระบี่ท่ามกลางความเงียบงัน
สายตาที่มองมาทุกคู่ล้วนเจือไปด้วยความยำเกรงจากภายในใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้ นี่เป็นท่าทีที่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงผู้หนึ่งสมควรได้ดื่มด่ำ
รวมถึงเซียวชิงเหอ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึม
เขามาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นคนในขอบเขตมกุฎที่โดดเด่นสะดุดตาผู้หนึ่งเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากหอลองกระบี่ผู้นั้น ตนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่งอยู่ดี จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้
“ขอถามว่าคุณชายมีนามว่ากระไร” เมื่อหลินสวินเดินออกมา ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็ทำใจกล้า อดไม่ได้ต้องเข้าไปถามอย่างนอบน้อม
“คุณชาย ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านมาจากสำนักหรือพรรคใด”
ทันใดนั้นเสียงอื้ออึงต่างๆ ดังขึ้น พวกเขาต่างสงสัยยิ่ง เด็กหนุ่มที่เหมือนอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
แต่หลินสวินไม่พูดสักคำ ไม่นานก็หายไป ไม่ใช่เพราะหยิ่งทระนงเกินไป เพิกเฉยทุกคน แต่เพราะมีเรื่องที่ต้องการปกปิด
ที่นี่คือนครหยกขาว เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เขาก็ไม่อาจเปิดเผยฐานะของตัวเองได้ในตอนนี้
“เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่มีใครกล้าไม่พอใจหรือบ่นออกมา หยิ่งทระนงแล้วอย่างไร ไม่เห็นผู้ใดในสายตาแล้วอย่างไร
คนเขามีพลังเช่นนี้!
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อไม่สมตัวผู้หนึ่งกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ เกรงว่าต้องถูกทับถมด้วยคำต่อว่าต่อขานแน่
“เขาทั้งฝ่าผ่านด่านได้สำเร็จและทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วย บนแผ่นหยกฝ่าด่านของหอลองกระบี่จะต้องทิ้งชื่อเขาไว้แน่!”
“ผู้อาวุโส ขอให้พวกข้าดูสักครั้งหนึ่งเถอะ” ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมองไปที่ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ สีหน้าเจือไปด้วยความวิงวอน
เซียวชิงเหอก็เอ่ยปากขอร้องด้วย
ชายชรารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกรู้เข้า ดังนั้นแม้เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับปาก
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง
บนอันดับหนึ่งของแผ่นหยก ว่างเปล่าไร้ชื่อ!
“ข้าต้องสืบให้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร!” เซียวชิงเหอถูกกระตุ้นความสงสัยอย่างแรงกล้า หันกายแล้วจากไปอย่างรีบร้อน
……
‘ที่ข้ากับเจ้าต่างกันมีเพียงเวลา!’
บนถนนอันพลุกพล่าน หลินสวินมุ่งหน้า ในใจกำลังครุ่นคิด
สิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติโลดแล่นในดินแดนรกร้างโบราณ ปลิดชีพราชันกึ่งระดับไปร้อยกว่าคน ตั้งแต่ตอนนั้นก็มีฉายา ‘อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน’
และในตอนนั้น เขาสร้างสถิติตระการตาที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันในหอลองกระบี่ กระทั่งก่อนวันนี้ยังไม่เคยถูกทำลาย
วันนี้ในอีกสิบปี หลินสวินทำลายสถิตินี้ ทั้งยังใช้เวลาผ่านด่านน้อยกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ถึงครึ่งหนึ่ง
นี่พิสูจน์ว่าหลินสวินในวันนี้มีพลังต่อสู้เหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
ที่ควรรู้คือ ตอนสร้างสถิตินี้เมื่อสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อายุสามสิบปีแล้ว
แต่วันนี้ในสิบปีต่อมา ตอนทำลายสถิตินี้ หลินสวินอายุยี่สิบปี
ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุหรือพลังต่อสู้ หลินสวินล้วนเหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น!
‘ปิดด่านสิบปี เบื้องหลังพลังที่สะสมมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้มากที่สุด…’ หลินสวินไม่มีความคิดดูเบา
สถิติที่ทำลายไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
แต่ตอนนี้ผ่านมาราวสิบปีแล้ว พลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋จะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนอีก
หลินสวินยังจำได้ อวิ๋นชิ่งไป๋ได้พูดไว้ก่อนปิดด่านว่า ‘วิถีกระบี่แห่งข้า ยามเสาะหาหนทางหลุดพ้นถึงขีดสุดจะกำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์ แต่ตอนนี้โอกาสยังไม่เหมาะ!’
วาจาเช่นนี้มีความกล้าที่สามารถทำให้ผู้คนในโลกหน้าเปลี่ยนสีได้ ถ้าไม่ใช่ผู้อยู่ในขอบเขตมกุฎ ย่อมไม่กล้าพูดจาลำพองเช่นนี้
หลายคนในโลกต่างกำลังคาดเดาว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะหลอมมรรคกลายเป็นราชันได้ตอนไหนกันแน่
แต่หลินสวินกลับพอจะเดาออกว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ปิดด่านสิบปีมานี้ ย่อมไม่ต้องการบรรลุระดับราชัน แต่กำลังสั่งสมพลัง พัฒนาตัวเอง เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์เพื่อรอโอกาสครั้งหนึ่ง
โอกาสอะไร
ง่ายมาก เมื่อมหายุคมาเยือน โอกาสได้กลายเป็น ‘มกุฎราชัน’ จึงจะอุบัติขึ้น!
มีเพียงทำเช่นนี้ถึงทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ทำความปรารถนา ‘กำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์’ ให้เป็นจริง!
‘ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ต่อให้สะสมและหล่อหลอมอีกสิบปี สุดท้ายในแง่พลังปราณก็พัฒนาไม่ได้อีก’
‘เขาต้องการชิงชัยในมหายุค ต้องเคี่ยวกรำพลังยุทธ์ พลังจิตวิญญาณ พลังสภาวะจิต และพลังมหามรรค… จนถึงขั้นสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะสามารถกำราบศัตรูในระดับเดียวกันบนโลก ณ ปัจจุบันต่อไปได้เหมือนแต่ก่อน!’
แม้หลินสวินไม่เคยพบอวิ๋นชิ่งไป๋มาก่อน แต่กลับสามารถอนุมานได้ว่าหลายปีนี้เขาทำอะไรอยู่
เพราะกลับไปพิจารณาถึงรากฐาน เขากับอวิ๋นชิ่งไป๋มีจุดที่เหมือนกันมากมาย กำลังไล่ตามมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน กำลังเสาะหาพลังเหนือปุถุชนถึงที่สุด สามารถช่วงชิงความเป็นหนึ่งเหนือมหามรรคกับเหล่าอริยบุคคลทั้งอดีตและปัจจุบัน!
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็อาจจะอยู่ที่ บนมรรคานี้ อวิ๋นชิ่งไป๋ล่วงหน้าเขาไปหลายปี!
เวลา ก็คือเบื้องหลัง!
สามารถทำให้ทะเลกว้างเปลี่ยนเป็นผืนดิน ทำให้หญิงงามแปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก และสามารถทำให้บุคคลแห่งยุคในปัจจุบันอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แปรสภาพอย่างน่าตกตะลึง
‘เวลา!’ หลินสวินลอบกำหมัดแน่น
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นหน้าหอหินเก่าแก่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนหลังหนึ่ง
หอนี้สูงร้อยฉื่อ มีนามว่า ‘เกลาจิต’
เช่นเดียวกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตก็ถือเป็นหนึ่งใน ‘สิบสองหอห้าเมือง’ ภายในมีแดนลับเกลาจิตด่านหนึ่ง
แดนลับเกลาจิตจะสร้างการเคี่ยวกรำและทดสอบที่ต่างกันไปตามผู้ฝึกปราณที่มีพลังปราณต่างๆ กัน
พูดง่ายๆ ก็คือ หอนี้ สิ่งที่ขัดเกลาก็คือสภาวะจิตแห่งการฝึกปราณ
ไม่เหมือนกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตถือเป็นสถานที่ฝึกจิต ไม่ใช่ใครก็มีคุณสมบัติเข้าไปได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าคุณสมบัติในการเข้าสู่หอเกลาจิตก็ไม่ได้ธรรมดา ผู้ที่ไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น
แกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น สิ่งนี้สำหรับผู้ฝึกปราณแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย!
ดังนั้นแม้หอเกลาจิตนี้จะมีชื่อเสียงยิ่ง แต่ในยามปกติกลับมีผู้ฝึกปราณมารับการทดสอบเกลาจิตน้อยนัก
แต่หลินสวินไม่สนใจ เขามาที่นี่เพราะต้องการดูเสียหน่อย ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนมีพลังสภาวะจิตที่แกร่งกล้าปานใด
ตอนนี้หน้าหอเกลาจิตก็เงียบเหงาเช่นกัน มีเพียงผู้ฝึกปราณประปราย แต่ล้วนเป็นนักเดินทาง กำลังทัศนาความสง่างามของหอเกลาจิต
ซ่า!
สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้นก็แปรสภาพเป็นกระแสน้ำหลาก ไหลเข้าไปในปากของรูปปั้นสัตว์เทพผีซิวที่อยู่หน้าหอเกลาจิตตัวหนึ่ง
ครู่ต่อมาประตูหินที่ปิดสนิทของหอเกลาจิตก็เปิดออกช้าๆ ท่ามกลางคลื่นประหลาดระลอกหนึ่ง
หลินสวินไม่ร่ำไร เงาร่างวูบไหวก่อนหายเข้าไปภายใน
“เจ้าหมอนี่ถึงกับเข้าไปในหอเกลาจิต!”
เงาร่างของเซียวชิงเหอปรากฏขึ้น จ้องมองหลินสวินที่หายลับไปในหอเกลาจิต ในใจอดไม่อยู่คาดเดาขึ้นมาอย่างใจกล้า ‘หรือว่า เขายังคิดจะไปทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนในด้านพลังสภาวะจิตอีก’
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่มีสาเหตุ ร้ายกาจ! และไม่รู้ด้วยว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่…
การทดสอบในแดนลับเกลาจิต เพ่งเป้าที่พลังสภาวะจิต
อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นอาศัยสภาวะจิตที่แข็งกล้าของตน ทะลวงด่านทดสอบสิบแปดชั้นของหอเกลาจิต สร้างสถิติขึ้นมาใหม่ เหนือล้ำยิ่งกว่าอดีตและปัจจุบันเช่นกัน!
สภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งแน่วแน่กับการเสาะหามหามรรค ก็ยิ่งไม่ถูกของนอกกายยั่วยวนได้ง่าย ดูเหมือนพลังคลุมเครือและลี้ลับอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคิดจะครอบครองความสำเร็จยิ่งใหญ่บนวิถีแห่งมหามรรค สภาวะจิตมั่นคงหรือไม่นั้นมีประโยชน์สำคัญยิ่ง
เซียวชิงเหอมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ในสำนักที่เขาอยู่มีจดหมายอริยะมากมาย ในนั้นที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ สภาวะจิตเป็นตัวกำหนดความสำเร็จสูงต่ำในอริยมรรคอย่างยิ่ง!
“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ขอเพียงมีผู้ที่ผ่านด่านแดนลับเกลาจิต จะเกิดเสียงระฆังมรรคขับขานจิต ยามผ่านการเคี่ยวกรำหกด่าน ระฆังมรรคขับขานจิตถึงจะดังขึ้นครั้งหนึ่ง ยามฝ่าได้สิบสองด่าน จะดังขึ้นสองครั้ง…”
“จากจุดนี้ ยิ่งระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นมากครั้งเท่าไร ก็หมายถึงพลังสภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น”
“เสียงระฆังนี้ไม่ธรรมดา หากได้ยินได้ฟังจะมีประโยชน์ในการ ‘ชำระล้างจิตมรรค ขัดเกลาจิตวิญญาณ!’”
ใกล้กันนักเดินทางคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องหอเกลาจิตจนน้ำลายแตกฟอง ดึงดูดให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยมารับฟัง
“อัศจรรย์ปานนี้จริงหรือ” มีคนสงสัย
แกร๊ง!
ก็ในตอนนี้เอง เสียงระฆังราวระฆังกลองบอกโมงยามดังขึ้นครั้งหนึ่ง กระจายออกมาจากในหอเกลาจิต
——