อิสระ หมายถึงทางกายภาพ
เสรี หมายถึงทางจิตวิญญาณ
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสภาพของตนยามนี้ แม้ยังไม่ถึงระดับรู้แจ้งเต๋าของตนเอง แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว การมียิ้มประดับบนใบหน้านั้น เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีมาก และพอใจกับมันอย่างยิ่ง
ดังนั้นระหว่างที่กำลังคลี่ยิ้ม หวังเป่าเล่อเดินผ่านร่องรอยที่ถูกถมทับในแม่น้ำแห่งความมืดไปเรื่อยๆ ร่องรอยพวกนี้ล้วนมีลักษณะไม่เหมือนกัน และมาจากโลกอันแตกต่างที่หวังเป่าเล่อเคยได้สัมผัสในชาติก่อนๆ
ในบรรดานี้มีจำนวนไม่น้อยเป็นวิญญาณดุร้าย เหล่าวิญญาณพวกนี้แตกต่างจากวิญญาณพวกที่ลอยไปลอยมาเหนือน่านน้ำ พวกมันโหดร้าย ทว่า ขณะเดียวกันก็มีความคิดเรียบง่ายประการหนึ่ง
พวกมันรู้จักถึงขั้นไปกินวิญญาณวายชนม์คนอื่น เพื่อนำมาเป็นอาหารบำรุงเพาะเลี้ยงร่างตัวเอง สิ่งนี้ก็เพื่อให้ร่างของพวกมันยังคงสภาพอยู่ได้ อีกทั้ง…ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว นอกจากเพื่อแสวงหาอาหาร พวกมันจะไม่ยอมจากตำแหน่งซากของตัวเองเด็ดขาด สำหรับพวกดวงวิญญาณที่ย่ำกรายยังอาณาเขตของพวกมันนั้น พวกมันก็มีทีท่าว่าจะตอบโต้อย่างรุนแรง
โดยเฉพาะกับปราณบนร่างของหวังเป่าเล่อ ราวกับตัวปราณมีพลังล่อลวงเหล่าวิญญาณเหี้ยมโหดพวกนี้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินไปที่ใด ล้วนแต่กระตุ้นให้เหล่าวิญญาณเหี้ยมพวกนี้เกิดความละโมบ อีกทั้งสัญชาตญาณโดยพื้นฐานที่พวกมันมีอยู่ก็ทำให้พวกมันไร้ความนึกคิด เมื่อเป็นแบบนี้…ฉากฆ่าฟันแต่ละฉากจึงบังเกิดขึ้นตลอดระยะทางก้นบึ้งแม่น้ำ หวังเป่าเล่อใบหน้าฉายรอยยิ้มตลอดทาง ตัวเขายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร เสียงดังลั่นพวกนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น
ในตอนแรกพื้นที่แม่น้ำแห่งความมืดที่ถูกเขาเสาะพบนั้น ไม่ใช่ก้นแม่น้ำที่แท้จริง แต่ก็กล่าวได้ว่าเป็นส่วนที่ใกล้กับก้นบึ้ง ซากทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในชั้น เขตที่ลอยขึ้นเหนือพื้นผิวน้ำ ดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นช่วงเวลาของเผ่าเทพ
มองเห็นรูปสลักแหว่งวิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน มองเห็นตำหนักหลวงขนาดยักษ์ที่พังพินาศ ส่วนภายในนั้นวิญญาณดุร้ายทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ของเผ่าเทพทั้งสิ้น
สิ่งนี้พาให้หวังเป่าเล่อหวนนึกถึง และในขณะเดียวกันเขาก็ยังก้าวเท้าไปไม่หยุด ยิ่งสังหารมากเท่าไร รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเสมือนจริงมากขึ้น ทุกดวงวิญญาณที่ตายดับ ได้มอบกลิ่นอายความตายให้แก่เขา ทำให้จิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อเข้าใกล้ระดับจักรพิภพมากขึ้นทุกที ทำให้พลังฝึกปรือของเขานั้นค่อยๆ เคลื่อนจากระดับดารานิรันดร์ตอนปลายเข้าใกล้ระดับสมบูรณ์
วิชาผนึกดาราของเขา เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเก่า แม้ว่าเงาร่างเทพวัวจะไม่ปรากฏ แต่อาศัยแค่ตาเนื้อมองดูก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาอย่างเข้มข้นจากร่าง
กระแสเต๋านี้ เพียงพอที่จะเอาชนะระดับจักรพิภพทั่วไปได้แล้ว!
แล้วยังมีดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวงในแผนที่ดารา ยามนี้พวกมันหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีถึงเจ็ดส่วน…ที่กลายเป็นดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์เหล่านี้สาดคลื่นอันรุนแรงออกมา ทำให้ทั้งร่างของหวังเป่าเล่อเวลานี้ ท่วงท่าดูดุดันยิ่งนัก
ทว่า ส่วนที่เหลืออีกสามส่วนเองก็อยู่ในระหว่างพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!
ในส่วนของตัวหวังเป่าเล่อ ระดับความเร็วของเงาร่างปราดเปรียวว่องไวขึ้น ในพริบตาที่เขาทะยานไปข้างหน้าแล้วเห็นซากร่องรอยนั้น ร่างกายก็กระโจนเข้าสู่ข้างในทันที จิตวิญญาณเทพแผ่ซ่านกวาดล้าง สยบเหล่าวิญญาณดุร้ายในเวลาเดียวกันก็แอบสำรวจไปด้วยว่ามีแผ่นเลื่อนระดับโลกาอยู่หรือไม่
หลังจากที่เคลื่อนดวงวิญญาณเทพ ร่างเนื้อของเขาก็จากไป ส่วนวิญญาณดุร้ายที่ถูกกระแสจิตเทพของเขากำราบนั้นก็สลายในทันที
แต่ไม่ใช่ว่าทุกดวงวิญญาณร้ายจะถูกจิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อสยบ ยามที่เขาค้นหาไปกว่าครึ่งของเผ่าเทพในแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว หวังเป่าเล่อก็พบเข้ากับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่า
ตอนนี้ หวังเป่าเล่อยังคงยกยิ้มดุจเก่า เพราะว่าร่างเนื้อของเขาทำให้ทุกส่วนในร่างกายเปรียบดั่งอาวุธเทพอันเฉียบคม
ไม่ว่าจะไปทิศทางใด การสังหารก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อใช้เวลาสำรวจอาณาเขตของเผ่าเทพแล้วก็ยิ่งเข้าใกล้ชั้นก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ จมสู่ชาติก่อนหน้า ซากแห่งโลกที่ซากศพนั้นเป็นผู้ปกครอง
ในที่แห่งนี้ จิตวิญญาณเทพอันสมบูรณ์ของเขาและสภาพร่างนั้นแตกต่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยไม่สบายตัวอยู่บ้าง หลังจากเปลวไฟสีดำถูกจุดโชติช่วง ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับด้านนอกมากนัก การฆ่าฟันรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ชั่วเสียงคำรามถัดมา หวังเป่าเล่อคว้าลำคอของผีดิบร่างผุเน่าตัวหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีเขาทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม เขาใช้แรงบีบจนเกิดเสียงพลั่กดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้ร่างของผีดิบนั้นวิญญาณแตกซ่าน จากนั้นจึงเดินหน้าไปต่อตามปกติ
กระทั่งเนิ่นนานให้หลัง เสียงฝีเท้าของเขา…จึงชะงักลงเป็นครั้งแรก
เพราะว่าเบื้องหน้านั้น หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่าง ร่องรอยนี้คือความทรงจำในชาติก่อน เขาในยามนั้น กำลังนั่งอยู่เพื่อไขว่คว้าหาแสงสว่าง
“บังเอิญเพียงนี้เชียว…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้า เขาส่งจิตวิญญาณเทพไปกวาดมอง แล้วหันหลังจากไป แต่ว่าในตอนที่กำลังจะจากไปนี้เอง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ
รูปร่างของผีดิบตนนี้ แม้จะไม่เหมือนกับหวังเป่าเล่อ แต่ในพริบตาที่เขามองมัน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นเคยทันที กระทั่งว่ามีความรู้สึกหนึ่ง ราวกับเขากำลังมองดูตัวเอง
ดังนั้นรอยยิ้มของเขาจึงยิ่งแจ่มชัด หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามอง ทะลุแม่น้ำแห่งความมืดออกไป จนกระทั่งมองเห็นด้านนอกของแม่น้ำแล้ว เขาก็เผยยิ้มกว้าง
“ห้ามตรวจสอบ ห้ามหยุดยั้ง ห้ามกักกัน และห้ามรบกวน!”
เกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา ผีดิบตนที่กำลังพุ่งตัวมาหาเขา ร่างกายพลันสะท้าน ราวกับถูกควบรวมพลังไม่ปาน มันคงสภาพค้างอยู่ในท่าที่พุ่งเข้ามานั้นและไม่ขยับกายอีก
ว่าไปแล้ว แม้กระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดรอบด้านก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับตัวแม่น้ำไม่มีสิทธิ์จะเคลื่อนไหวอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้พลันหยุดนิ่ง มีเพียงรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงเป็นจริง
ชั่วอึดใจให้หลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำพลันดังขึ้น สะท้อนไปรอบกายหวังเป่าเล่อ
“ต้องการให้ข้าช่วยเจ้า หาแผ่นยกระดับโลกาหรือไม่?”
“เยี่ยม” หวังเป่าเล่อยังคงไม่เปลี่ยนรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวตอบ
พริบตานั้น ทั้งแม่น้ำแห่งความมืดเกิดพลิกหมุน ขุมพลังคลื่นส่งแรงกระแทกมาจากก้นบึ้งของแม่น้ำ แล้วยังมีเสียงคำรามแฝงมาด้วยเป็นระลอก มีแสงรำไรแสงหนึ่งแล่นขึ้นมาจากก้นแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว มันพุ่งผ่านทุกสิ่งแล้วมายังเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อทันที
นั่นก็คือจานหลัวผานชิ้นหนึ่ง
มุมหนึ่งของมันบิ่น มองไปแล้วคล้ายว่าจะขาดแหว่งอยู่บ้าง ตัวจานดูไปไม่มีอะไรวิเศษ กระทั่งว่าเขาลองหลังใช้ประสาทสัมผัสดูแล้วก็เท่านั้น แต่พอลองใช้เปลวไฟสีดำหลอมเข้าสู่ดวงตา จึงเห็นว่า…บนจานแผ่นนี้มีประกายพลังชีวิตขุมหนึ่งที่ยากจะอธิบายปรากฏขึ้น เส้นชีพจรไม่มีผลกระทบใหญ่หลวงใดต่อสรรพสิ่ง ทว่ากลับมีผลกระทบยิ่งยวดต่อดาวเคราะห์
“ขอบคุณ” หวังเป่าเล่อยิ้มพลางก้มหน้า หยิบเอาจานหลัวผานเบื้องหน้าของตนมา แล้วลองหลอมเข้ากับแผนที่ดาราจักร แม้ว่าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลในการยกระดับดาวเคราะห์อย่างที่เขาคิด
นี่แสดงให้เห็นว่าประโยชน์ของจานนี้ไม่ได้มีผลอะไรต่อพลังฝึกตน แม้จะมีค่าอย่างมาก แต่หากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ตัวจานคงมีค่าเพียงแค่การยกระดับอารยธรรมเท่านั้น
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มองมันอีก แต่เก็บมันเข้าในกระเป๋าคลังเก็บ แล้วขยับร่างกายดำดิ่ง ยังคงไม่จากไป…
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เสียงนั้นไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ ทว่าคล้ายกับมีกระแสดวงจิตเทพค่อยๆ ถูกดึงกลับจากบริเวณโดยรอบอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งหายวับไป หลังจากนั้นร่องรอยที่ทำให้หวังเป่าเล่อชะงักก็กลายเป็นความว่างเปล่า ส่วนผีดิบที่ดูสงบนิ่งตนนั้น ยามนี้กลายเป็นเงาร่างค่อยๆ พร่าเลือน
แม้ว่าจะได้รับแผ่นยกระดับโลกามาแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงดำดิ่งลงในแม่น้ำแห่งความมืด หลังจากสำรวจดูร่องรอยของโลกผีดิบแล้วนั้น เขาก็ไปยังโลกร่องรอยของดาบมาร หลังจากนั้นก็ไปยังดินแดนแห่งความแค้น กระทั่งสุดท้ายไปดูร่องรอยของโลกกวางขาวตัวน้อย
เมื่อมาถึงที่นี่ ก็นับว่าอยู่สุดก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว สามารถมองเห็นโคลนเลนจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องการเสาะหาอีก พลังของเปลวไฟสีดำที่เขามีนั้นถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน
การเดินทางมาหนนี้ จิตวิญญาณเทพของเขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ระยะห่างจากการยกระดับนั้นเหลือเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อสะกดเอาไว้ เขาไม่ต้องการให้ตนเองยกระดับจิตวิญญาณเป็นจักรพิภพภายในแม่น้ำแห่งความมืดนี้
ในส่วนพลังฝึกปรือของเขาเองก็ยกระดับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ดาวเคราะห์พิเศษกว่าเก้าส่วนตอนนี้ได้กลายเป็นดารานิรันดร์ ส่วนแผนที่ดวงดาวก็ส่องสว่างโชติช่วง พลังฝึกปรือก็ถึงระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์แล้ว
เมื่อถึงเวลานี้ ไอมรณะในแม่น้ำก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นกฎเกณฑ์หรือกฎของจักรพิภพคนเป็นเท่านั้น ถึงจะค่อยหลอมรวมได้
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” หวังเป่าเล่อยังคงยิ้มเหมือนเก่า เขาหันกายไปพร้อมรอยยิ้มนี้ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว…มุ่งหน้าไปทางผิวน้ำของแม่น้ำแห่งความตาย ยิ่งมาก็ยิ่งทวีความเร็วขึ้นจนกระทั่งทั้งร่างกลายเป็นเหมือนสายรุ้งโผล่พ้นผิวน้ำ ก้าวออกจากแม่น้ำสายนี้
หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ผู้ใดเปิดเส้นทางไปสู่โลกคนเป็น และโดยที่ไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่น้อย ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาพลันส่องแสงเรืองรอง ปราณกระบี่ขุมหนึ่งควบเป็นลำแสงอยู่ในฝ่ามือ ยามที่หวังเป่าเล่อยกมันขึ้นฟันนั้น ทั้งนพภูมิสั่นสะท้าน อากาศกว้างสะเทือน รอยแยกเส้นหนึ่งพลันถูกหวังเป่าเล่อผ่าเปิดออก เขาก้าวไปข้างหน้าเข้าสู่รอยแยกนั้นแล้วหายตัวไป
ตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการ ใบหน้าของเขาเกลื่อนรอยยิ้มตลอดเวลา
………………………