บทที่ 1189 หวนคืน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

พายุฝนตั้งเค้า

หลังจากการมาของเต๋าสวรรค์แห่งความมืด แล้วตามด้วยการสถาปนากฎขึ้นใหม่ ประกาศใช้กฎนิรันดร์นี้อีกครั้ง ทำให้แทบทุกผู้คนในอาณาจักรไม่รู้สิ้นต้องตกอยู่ในอันตราย

ถึงกับว่ามีอารยธรรมเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เริ่มเปิดใช้งานวงแหวนปราณที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำการปิดกั้นระบบดาราจักรของตน วางแผนหลีกเร้นจากความวุ่นวายในยามนี้ ส่วนอารยธรรมระดับกลางจำนวนมากนั้น แต่ละที่ล้วนคิดเห็นแตกต่างกันไป

มีบางที่เลือกจะปิดตัว แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยบางส่วน…เลือกบุกเข้าสู่ภายนอก เริ่มทำสงครามกับเหล่าอารยธรรมระดับเล็กอื่นๆ

มหาเคราะห์ที่กำลังจะมาถึง ทำให้ในยามนี้ ด้านหนึ่งพวกเขาจำเป็นต้องป้องกันตนเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือต้องแย่งชิงทรัพยากร สิ่งเหล่านี้คือวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งเหล่าอารยธรรมได้ตัดสินใจกระทำ หวังข้ามผ่านคราวเคราะห์ครั้งนี้

เพราะว่า…มีเพียงการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นและมีทรัพยากรที่มากเพียงพอเท่านั้น จึงจะเป็นการป้องกันตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ยากจะทราบว่าสุดท้ายแล้ว การต่อสู้ระหว่างอาณาจักรไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืด ฝั่งใดจะกำชัย

อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่ขุมพลังทั้งสองนี้ประจันหน้า ผู้ที่มีสิทธิ์ออกเสียงอันแน่นอนระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้เฝ้าชม

บริเวณใจกลางของอาณาจักรไม่รู้สิ้นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกันกับสำนักเสริมจักรพิภพ และกระทั่งในสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็ด้วย

โดยเฉพาะฝ่ายหลัง เพราะก่อนหน้าที่เฉินชิงจื่อจะหลอมรวมเต๋าสวรรค์ สำนักแห่งความมืดก็มีการเคลื่อนไหวกันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีขุมกำลังลับจำนวนไม่น้อยของสำนักแห่งความมืดวางแผนจะสร้างความวุ่นวายที่นี่ให้มากกว่าเก่า

ส่วนระบบสุริยะของสหพันธรัฐนั้น ในสายตาของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายไม่ถือว่ามีความสำคัญ ต่อให้เทียบในระดับอารยธรรมขนาดเล็กระบบสุริยะก็นับเป็นอารยธรรมขนาดกลางเท่านั้น ทว่าต่อให้ตำแหน่งที่ตั้งของระบบจะอยู่ห่างไกลเพียงใด แต่ก็ยากจะรอดพ้นจากการถูกจับตามองจากอารยธรรมโดยรอบได้

เพียงแค่ว่าเพราะมีกระบี่สำริดเล่มนี้อยู่ อีกทั้งชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อได้ขจรขจายไปแล้ว เมื่อรวมเข้ากับกระแสพลังองอาจที่ปรมาจารย์แห่งไฟแผ่คุ้มครองสถานที่นี้ไว้ ทำให้เหล่าอารยธรรมผู้ประสงค์ร้ายรอบด้านต้องระงับความปรารถนา

ก็เป็นเช่นนี้เอง สหพันธรัฐจึงนับว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยท่ามกลางความโกลาหลนี้

ส่วนสภาพแวดล้อมการฝึกตนในสหพันธรัฐนี้ เวลานี้สภาพยิ่งมีความเหมาะสมแก่การฝึกมากขึ้น เพราะอารยธรรมได้ยกระดับหลังจากควบรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว สิ่งนี้ทำให้เหล่าประชากรของสหพันธรัฐไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือประชาชนทั่วไปล้วนมีความแข็งแกร่งขึ้นอีกจำนวนหลายระดับ

ในวันนี้…ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณนั้นไม่นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว อย่างน้อยต้องเป็นระดับเชื่อมวิญญาณถึงจะถือว่ามีระดับสูงประมาณหนึ่ง

ในส่วนของผู้แข็งแกร่ง…ก็จะเป็นผู้ที่เข้าสู่ระดับจิตวิญญาณอมตะ อาทิเช่น เจ้านครดาวอังคาร ระดับฝึกตนของเขานั้นทะลุขั้นมาหลายปีแล้ว บัดนี้ย่อมอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ส่วนผู้เฒ่าที่อยู่ในสำนักเต๋าอันห่างไกลนั้นย่อมเป็นระดับดาวพระเคราะห์เช่นกัน ในเมื่อฝ่ายเขามีทรัพยากรและคุณสมบัติพรั่งพร้อม ยามนี้จึงก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแล้วเช่นเดียวกับจ้าวเยวี่ยเหมิง

นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปยังมีอีกหลายคน ผู้หนึ่งคืออดีตเจ้าเมืองของเมืองอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง หลินโยวที่บัดนี้เป็นรองเจ้านครดาวอังคาร แล้วยังมีสหายเต๋ากุ้ยซึ่งมีร่างเป็นต้นหอมหมื่นลี้ มหาศิษย์แห่งเต๋าในวังเต๋าไพศาลที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อเมื่อตอนนั้น และสุดท้ายก็คือผู้ที่พลังฝึกปรือเพิ่งฝ่าระดับขึ้นมาได้ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ผู้อาวุโสของกลุ่มไตรจันทราตระกูลจิน

เจ็ดรายนี้ บวกกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองรายของอารยธรรมเนตรสวรรค์ ทั้งหมดเก้าคน คือผู้แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐในยามนี้ แน่นอนว่าดูจากกำลังศึกแล้ว จักรพรรดิมหาทัณฑ์ที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อในปีนั้นย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่เพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกผนวกเข้ามาแล้ว ดังนั้นบุคคลผู้นี้จึงถูกคุมตัวอยู่ใจกลางสหพันธรัฐ

และโดยไม่เป็นที่ล่วงรู้ พลังของเหล่าผู้ฝึกตนชราที่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในวังเต๋าไพศาลเหล่านั้นก็ไม่อาจดูเบาได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้อาวุโส…ระดับดารานิรันดร์รายนั้น

สรุปแล้วก็คือ ระดับของอารยธรรมสหพันธรัฐแม้ไม่สูงนัก แต่พละกำลังโดยรวมก็นับว่าแข็งแกร่ง ในส่วนของคนอื่นๆ เช่นเพื่อนร่วมเรียนของหวังเป่าเล่อในปีนั้น พวกผู้อาวุโสอีกรุ่น และผู้อาวุโสนอกสำนักอดีตคนของวังเต๋าไพศาล ทุกคนล้วนอยู่ในระดับจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น แม้ระดับไม่ใกล้ดาวพระเคราะห์แต่ก็ไม่ห่างนัก

เวลาเดียวกันในสำนักเต๋าภายในสหพันธรัฐ เนื่องเพราะมีเด็กรุ่นใหม่ส่งเข้ามาจากสหพันธรัฐไม่ได้หยุด ทำให้เหล่าบรรดาเด็กจบใหม่ทั้งหลายนั้น มีหลายคนที่อาศัยสภาพแวดล้อมของสหพันธรัฐในยามนี้พยายามฝึกฝนจนระดับเกินหวังเป่าเล่อในปีนั้นไปแล้ว

              หวังเป่าเล่อในปีนั้นหากอยู่ในระดับรากฐานตั้งมั่นจึงจะถือว่าสำเร็จการศึกษา แต่ในเวลานี้มาตรฐานได้ยกระดับไปเป็นขั้นกำเนิดแล้ว อีกทั้งเหล่าอาจารย์ที่รับผิดชอบสอนอย่างน้อยสุดต้องมีระดับวิญญาณจุติ              กล่าวได้ว่าสภาวะของสหพันธรัฐยามนี้ สิ่งที่ขาดไปมีเพียงเวลาเท่านั้น หากให้โอกาสพวกเขาอีกสักหลายสิบปีเพื่อให้สหพันธรัฐเติบโตอย่างมั่นคง ขุมกำลังทั้งหมดของสหพันธรัฐในยามนี้ย่อมยกระดับขึ้นสูงกว่าเดิมมาก อีกทั้งจำนวนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะยิ่งมากขึ้นและหลังจากกลืนกินอารยธรรมด้านนอกอื่นๆ แล้ว ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ของพวกเขาย่อมมีจำนวนสูงกว่าอารยธรรมขนาดกลางทั่วไป              ทว่าทั้งหมดนี้ สืบสาวย้อนไปก็เริ่มต้นจากหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น จึงได้มีการควบรวมสหพันธรัฐและอารยธรรมดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ได้แบบปัจจุบัน              และในยามนี้ เนื่องจากขุมกำลังของสหพันธรัฐกำลังยกระดับขึ้นอย่างช้าๆ ในเขตของสักนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไม่ห่างจากการบุกรุกอารยธรรมครามทองคำในปีนั้น พลันปรากฏรอยแยกขนาดยักษ์ ค่อยๆ ปริแตกจากภายในอย่างไร้สุ้มเสียง ไร้กลิ่นอาย              หลังจากรอยแยกนี้ปรากฏ ไอมรณะจำนวนมหาศาลก็ปะทุออกจากข้างใน ทำให้ในบริเวณดาวเคราะห์โดยรอบพลันปรากฏสัญญาณของการเสื่อมสลายและแห้งเหี่ยว มีสภาพบิดเบี้ยว              ถัดมาด้วยความรวดเร็ว ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวออกจากรอยแยกนั้น ค่อยๆ เดินออกมาเพื่อแสดงโฉมหน้าอย่างช้าๆ              นี่ก็คือคนผู้หนึ่ง เส้นผมยาว สวมชุดคลุมสีขาว ทั้งร่างมีกระแสเต๋าแผ่ขยาย ดวงเนตรดุจดาวพระเคราะห์ สีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ผู้นี้ก็คือ…หวังเป่าเล่อที่กลับมาจากนพภูมิ!              “เหมือนต่อต้านข้าเล็กน้อย?” ในพริบตาที่เดินออกมาจากรอยแยกนั้น หวังเป่าเล่อพลันพบกับพลังกดดันที่มาจากดาวพระเคราะห์ทั่วทิศ ตั้งแต่อ่อนแรงจนถึงแข็งกล้า พวกมันพากันรวมตัวกัน หลังเขาเอ่ยปากพึมพำแล้ว ฝักกระบี่ประจำกายนั้นพลันหมุนคำราม พลังของเปลวไฟสีดำถูกเก็บเข้าไป รวมไปถึงพลังกฎและเกณฑ์แห่งสำนักแห่งความมืดด้วย หวังเป่าเล่อดึงพวกมันกลับเข้าร่วง และเมื่อเป็นเช่นนี้และพลังของฝักกระบี่ประจำกายเริ่มหมุนเผยให้เห็นพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแทน              พลังดังกล่าวอาบท่วมร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้กายเนื้อและดวงวิญญาณเทพของเขา ยามนี้ปรับให้เข้ากันได้กับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นมากขึ้น ทำให้แรงต่อต้านยามที่เขาบุกเข้าพื้นที่นี้ค่อยๆ จางหายไป              แต่…กระแสพลังคุกคามที่มารวมตัวกันนั้นยังไม่จางหายไปในทันที มันกลับลอยเข้ามาจนเข้าใกล้หวังเป่าเล่อจากทุกทิศ กลายเป็นหมอกสีทอง ด้านในนั้นมีพลังที่พยายามเอาชนะแผ่ซ่าน และโดยไม่ชัดเจน พลังนี้ก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นดวงตาไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง มองมายังหวังเป่าเล่อฉายแววคมปลาบ              สิ่งนี้ก็คือเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น!              เต๋าสวรรค์อยู่ในทุกที่ แปลงร่างได้นับหมื่น ยามนี้ที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้น เป็นเพียงแค่กระแสความคิดหนึ่งในบรรดานับไม่ถ้วน ทว่าแรงคุกคามยังแข็งกล้าไม่เปลี่ยน หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องสั่นสะท้านหวั่นเกรงในใจ              แท้จริงแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เพราะพลังของเต๋าสวรรค์ที่มารวมตัวกัน ทำให้อารยธรรมจำนวนไม่น้อยในอาณาเขตครามทองคำใกล้ๆ สัมผัสได้ โดยเฉพาะจุดนี้อยู่ใกล้กับอารยธรรมหลักของครามทองคำอย่างมาก ดังนั้นในพริบตาถัดมา ก็มีกระแสเจตจำนงพุ่งออกจากดาวเคราะห์แล่นตรงมา เมื่อรวมตัวกันจึงกลายเป็นใบหน้ามองหวังเป่าเล่อจากระยะไกล              กระแสเจตจำนงนี้ แล้วยังมีกระแสเต๋าอันแข็งกล้าสุดขีดอีกสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลังสายนี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในระดับกึ่งจักรพิภพแล้ว ยามนี้ใบหน้าขยายออกสุดระดับ รอบด้านนอกจากพื้นที่ที่เต๋าสวรรค์ปรากฏตัวแล้ว พื้นที่อื่นเกิดความบิดเบี้ยวเล็กๆ ราวกับว่ากระแสความคิดของคนผู้นี้ส่งผลถึงกฎของที่นี่              และในพริบตาที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ กระแสความคิดที่มาถึงยังมีหลายกระแสที่จดจำตัวตนของหวังเป่าเล่อได้ สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยน ดวงตาทั้งล้วนเผยแววประสงค์ร้าย              ทว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใดกระแสจิตที่ส่งมาจากอารยธรรมครามทองคำเหล่านั้น ยามนี้เขายังคงยิ้มแย้มเหมือนเก่า ระหว่างที่มองไปยังดวงตาของเต๋าสวรรค์ที่จับจ้องจากทั้งสี่ทิศ สองมือก็ผายออก              “ท่านดู ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเองก็ไม่ถือว่าบุกเข้ามานะ ข้าแค่เพิ่งกลับมา”              เต๋าสวรรค์ซึ่งเป็นหมอกสีทองรอบด้านพลันหมุนคว้างรุนแรงเป็นการตอบรับคำพูดของเขา อีกทั้งมันยังเผยกระแสคุกคามที่รุนแรงกว่าเก่าด้วย กระทั่งว่าในหมอกสีทอง ยามนี้พลันปรากฏแสงสว่างวาบหนึ่ง คล้ายกับว่าแสงนี้ประสงค์จะสังหารหวังเป่าเล่อ              “ขอเจรจาหน่อย นี่ข้าก็แค่จะกลับบ้านสักครั้ง”  หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หลังประโยคถอนหายใจนี้จบลง กระแสพลังในหมอกเต๋าสวรรค์กลับรุนแรงขึ้นกว่าเก่า ทั้งในนั้นยังมีเสียงโห่คำรามแฝงมาด้วย เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ และจากนั้นไอหมอกก็พลันกลายร่างเป็นรูปปากขนาดยักษ์ ด้านในมีประกายสายฟ้าสีทองอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันทั้งหมดมุ่งหมายจะกลืนร่างหวังเป่าเล่อ              หวังเป่าเล่อถอนใจพลางส่ายหน้า ฝักกระบี่ประจำกายของเขาพลันส่งเสียงขึ้น ตัวเขาอ้าปากแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด ทว่ารูปปากที่มีขนาดยักษ์ มโหฬารเสียยิ่งกว่าเต๋าสวรรค์ในที่นี่พลันก่อรูปขึ้นเบื้องหน้าเขา จากนั้นก็พุ่งไปยังหมอกเต๋าสวรรค์นั้นก่อนจะกลืนกินมันด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยายได้ในพริบตา!              เต๋าสวรรค์หมอกสีทองที่ก่อนหน้านี้แสดงท่าทีไม่ขออยู่ร่วมโลก ท่าทางจะขอสู้กับเขาจนตัวตาย ก็ถูกปากที่มีขนาดยักษ์จัดการกลืนจนสะอาดเกลี้ยง…ในชั่วพริบตา หลังจากที่เต๋าสวรรค์ดังกล่าวหายไปแล้วหวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวอีกครั้งตรงจุดเดิมพลันเลียริมฝีปาก สีหน้ามีรอยยิ้มจาง              “นี่จำเป็นด้วยหรือ”              “พวกเจ้า ว่าไหมล่ะ?” หวังเป่าเล่อมองกระแสจิตของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำเหล่านั้นที่รีบถอยร่นไปไกลจากทั่วทิศ สีหน้าเผยแววตาตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน              ………………………