เมื่อสิ้นคำถามของฮวาเยว่ ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบงันทันที

ในเมื่อผู้เฒ่าไห่ไม่ปฏิเสธก็หมายความว่านั่นเป็นเพียงหนทางเดียวในตอนนี้…

สามสำนักและเก้านิกายจะต้องเลือกศิษย์ส่วนหนึ่งเพื่อส่งไปที่เกาะลึกลับแห่งนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นหน่วยกล้าตายที่ต้องออกไปเผชิญกับภยันตรายเบื้องหน้า หากพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ พวกเขาก็สามารถหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ทว่าหากหายสาบสูญไปเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ก็คงไม่มีทางทำอะไรได้อีก

เพราะเหตุนั้น การเลือกตัวแทนส่งไปที่นั่นจึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าไห่ไม่คิดปิดบังเรื่องนี้จากทุกคน ทว่าตอนนี้ก็คงจะมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ยินดีไปยังเกาะไร้ชื่อดังกล่าว

“ข้าขอเสนอให้พวกเราแต่ละขุมกำลังเลือกศิษย์สามคนเพื่อส่งไปที่เกาะโดดเดี่ยวนั่น ตัวแทนขุมกำลังทั้งหมดที่ถูกส่งมาที่ชายฝั่งทางเหนือในครานี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ฝีมือดีที่สุด ต่อให้เผชิญภยันตรายร้ายแรง เชื่อว่าทุกคนจะมีโอกาสเอาตัวรอดได้แน่”

เริ่นชินจากสำนักห้าขุนเขากล่าวแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้อีก

ความปลอดภัยของศิษย์ในสำนักมิใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเขา ทว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือชื่อเสียงเกียรติยศของสำนักห้าขุนเขา ต่อให้ศิษย์ต้องตายไปในมหาสมุทร ตราบใดที่สะสางปัญหาของชายฝั่งทางเหนือได้สำเร็จ มันก็ถือว่าคุ้มค่า

“ข้าไม่คัดค้านใด ๆ เพียงแต่เราไม่จำเป็นต้องส่งคนมากเกินไปหรอก ส่งไปเฉพาะคนที่อาสาไปที่นั่นด้วยตัวเองและเราทุกคนจะมอบไพ่ตายทั้งหมดที่มีให้กับพวกเขา หากบีบบังคับให้พวกเขาไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น ทว่ามันก็ยังจะเป็นการถ่วงแข้งถ่วงขาคนอื่น ๆ อีก”

ฮว๋าสงจากสำนักเบิกภูผาก็กล่าวแสดงความเห็นออกมาและคำนึงถึงความปลอดภัยของศิษย์ในการปกครองของตนอยู่เล็กน้อย

หากถูกบีบบังคับฝืนใจ คนเหล่านั้นจะไม่มีทางแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เมื่อเผชิญภยันตราย พวกเขาก็อาจต่อสู้กันเองได้และไม่สามารถร่วมมือกันได้อย่างเป็นปึกแผ่นเดียวกัน

เมื่อพิจารณาข้อมูลที่ได้รับจากผู้เฒ่าไห่ที่ยืนยันว่ามีวิกฤตร้ายแรงมากมายที่นั่น มีเพียงการร่วมมือกันอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขามีโอกาสรอดสูง

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ตอนนี้แต่ละขุมกำลังหารือเลือกตัวแทนที่จะส่งไปที่นั่นเถอะ จากนั้นก็ให้คนของชายฝั่งทางเหนือพาพวกเราไปยังเกาะลึกลับแห่งนั้น”

ฟู่อวิ๋นซิวพยักศีรษะเห็นด้วยและกล่าวกับทุกคน

“สำหรับพวกเราสำนักเมฆาคราม ข้าอาสาไปที่นั่นเองและจะพาศิษย์ไปด้วยอีกสองคน”

เขาเป็นคนแรกที่แสดงจุดยืนออกมา เนื่องจากทราบดีว่าที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย เขาจึงต้องการไปที่นั่นด้วยตัวเอง

ในบรรดาตัวแทนของสำนักเมฆาครามที่ถูกส่งมาในครานี้ เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นนายน้อยของสำนัก หากเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลไม่มั่นใจ คนอื่น ๆ ก็จะหวั่นใจยิ่งกว่าและมันจะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับภารกิจในครานี้

“พวกเราขออาสาไปกับนายน้อยขอรับ !”

ศิษย์สำนักเมฆาครามทุกคนต่างก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว เมื่อฟู่อวิ๋นซิวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ศิษย์คนอื่น ๆ ก็ยืนขึ้นและแสดงจุดยืนของพวกตนเช่นกัน

“ไม่จำเป็นต้องไปกันหมดนี่หรอก เจ้าทั้งสองไปกับข้า ส่วนคนอื่นอยู่ช่วยที่นี่ก็แล้วกัน”

ฟู่อวิ๋นซิวชี้ไปยังศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนและตัดสินใจเลือกทั้งสองคนเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาครามในครานี้

การที่สำนักเมฆาครามตัดสินใจเลือกศิษย์ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันก็เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของศิษย์นิกายเบิกภูผาเช่นกัน

“ท่านผู้อาวุโส พวกเราเต็มใจจะไปกับสำนักเมฆาครามขอรับ”

ศิษย์ทั้งหมดกล่าวอย่างกระตือรือร้นตาม ๆ กัน

“เอาล่ะ สามคนที่แข็งแกร่งที่สุดไปกับพวกเขา ส่วนคนที่เหลืออยู่กับข้าที่นี่”

อันที่จริง ฮว๋าสงก็ต้องการไปที่นั่นด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อครู่นี้ฟู่อวิ๋นซิวขอให้เขาอยู่ที่เมืองนี้เพื่อดูแลสถานการณ์โดยรวม เขาจึงไปที่นั่นไม่ได้ ครานี้สำนักเบิกภูผาส่งคนมาที่นี่มากกว่าสิบคนและเขาเลือกศิษย์เพียงสามคนที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในการส่งไปยังเกาะลึกลับแห่งนั้น

เมื่อเปรียบเทียบกัน ศิษย์ของสำนักห้าขุนเขานิ่งเงียบกว่ามาก

เริ่นชินเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ เป็นครู่ใหญ่ ทว่ายังไม่มีผู้ใดแสดงตัวออกมาส่งผลให้สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย

“อะไรกัน ? สำนักห้าขุนเขาของเราไม่มีใครอาสาไปเลยรึ ?”

เขาตระหนักถึงความอันตรายของสถานการณ์ครานี้ดีและไม่ต้องการไปที่นั่นด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้น เขาจึงกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความข่มขู่เล็กน้อย

“ขะ…ข้าอาสาไปเองขอรับ”

ศิษย์คนหนึ่งรับรู้ได้ถึงแววตาข่มขู่ของเริ่นชินและกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจนัก

“คนอื่นล่ะ ?”

สีหน้าของเริ่นชินเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเอ่ยถามเสียงเบาอีกครั้ง

“พวกเราอาสาขอรับ”

ศิษย์อีกสองคนกล่าวขึ้นเช่นกันเพราะทนต่อแววตาข่มขู่ของเริ่นชินไม่ได้อีกต่อไป

“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นพวกเจ้าสามคน”

เมื่อได้ตัวแทนครบสามคน สีหน้าของเริ่นชินก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและตัดสินใจในทันที

การที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของศิษย์ทั้งสามคนที่ราวกับกำลังถูกจับตัวส่งไปยังลานประหารทำให้สีหน้าของคนจากขุมกำลังอื่น ๆ แสดงความดูถูกดูแคลนออกมาเล็กน้อย

นิกายเมฆาล่องลอยก็ตัดสินใจเลือกศิษย์สามคนได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อลำดับการเลือกมาถึงนิกายหมื่นบุปผา ฮวาเยว่ก็หนักใจเล็กน้อย

นอกเหนือจากเหลียนซวงและเหลียนอู้ที่พยายามซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ ศิษย์คนอื่นของนิกายหมื่นบุปผาล้วนยินดีเป็นตัวแทนไปที่นั่น

“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายเจ้าคะ ให้พวกเราทั้งสามคนไปเถอะ เราจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน !”

ฉินอวี้โม่จับมือฮวาเยว่พร้อมชี้ไปที่หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนขณะกล่าวยืนยันให้อีกฝ่ายมั่นใจ

“เอาล่ะ พวกเจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”

เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและหนักแน่นของฉินอวี้โม่ ฮวาเยว่ก็พยักศีรษะตอบตกลง นางทราบดีว่าฉินอวี้โม่และศิษย์ทั้งสองมีไพ่ตายทรงพลังอยู่กับตัวและเชื่อว่าการส่งทั้งสามไปจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

คนอื่น ๆ ก็เตือนให้ทั้งสามระวังตัวเช่นกันและหยิบสมบัติทั้งหมดของตนออกมาให้ ทว่าฉินอวี้โม่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

นางสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนด้วยการหยิบลูกแก้ววิญญาณที่ฮวาฟางเฟยมอบให้ตนก่อนหน้านี้เพื่อให้ศิษย์พี่ทั้งหลายวางใจ

ในฝั่งของนิกายกระบี่สายฟ้าก็มีการพูดคุยหารืออย่างหนักใจเช่นกัน

ในเมื่อฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนต้องการไปที่นั่นด้วยตัวเอง แน่นอนว่าฉินเทียนก็ต้องการไปเพื่อปกป้องพวกนาง อย่างไรก็ตาม ผู้นำคณะศิษย์ของขุมกำลังอื่นส่วนใหญ่เลือกอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือ หากเขาตัดสินใจไปที่เกาะลึกลับแห่งนั้น ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่สายฟ้าก็จะขาดแคลนกระดูกสันหลังอย่างเขาไป

“ท่านจอมยุทธ์ฮวาเยว่ ข้าวางแผนที่จะไปกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ ข้าขอฝากท่านดูแลศิษย์ของนิกายกระบี่สายฟ้าจะได้หรือไม่ ?”

ฉินเทียนกล่าวกับฮวาเยว่อย่างตรงไปตรงมาเพื่อขอให้นางช่วยดูแลศิษย์ของนิกายกระบี่สายฟ้าในระหว่างที่เขาไม่อยู่

“เข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยดูแลทุกคนเอง”

ฮวาเยว่พยักศีรษะตอบรับ ถึงอย่างไรฉินเทียนก็คือบิดาของฉินอวี้โม่ นางย่อมเข้าใจถึงความต้องการที่จะสนับสนุนและปกป้องบุตรสาวของตนเอง

“ขอบคุณท่านมาก”

ฉินเทียนยิ้มและกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ด้วยความยินดี”

ฮวาเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม การที่ได้ปฏิสัมพันธ์กันในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทำให้นางชื่นชมฉินเทียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบรรดาบุรุษทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงฉินเทียนเท่านั้นที่นางรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยด้วย

“เซิ่งเซียว หลานเผิง เจ้าทั้งสองไปกับข้า คนอื่นทั้งหมดรออยู่ที่นี่”

เมื่อเห็นว่าศิษย์หลายคนยังหารือกันถึงตัวแทน ฉินเทียนก็ไม่รอช้าและตัดสินใจทันที

เซิ่งเซียวและหลานเผิงคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์เหล่านี้ อีกอย่าง เซิ่งเซียวก็ต้องการปกป้องอวิ๋นซื่อเทียน และในฐานะนายน้อยตระกูลหลาน หลานเผิงย่อมมีไพ่ตายป้องกันตัวมากมาย พวกเขาทั้งสองคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการติดตามไปเผชิญหน้ากับอันตราย

“ขอรับ”

เซิ่งเซียวและหลานเผิงพยักศีรษะพร้อมเผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที พวกเขาไม่คิดว่าในครานี้ตนเองจะเผชิญกับอันตรายมากนัก ทว่ารอยยิ้มที่มั่นใจของพวกเขาก็ช่วยให้เส้นประสาทที่รัดแน่นของทุกคนคลายตัวลงเล็กน้อย พวกเขาจึงไม่รู้สึกกังวลอีกมากนัก

ขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ก็เลือกตัวแทนของพวกตนเช่นกันและส่วนใหญ่ส่งตัวแทนไปสองถึงสามคนซึ่งรวมเป็นจำนวนทั้งหมดสามสิบคน

“ในเมื่อมีกันมากมายเช่นนี้ ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะแต่งตั้งหัวหน้าขึ้นมา เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนจะได้ทำตามการตัดสินใจของคนผู้นั้น”

หลานเผิงกล่าวข้อเสนอของตน เนื่องจากผู้คนจำนวนมากรวมกลุ่มกันเช่นนี้ก็ควรที่จะมีผู้บัญชาการที่มีอำนาจตัดสินใจ

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเสนอรองจ้าวนิกายฉินก็แล้วกัน เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและมีอายุมากที่สุดในหมู่พวกเรา ข้าเชื่อว่าทุกคนคงจะไม่คัดค้าน”

ฟู่อวิ๋นซิวตัดสินใจในทันทีและทุกคนก็พยักศีรษะอย่างไม่คัดค้านใด ๆ

หลังจากหารือและเตรียมความพร้อม ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังชายหาดด้วยกัน