ตอนที่ 942 หมอกประหลาด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

มหาสมุทรทางเหนือคือผืนมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนมหาเทพ นอกเหนือจากประชากรชาวพื้นเมืองของชายฝั่งทางเหนือ โดยปกติก็มีผู้คนเดินทางมาที่นี่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

กล่าวกันว่ามหาสมุทรแห่งนี้มีอสูรมายาทรงพลังเป็นจำนวนมาก หากคนแปลกหน้าหลงเข้าไปในอาณาเขตของพวกมัน อสูรเหล่านั้นจะจู่โจมเข้าใส่คนผู้นั้นทันที

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่นานมานี้ อสูรที่ดุร้ายเหล่านั้นกลับหายสาบสูญไป

อากาศเหนือน่านน้ำล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณและบดบังกลิ่นอายของอสูรเหล่านั้น ซ้ำร้ายยังเป็นการเพิ่มความอันตรายสำหรับจอมยุทธ์มากขึ้นไปอีก

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และคณะตัวแทนทั้งหมดก็เดินตามผู้เฒ่าไห่และบุรุษวัยกลางคนที่ทรงพลังอีกสองคนของชายฝั่งทางเหนือซึ่งผู้เฒ่าไห่คัดเลือกมาด้วยตัวเอง และเมื่อมาถึงที่ชายหาด ทุกคนก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของมหาสมุทรตรงหน้า

หมอกหนาเหล่านั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและดูเหมือนว่ามีพลังที่รุนแรงบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในซึ่งทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้ง่าย ๆ

ราวกับว่าหากผู้ใดหลงเข้าไปในหมอกหนาเหล่านั้น พวกเขาจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก กล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและน่าขนลุกยิ่งนัก

“ทุก ๆ ท่าน ข้ามาส่งทุกท่านได้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้พวกเขาจะพาทุกท่านไปยังเกาะโดดเดี่ยวแห่งนั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาระบุทิศทางของมันได้เพียงคร่าว ๆ เท่านั้นและไม่สามารถระบุตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงของมันได้ ไม่ว่าจะได้พบมันหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับโชคดวงของทุกคน ข้าขอฝากชะตากรรมของชายฝั่งทางเหนือไว้กับพวกท่านด้วย”

ผู้เฒ่าไห่ยกกำปั้นประกบกันขณะกล่าวกับทุกคนด้วยประกายความหวังในแววตา

ชายฝั่งทางเหนือของพวกเขาไม่สามารถทนรับความสูญเสียได้อีกต่อไป หากสามสำนักและเก้านิกายสะสางปัญหาครานี้ไม่ได้ พวกเขาก็คงต้องพิจารณาถึงการย้ายถิ่นฐานเพื่อเอาตัวรอด…

บุรุษวัยกลางคนสองคนหยิบเรือขนาดเท่าฝ่ามือออกมาและเติมพลังมายาลงไปในนั้นก่อนที่เรือจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว มันก็กลายเป็นเรือขนาดใหญ่ที่ดูหรูหรางดงามและจอดเทียบท่าอยู่บนพื้นน้ำ

“ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ”

ฮวาเยว่กล่าวกำชับทุกคนโดยที่ความกังวลปรากฏอยู่ในแววตาเล็กน้อย

“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย วางใจได้เลยเจ้าค่ะ พวกเราทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีวิกฤตร้ายแรงมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถขัดขวางพวกนางได้

ทุกคนก้าวขึ้นบนเรือลำใหญ่ไปตาม ๆ กัน หลังจากนั้นบุรุษวัยกลางคนทั้งสองก็ผลัดกันขับเคลื่อนเรือตรงไปยังทิศทางของเกาะลึกลับ…

ในระหว่างทาง บุรุษทั้งสองได้บรรยายถึงสถานการณ์ปัจจุบันของที่นั่น

เดิมทีเกาะประหลาดแห่งนั้นไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา ผู้คนจากชายฝั่งทางเหนือก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าเหตุใดเกาะรกร้างนี้จึงปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อย่างกะทันหัน และสิ่งที่ทุกคนไม่มั่นใจเลยก็คือเกาะดังกล่าวเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือถูกสร้างขึ้นมาโดยฝีมือของใครบางคน

“ก่อนหน้านี้เราส่งคนมากมายออกไปสำรวจที่นั่น ทว่าคนเหล่านั้นก็ไม่เคยกลับออกมาอีกเลย เราจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเกาะแห่งนั้น อีกอย่าง…เกาะแห่งนั้นก็อยู่ท่ามกลางหมอกหนาซึ่งบดบังทัศนวิสัยทั้งหมดรอบตัว ทุกคนจะต้องระวังตัวไว้ให้มาก”

คนของชนเผ่าทะเลคาดการณ์สถานการณ์ของเกาะลึกลับได้เพียงคร่าว ๆ จากการอนุมานสรุปด้วยตัวเองและไม่สามารถยืนยันสิ่งใดได้อย่างเฉพาะเจาะจง

พวกเขาเพียงทราบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยภยันตรายมากมายเท่านั้น แม้กลุ่มคนที่ส่งออกไปสำรวจล้วนจัดเป็นผู้ที่มากฝีมือ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยได้มีโอกาสกลับออกมาอีกเลย

“ท่านรองจ้าวนิกายฉิน ท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อไปรึ ?”

เดิมทีนิกายเมฆาล่องลอยและนิกายกระบี่สายฟ้าไม่เคยติดต่อสื่อสารกันมากนัก และศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอยก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของฉินเทียนเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พวกเขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออดกลั้นความไม่เต็มใจเหล่านั้นและเอ่ยถามถึงแผนการขั้นต่อไปของฉินเทียนอย่างกระตือรือร้น

“ในหมอกหนาเหล่านั้นจะต้องมีอันตรายซ่อนอยู่มาก ข้าคิดว่าเราควรวางม่านป้องกันไว้รอบเรือลำนี้เสียก่อนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง”

ฉินเทียนไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจออกไป

ทุกคนกล่าวตอบรับอย่างไม่มีข้อคัดค้านใดและเชื่อว่านั่นเป็นวิธีที่เหมาะสมแล้ว

“ฉินอวี้โม่นั้นชำนาญในศาสตร์การวางข่ายอาคม นางสามารถวางข่ายอาคมหลายชนิดไว้รอบเรือลำนี้เพื่อซ่อนกลิ่นอายของพวกเราได้และจะทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น”

ฉินเทียนกล่าวต่อโดยที่คำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคน

ตัวแทนจากทุกขุมกำลังเหล่านี้มิใช่คนเลวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วยความเต็มใจหรือถูกบังคับมา ในเมื่อฉินเทียนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการแล้ว เขาก็ต้องการพาทุกคนกลับไปอย่างปลอดภัย ต่อให้มีศิษย์บางคนไม่เชื่อมั่นในตัวเขา เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

“เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนก้าวออกไปด้านข้างพร้อมอวิ๋นซื่อเทียนและหานโม่ฉือเพื่อวางข่ายอาคมจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติปิดบังกลิ่นอายของพวกตน

อย่างไรก็ตาม น่านน้ำทางเหนือนี้แปลกประหลาดอย่างที่สุด แม้จะวางข่ายอาคมระดับสูงรอบตัว ฉินอวี้โม่ก็สังหรณ์ใจว่ามันไม่สามารถบดบังกลิ่นอายของเรือลำนี้ได้โดยสมบูรณ์และทุกคนยังคงต้องเผชิญกับอันตราย

“ทุกคน อย่าเดินเตร็ดเตร่ไปที่ใดและอย่าเสียสมาธิโดยเด็ดขาด รอบตัวเราเต็มไปด้วยภยันตรายมากมายนักและข้าทำได้เพียงพยายามช่วยรับประกันความปลอดภัยให้กับทุกคน อีกอย่าง…หากเราทุกคนรวมตัวกันในขณะที่เผชิญกับอันตราย ข้าเชื่อว่าเราจะมีโอกาสรับมือได้มากกว่า”

ฉินเทียนกล่าวกำชับกับทุกคนก่อนนั่งลงข้างฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เพื่อหารือกัน

คนที่เหลือก็หาที่เหมาะ ๆ นั่งลงเช่นกันและไม่กล้าเดินเพ่นพ่านไปที่ใด

บางคนก็นั่งฟังบทสนทนาของฉินเทียนในขณะที่คนอื่น ๆ หลับตาลงเพื่อบ่มเพาะพลังโดยที่ยังคงแผ่พลังวิญญาณไปจดจ่อกับสถานการณ์รอบตัวเช่นกัน

จากนั้นเวลาสองก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หมอกรอบตัวทั่วบริเวณค่อย ๆ หนาแน่นมากขึ้น ซึ่งบ่งบอกได้ว่าตอนนี้เข้าใกล้บริเวณกึ่งกลางของมหาสมุทรทางเหนือเต็มที

“ข้างหน้านี้คือจุดที่ผู้คนเริ่มเผชิญกับปัญหา ทุกคนระวังตัวให้ดีล่ะ”

บุรุษวัยกลางคนนามว่า ‘ไห่เย่า’ กล่าวเตือนทุกคนและสีหน้าแสดงถึงความระมัดระวังมากขึ้น

ทุกคนยืนขึ้นและแผ่พลังวิญญาณออกไปรอบตัวขณะเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้

ฉินอวี้โม่ก็สั่งการให้อสูรมายาทั้งหมดในคฤหาสน์เฟิงหัวจับตาดูสถานการณ์รอบตัวและแจ้งนางทันทีที่พบความผิดปกติใด ๆ

กลุ่มหมอกรอบตัวหนาทึบมากขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของทุกคนอย่างใหญ่หลวง แม้แต่การยืนที่หัวเรือก็ไม่สามารถช่วยให้มองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนมากขึ้นแม้แต่น้อย

โครมมม !

การกระแทกที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยและทั่วทั้งเรือก็สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับมีอสูรยักษ์ใหญ่พุ่งชนตัวเรือ

“เกิดอะไรขึ้น ?”

สีหน้าของผู้ที่อ่อนแอหลายคนบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาหันมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดหวั่น ทว่าก็ยังไม่พบสิ่งใด

“หรือว่าเรือของเราจะชนเข้ากับแนวปะการังจึงได้เกิดแรงกระแทกเช่นนี้ ?”

ฉินอวี้โม่พยายามทรงตัวให้มั่นคง แม้ทราบว่านั่นมิใช่สาเหตุที่แท้จริง นางก็กล่าวออกไปเพื่อบรรเทาความแตกตื่นของทุกคน

การที่มีบางสิ่งบางอย่างที่มิอาจทราบได้ชนเข้ากับเรือสามารถก่อให้เกิดความแตกตื่นและหวาดกลัวได้ง่าย เพราะเหตุนั้น การกล่าวว่ามันเป็นเพียงแนวปะการังใต้น้ำจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจและผ่อนคลายได้มากกว่า

“ใช่แล้วล่ะ เราคงจะชนเข้ากับแนวปะการัง ทุกคนไม่ต้องกังวลไป”

ไห่เย่าก็มีไหวพริบที่ดีและรีบพยักศีรษะกับฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวไปในทิศทางเดียวกัน

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี”

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่กังวลอีกต่อไป

มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ระแวดระวังมากขึ้นและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

เมื่อเดินหน้าต่อไป เรือใหญ่ก็ถูกชนอย่างแรงสี่ถึงห้าครั้งภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปและการชนทุกครั้งก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฉินอวี้โม่และไห่เย่ายังคงยืนยันกับทุกคนว่าแรงกระแทกเหล่านี้เกิดจากแนวปะการังใต้น้ำ ทว่าหลาย ๆ คนเริ่มนึกสงสัยกันแล้ว

หากเป็นการชนเข้ากับแนวปะการังจริง เหตุใดมันจึงเกิดขึ้นถี่เช่นนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษวัยกลางคนทั้งสองก็ท่องอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้เป็นประจำ แล้วพวกเขาจะขับเรือชนเข้ากับแนวปะการังซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร ?

“แม่นางอวี้โม่ บอกความจริงกับทุกคนเถอะ”

เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของทุกคน ฟู่อวิ๋นซิวจึงกล่าวออกไป แม้ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ มันก็ถึงเวลาที่จะเตือนทุกคนให้รู้ตัวและรับรู้ได้ถึงภยันตรายที่จะต้องเผชิญ