เยี่ยโยวเหยาจูงซูจิ่นซีอ้อมไปทางด้านหลังหอฉงชัง
แม้จะมีคนล้อมอยู่ด้านหลัง ทว่าไม่แน่นหนาเท่าด้านหน้า เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีรีบกระโดดขึ้นไปบนชั้นสามของหอฉงชังและเข้าไปทางหน้าต่าง
“ผู้ใด? ”
ลูกศิษย์ที่อยู่ภายในหอฉงชังรีบยกกระบี่ขึ้นมาป้องกันทันที เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาก็ทยอยกันเก็บกระบี่เข้าฝักทีละคน
บางคนสะอึกสะอื้นด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
“ท่านอาจารย์เล่า? ” เยี่ยโยวเหยาถาม
“อยู่ทางนั้น” ลูกศิษย์รีบพาเยี่ยโยวเหยาไปพบนักพรตอวี้หยาง
เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะรออยู่ที่เดิม ทว่าเยี่ยโยวเหยาจูงนางตามเข้าไปด้วย
นักพรตอวี้หยางอยู่ในห้องฝึกตน ข้างกายมีเพียงลูกศิษย์สองคนคอยดูแล
ตอนที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเห็นเขานั้น สีหน้าของเขาซีดเซียวจนดูย่ำแย่อย่างมาก นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อไม่นานมานี้ยังอาเจียนเป็นเลือดเพราะมุมปากยังมีคราบเลือดเปื้อนอยู่
“ท่านอาจารย์” เยี่ยโยวเหยาตะโกน
“โยวเหยา”
นักพรตอวี้หยางยื่นมือไปหาเยี่ยโยวเหยาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยามาอยู่ข้างนักพรตอวี้หยางและคว้าแขนของนักพรตอวี้หยางมาจับชีพจรทันที ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดูย่ำแย่อย่างมากเช่นกัน เขาเหลือบมองซูจิ่นซีและส่งสัญญาณให้ซูจิ่นซีมาตรวจอาการให้นักพรตอวี้หยาง
ซูจิ่นซีเดินไปข้างหน้าและกำลังจะตรวจชีพจรให้นักพรตอวี้หยาง ทว่ากลับถูกนักพรตอวี้หยางห้ามไว้
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย” นักพรตอวี้หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เวลา… เวลาของอาจารย์เหลือไม่มากแล้ว”
“ท่านอาจารย์… ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น
นักพรตอวี้หยางไออย่างหนัก มุมปากมีเลือดสีแดงค่อยๆ ไหลออกมา
“อาจารย์… อาจารย์พยายามยืนหยัดลมหายใจสุดท้าย เพื่อรอเจ้ากลับมา”
เยี่ยโยวเหยาจับมือนักพรตอวี้หยางแน่น “ท่านอาจารย์ มีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันภายหลัง ตอนนี้… ”
เยี่ยโยวเหยาพูดไม่ทันจบก็ถูกนักพรตอวี้หยางตัดบท
เขาจับมือเยี่ยโยวเหยาทันทีโดยใช้พละกำลังทั้งร่างกาย “ศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุน เยี่ยโยวเหยาฟังคำสั่ง! ” เขาพูดพลางหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากอกเสื้อ
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นป้ายคำสั่งก็หลบสายตาแล้วดันป้ายคำสั่งนั้นกลับเข้าไปในอ้อมแขนของนักพรตอวี้หยาง
“ท่านอาจารย์ ไม่ได้… ”
นักพรตอวี้หยางฝืนทนอย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้ร่างกายตนเองล้มลง ดวงตาที่กำลังดิ้นรนแข็งขืนขึ้นเล็กน้อย
“เยี่ยโยวเหยา เห็นป้ายคำสั่งเจ้าสำนักเสมือนเห็นบรรพชนสำนักกระบี่คุนหลุน เจ้าอยากให้อาจารย์จนโมโหตายหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ สีหน้าลำบากใจ “ท่านอาจารย์ โยวเหยาไม่ได้หมายความเช่นนั้น โยวเหยาแค่… ”
“อวี้หยางจื่อ ศิษย์รุ่นที่หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบสองได้มอบป้ายคำสั่งเจ้าสำนักให้เยี่ยโยวเหยาศิษย์รุ่นที่หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบสามเป็นผู้รับช่วงตำแหน่งเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนคนต่อไป ในอนาคตต้องยึดมั่นกฎสำนัก ปฏิบัติตามพันธสัญญาและทำนุบำรุงสำนักกระบี่คุนหลุนให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เยี่ยโยวเหยา รับคำสั่ง! ”
ทำอย่างไรเยี่ยโยวเหยาก็ไม่อยากรับคำสั่ง เขาส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านอาจารย์ ท่านไม่อาจมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้ศิษย์ได้ ศิษย์น้องเสวียนเจิ้นจื่อคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
เยี่ยโยวเหยาเข้าใจดีว่าหลายปีที่ผ่านมาสำนักกระบี่คุนหลุนอบรมฝึกฝนเสวียนเจิ้นจื่อให้เป็นผู้คัดเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นเจ้าสำนักมาโดยตลอด นอกจากนี้ ตำแหน่งเจ้าสำนักคือความปรารถนาสูงสุดในใจของเสวียนเจิ้นจื่อ อีกทั้งเสวียนเจิ้นจื่อเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของเยี่ยโยวเหยาตอนอยู่ที่เขาคุนหลุน หากวันนี้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก ย่อมไม่ยุติธรรมและไร้มนุษยธรรมต่อเสวียนเจิ้นจื่อ
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจรับตำแหน่งนี้ได้
เมื่ออวี้หยางจื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาไม่รับคำสั่ง จึงไออย่างหนักอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยารีบเข้าไปพยุง ทว่าเขากลับผลักเยี่ยโยวเหยาออกไป
“ตอนนี้เจ้าเป็นโยวอ๋องแคว้นจงหนิงและมีปณิธานรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น หรือว่ารังเกียจตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งสำนักกระบี่คุณหลุนหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่านักพรตอวี้หยางจะตำหนิภายใต้สถานการณ์รีบร้อนเช่นนี้
เขารีบส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านอาจารย์ ไม่ว่าภายนอกโยวเหยาจะมีสถานะเช่นไร? ทว่าอยู่ที่สำนักกระบี่คุนหลุนก็เป็นลูกศิษย์ของท่านเสมอ โยวเหยาไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น”
นักพรตอวี้หยางดึงมือเยี่ยโยวเหยามาและยัดป้ายคำสั่งใส่มือของเยี่ยโยวเหยา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับไป ครั้งหนึ่งเสวียนเจิ้นจื่อเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งสำนักกระบี่คุนหลุน ทว่านั่นเป็นเวลาหลังจากเจ้าลงจากเขาไป ทว่าตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว… นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาพิเศษอีกด้วย”
แม้นักพรตอวี้หยางจะอ่อนแอมาก ทว่ามือที่ถือป้ายคำสั่งเจ้าสำนักราวกับมีน้ำหนักครึ่งตันที่กดมือเยี่ยโยวเหยาจนไม่สามารถดึงออกได้ และไม่อาจปฏิเสธไม่รับป้ายคำสั่งนี้ได้
“รับปากอาจารย์… ” ดูเหมือนนักพรตอวี้หยางจะอารมณ์แปรปรวนและใช้พลังทั้งหมดพูดว่า “โยวเหยา รับปากอาจารย์ ขจัดภัยร้ายในสำนัก ขับไล่ผู้รุกราน ชี้นำลูกศิษย์ในสำนัก กอบกู้ชื่อเสียงสำนักให้ได้ รับปากอาจารย์… ”
จนถึงตอนนี้ น้ำเสียงของนักพรตอวี้หยางหาใช่คำสั่ง ทว่าเป็นน้ำเสียงขอร้อง
เยี่ยโยวเหยาทนปฏิเสธไม่ได้ “ขอรับท่านอาจารย์ โยวเหยารับปากท่าน”
ในที่สุด นักพรตอวี้หยางราวกับได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งในใจออกไป เขาหลับตาเงยศีรษะ ค่อยๆ เอนกายพิงกำแพงด้านหลัง
“ท่านอาจารย์”
เยี่ยโยวเหยาพยุงนักพรตอวี้หยางด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทว่ากลับถูกนักพรตอวี้หยางโบกมือห้ามไว้
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ลืมตาขึ้น แววตาหยุดอยู่ที่ร่างของซูจิ่นซีซึ่งอยู่ด้านหลังเยี่ยโยวเหยา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบและผ่อนคลาย “โยวเหยา เจ้าออกไปก่อน อาจารย์มีเรื่องต้องคุยกับแม่นางผู้นี้เล็กน้อย”
เยี่ยโยวเหยาคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ลุกขึ้น นักพรตอวี้หยางจึงยกยิ้มมุมปากแผ่วเบา
“รู้ว่าเจ้าปกป้องภรรยา กลับไม่คิดว่าจะหวงแหนจนถึงขั้นระแวงอาจารย์ อาจารย์กินนางได้หรืออย่างไร? ”
“โยวเหยาไม่กล้า! ” เยี่ยโยวเหยารีบลุกขึ้นเดินออกนอกประตูไป
ลูกศิษย์สองคนที่รับใช้ข้างกาย นักพรตอวี้หยางก็ให้ออกไปเช่นกัน
จนในห้องเหลือเพียงนักพรตอวี้หยางและซูจิ่นซีสองคน นักพรตอวี้หยางจึงยื่นมือไปหาซูจิ่นซี “แม่นางน้อย เจ้ามานี่”
ซูจิ่นซีลังเลเล็กน้อย ทว่านางยังคงก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปหานักพรตอวี้หยาง
นักพรตอวี้หยางดูคล้ายบิดาผู้ใจดี เขาจับมือของซูจิ่นซีราวกับกำลังสำรวจรากกระดูกของนาง หลังจากสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “แม่นางน้อย วิญญาณทั้งสามของเจ้าไม่สมบูรณ์ จิตวิญญาณกระจัดกระจาย ข้าอยากทำบางอย่างเพื่อเจ้า ทว่ามีคนทำเพื่อเจ้ามากพอแล้ว ข้าจึงไม่ต้องเสียแรงอีก ทว่ารากกระดูกของเจ้าไม่เลว ข้าสามารถถ่ายทอดวิชายุทธ์หนึ่งชุดให้เจ้าได้”
เขาพูดพลางกำลังจะถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ซูจิ่นซี ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีปรามไว้
นักพรตอวี้หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองซูจิ่นซีอย่างไม่เข้าใจ
ซูจิ่นซียิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าเรียนวรยุทธ์มาพอแล้ว เกรงว่าในอาณาจักรเทียนเหอ ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันใดข้าได้ ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านนักพรตได้รับบาดเจ็บมาก ท่านไม่จำเป็นต้องเสียพลังเพื่อข้า”
นักพรตอวี้หยางยิ้ม “แม่นางน้อยผู้นี้แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่แปลกใจที่โยวเหยาจะตกหลุมรักเจ้า”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้ม ใบหน้าแดงก่ำ
นักพรตอวี้หยางจึงกล่าวต่อ “วิชายุทธ์ของข้ามีคนคิดจะเรียนมากมาย ทว่าเจ้ากลับปฏิเสธ ทว่าการไม่โลภเป็นโชคอันประเสริฐ น่ายินดี น่ายินดี! ”
“ขอบคุณท่านนักพรตสำหรับคำชม” ซูจิ่นซียังคงแย้มยิ้มให้
“ยังเรียกข้าว่าท่านนักพรตอีก? ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ปกติความกล้าหาญของซูจิ่นซีมีมาก ทว่าพออยู่ต่อหน้าท่านนักพรตอวี้หยาง นางกลับประหม่าและเขินอายเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปาก ครู่หนึ่งจึงเรียกว่า “ท่านอาจารย์! ”
ดวงตาที่ปรากฏความตื่นเต้นของนักพรตอวี้หยางเปล่งประกายเล็กน้อย เขาดึงมืออีกข้างของซูจิ่นซีขึ้น
“แม่นางน้อย! แม้ข้ากับโยวเหยาจะอยู่ในนามอาจารย์และศิษย์ ทว่าข้าดูแลเขาราวกับเป็นบุตรชายตนเองเสมอมา สิ่งที่หวังที่สุดคือได้เห็นเขาแต่งงานมีบุตรและประสบความสำเร็จ ตอนนี้อย่างแรกสมปรารถนาแล้ว อย่างหลังเกรงว่าคงไม่มีวาสนาได้เห็นอีก ในอนาคตทำได้เพียงฝากเขาไว้กับเจ้าแล้ว”
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าโอกาสเช่นนี้ควรพูดสิ่งใด จึงเห็นพ้องกับความรู้สึกตนเองและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์วางใจ ข้าจะทำ”
นักพรตอวี้หยางพอใจเป็นอย่างมาก
“โยวเหยาเป็นเด็กกำพร้า ไร้บิดามารดาตั้งแต่เล็กเหมือนกับเจ้า โชคชะตาอาภัพ เหนื่อยยากลำบาก อดทนไม่ย่อท้อ เขากับเจ้าต่างก็เป็นคนน่าสงสารเหมือนกัน”
แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพูดถึงนาง ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองใบหน้าแก่ชราและอ่อนแอของนักพรตอวี้หยาง มองแววตาคาดหวังของเขา ริมฝีปากที่ขยับและผมขาวราวหิมะ หัวใจของนางราวกับมีก้อนสำลีอุดไว้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงตาเผยความเจ็บปวดใจ
ซูจิ่นซีอ้าปาก ทว่าไม่รู้จะพูดปลอบอย่างไร
นักพรตอวี้หยางดูเหมือนจะอ่านความคิดของซูจิ่นซีออก “แม่นางน้อย ไม่รู้จะพูดอันใดก็ไม่ต้องพูด เจ้าเป็นเด็กดีแล้วฟังข้า”
“อืม” ซูจิ่นซีพยักหน้า
“ไม่ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่ว่าจะพบอุปสรรคขวากหนามมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากหนักหนาเพียงใด เจ้าจะต้องอยู่กับโยวเหยา สองใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ไม่จาก ไม่ละทิ้ง เพราะเจ้าคือชีวิตของเขา”